แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ – ตอนที่ 780 วิธีพิเศษในการปกปิดเรื่องโกหก

ถึงจะถูกหัวหน้าทีมซ่งตักเตือนอย่างมีความนัยแฝง แต่หัวหน้าทีมชั่วคราวคนนี้ก็ยังแอบถอนหายใจโล่งอกเบาๆ

อีกฝ่ายพูดอย่างนี้ ก็แสดงว่ายอมพาเขาไปพบบอสใหญ่แล้วน่ะสิ…

ถ้าหากแม้แต่ด่านแรกก็ยังผ่านไปไม่ได้ เขาคงไม่ต้องคิดถึงอนาคตอะไรอีกแล้ว คงได้แต่ใช้ชีวิตให้ผ่านไปวันๆ อย่างเงียบๆ

แค่ใช้ชีวิตให้ผ่านไปวันๆ ก็แล้วไป แต่ปัญหาคือเขาคงไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายแน่นอน แค่ไปไหนก็ถูกแบ่งแยกกีดกันยังไม่เท่าไหร่ เขาเดาว่าตัวเองจะต้องถูกดูถูกและถูกรังแกอยู่ตลอดเวลาแน่นอน และเป็นไปได้สูงว่าเขาอาจถูกส่งออกไปทำหน้าที่เป็นโล่กันกระสุนอีกด้วย…

ความอัปยศที่สมาชิกทุกคนในนิพพานถูกเล่นงานกันถ้วนหน้า เหมือนหนามที่ยอกอยู่ในใจบรรดาสมาชิกระดับสูง แล้วเมื่อถึงเวลานั้นจะยังมีใครชอบขี้หน้าเขาอีกหรือ?

ถูกคนตบหน้า แล้วยังถูกแขวนรูปประจานอยู่หน้าประตู เรื่องแบบนี้ใครบ้างไม่รู้สึกแย่…

และหัวหน้าทีมชั่วคราวคนนี้ ก็เป็นเหมือนรูปภาพยืนยันว่าพวกเขาถูกตบหน้านั่นเอง…

โอกาสที่เขาจะสามารถพลิกสถานการณ์ของตัวเองกลับมาได้ ก็มีแค่ตอนนี้เท่านั้น

หากเขาพูดได้ดี แล้วบอสใหญ่เกิดพึงพอใจขึ้นมา บางทีเขาอาจได้รับรางวัลด้วยซ้ำ

แต่ถ้าหากเขาพูดไม่ดี…หัวหน้าทีมชั่วคราวกังวลขึ้นมาอีกครั้ง คำเตือนของหัวหน้าทีมซ่งทำให้เขาอดห่วงหน้าพะวงหลังขึ้นมาไม่ได้

หมอนั่นแค่ต้องการปั่นหัวบอสใหญ่งั้นหรอ? คงไม่ใช่หรอก…

ลงทุนลงแรงขนาดนั้นเพื่อกระตุกต่อมโมโหของอีกฝ่ายด้วยคำพูดไม่กี่คำเนี่ยนะ? เรื่องอย่างนี้มีแต่คนที่ว่างจนไม่รู้จะทำอะไรแล้วเท่านั้นแหละถึงคิดได้

ยังไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนั้นหลิงม่อกำลังหนีเอาชีวิตรอดอยู่ แค่สิ่งที่เขาทำก่อนหน้านั้น ยังกระตุกต่อมโมโหบรรดาสมาชิกระดับสูงไม่พออีกหรือ? เดาว่าพวกนั้นคงถูกตบหน้าจนเลือดท่วมไปนานแล้วต่างหาก!

อีกอย่างหัวหน้าทีมชั่วคราวรู้สึกได้ว่า ในคำพูดของหลิงม่อที่เขาไม่ค่อยเข้าใจนั้น ความจริงมีข้อมูลสำคัญมากบางอย่างซ่อนอยู่

แต่จากที่หลิงม่อบอก เขาไม่เข้าใจก็ดีแล้ว ถ้าเกิดเข้าใจ เขาต้องตายแน่ๆ

“นายมั่นใจได้ไงว่าเขาจะไม่ฆ่าฉันปิดปากเพื่อความปลอดภัย” ตอนนั้น หัวหน้าทีมชั่วคราวถามหลิงม่ออย่างกังวล

“ไม่มีทาง”

“รู้ได้ไง?”

“เขาเห็นนายเป็นแค่มดตัวหนึ่งเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องลงมือฆ่าอยู่แล้ว อีกอย่างฉันรับประกันได้ หลังจากที่เขาได้ยินเรื่องที่นายบอก เขาจะลืมนายไปเลยล่ะ” หลิงม่อบอก

เป็นครั้งแรกที่หัวหน้าทีมชั่วคราวรู้สึกว่า การเป็นมดตัวเล็กๆ ก็มีข้อดีเหมือนกัน…

“เรื่องที่จะบอกไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน ประเด็นสำคัญคือต้องคอยดูปฏิกิริยาของบอสใหญ่ แต่ตอนนี้เราถอยหลังไม่ได้แล้ว…” หัวหน้าทีมชั่วคราวบังคับใจตัวเองให้อดกลั้นไว้ ตอนนี้เขาเหมือนถูกธนูที่ถูกง้างไว้บนคันศร ถอยหลังกลับอีกแล้ว

หากจู่ๆ เขาบอกว่า “เมื่อกี้ผมแค่ล้อเล่น” ขึ้นมา เดาว่าคงจะถูกหัวหน้าทีมซ่งไล่ออกจากนิพพานทันที

หากต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่ในเมืองเฮยสุ่ยเพียงลำพัง สู้ฆ่าตัวตายให้สิ้นเรื่องเสียยังดีกว่า

“รอเดี๋ยว ฉันยังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจอยู่เรื่องหนึ่ง” จู่ๆ หัวหน้าทีมซ่งก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง

หัวหน้าทีมชั่วคราวตระหนกขึ้นมาอีกครั้ง หรือเขายังคิดจะซักถามต่ออีก?

เขาปกปิดความจริงเอาไว้หลายเรื่อง ดังนั้นการถามซ้ำๆ ไม่เลิกอย่างนี้ ก็แทบไม่ต่างอะไรกับการเล่นกับหัวใจของเขาเลย!

หัวหน้าทีมซ่งมองเขาด้วยสายตาพิจารณา จากนั้นก็ถามเสียงเย็นชาว่า “เจ้าแซ่หลิงนั่นแค่ต้องการให้นายมาบอกต่อคำพูดเขาเท่านั้นหรือ?”

“ตึกตัก!”

หัวใจของหัวหน้าทีมชั่วคราวเต้นแรงขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันขาทั้งสองข้างของเขาก็อ่อนยวบไปด้วย

กลัวอะไร ได้อย่างนั้นจริงๆ มีเรื่องน่าสงสัยอยู่ตั้งมากมาย เขากลับไม่สนใจเรื่องเหล่านั้น แต่ดันมาจี้จุดประเด็นที่สำคัญที่สุดขึ้นมาซะอย่างนั้น!

นี่ขนาดหัวหน้าทีมซ่งเป็นเพียงคนระดับล่างในบรรดาสมาชิกระดับสูงนะ ถ้าเกิดเขาไปยืนต่อหน้าบอสใหญ่จริงๆ เขาไม่ต้องถูกซักจนหมดเปลือกเลยหรือ!

เมื่อกี้ตอนที่ถูกถาม หัวหน้าทีมชั่วคราวพูดแค่ประโยคเดียวก็ผ่านไปได้แล้ว ไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรมากนัก

ตอนที่พยายามเอาตัวรอดอยู่ในอาคารหลังนั้น เขาได้ทำข้อตกลงร่วมกับเสี่ยวพานไว้ก่อนแล้ว

เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนคว้าปืนไว้ได้ก่อน ดังนั้นเขาย่อมต้องมีอำนาจเหนือกว่า อีกอย่างเสี่ยวพานก็เป็นคนที่ลงเรือลำเดียวกับเขา

“ฉันขายข้อมูล แล้วพวกเขาจะเชื่อหรอว่านายไม่ได้ขายด้วย? ถ้านายพูด ฉันก็พูดได้เหมือนกัน”

ประโยคสุดท้ายเป็นคำขู่อย่างเห็นได้ชัด แต่สำหรับหัวหน้าทีมชั่วคราว เขาต้องทำอย่างนี้เพราะไม่มีทางเลือก…

เสี่ยวพานกลับไม่ได้ใส่ใจคำขู่ เขาถึงขนาดคิดไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน แล้วพยักหน้า “ได้ แต่ถ้าหากถูกซักถามขึ้นมา นายอย่าตอบอะไรส่งเดชล่ะ”

“นายไม่พูดฉันก็ไม่พูด เท่านี้ก็พอแล้วไม่ใช่หรือ?” หัวหน้าทีมชั่วคราวบอก

ทว่าจู่ๆ ตอนนี้เขาก็เข้าใจ ว่าเรื่องนี้ไม่ได้ปกปิดและผ่านไปได้ง่ายๆ ขนาดนั้น!

คนที่สามารถไต่เต้าขึ้นตำแหน่งสูงๆ ได้ มีใครบ้างที่ไม่ใช่ยอดคน?

“คือว่า…”

ขณะที่เขากำลังทำตัวไม่ถูกเพราะความลนลาน เสี่ยวพานกลับเป็นคนตอบแทน

และเมื่อคำพูดสองคำออกมาจากปากของเขา หัวหน้าทีมชั่วคราวก็แทบจะลมจับทันที

“ไม่ใช่” เสี่ยวพานบอก

“หึหึ ถ้าอย่างนั้นเขายังต้องการอะไรอีก?” หัวหน้าทีมซ่งหรี่ตาเล็กลง

หัวหน้าทีมชั่วคราวกำลังคำรามลั่นในใจ : เสี่ยวพาน นายคิดจะทำอะไรเนี่ย!

“เขาบอกว่าต้องการให้บทเรียนกับพวกเรา ให้พวกเราได้เห็นถึงจุดจบของการออกไปไล่ล่าพวกเขา” เสี่ยวพานตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“แค่นี้?”

หัวหน้าทีมซ่งได้ยินก็ขมวดคิ้ว ในใจลอบด่าว่าช่างอวดดี แต่ปากกลับยังถามต่อ

“ใช่ครับ เขายังบอกอีกด้วยว่าไม่สนใจคนระดับล่างอย่างพวกเรา ครั้งหน้าเขาจะจับตัวคนที่ตำแหน่งสูงๆ” เสี่ยวพานพูดต่อ

“แล้วทำไมพวกนายไม่พูดตั้งแต่เมื่อกี้?” หัวหน้าทีมซ่งจับพิรุธได้อีกหนึ่งจุด

“พูดแล้วกลัวจะทำให้ทุกคนโกรธ” เสี่ยวพานพูดอย่างตรงไปตรงมา

“ร้ายกาจ!”

หัวหน้าทีมชั่วคราวอึ้ง ไม่คิดเลยว่าเจ้าคนหน้าตายอย่างหมอนี่ จะโกหกได้หน้าตาเฉยและไหลลื่นขนาดนี้!

แถมยังปลุกระดมความแค้นได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย!

เขาคิดแต่ว่าเรื่องไร้ประโยชน์เช่นนี้คงไม่มีใครทำ แต่กลับไม่ได้คิดถึงว่าพวกหลิงม่ออาจต้องการข่มขู่ด้วย

แสดงพลังของตัวเองให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ เพื่อทำให้ศัตรูแตกตื่น เรื่องแบบนี้มีความเป็นไปได้อยู่แล้ว!

ทว่าหากฟังดูดีๆ จะรู้ว่าคำพูดเหล่านี้ไม่เหมือนสิ่งที่ออกมาจากปากหลิงม่อ เพียงแต่สมาชิกนิพพานส่วนมากเคยเจอแต่หลิงม่อผู้หยิ่งผยองตอนที่อยู่ในลานกว้างเท่านั้น

ดังนั้นสำหรับพวกเขา ไม่แปลกเลยที่หลิงม่อจะพูดอย่างนี้!

ประโยคที่ว่า “ไม่สนใจพวกระดับล่าง” มีบทบาทสำคัญมาก เพราะมันช่วยล้างมลทินให้พวกเขาสองคนได้

หลิงม่อไม่สนใจพวกเขา แล้วจะซักถามข้อมูลจากพวกเขาสองคนเพื่ออะไรล่ะ?

“เชี่ย!”

“โคตรกร่างเลย!”

“ขี้เบ่งเกินไปแล้ว!”

“โคตรอวดดี!”

ทุกคนพูดคุยเสียงดังกระหึ่ม ส่วนหัวหน้าทีมซ่งนั้นโมโหจนมุมปากกระตุกสั่นไปแล้ว

ในฐานะคนที่เคยถูกหลิงม่อหลอก ไม่ว่าเรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับหมอนั่น เขามักจะรู้สึกเหมือนมีหลุมพรางซ่อนอยู่เสมอ

ตอนนี้ที่ได้ยินเสี่ยวพานอธิบาย อาจดูเหมือนไม่มีปัญหาอะไร แต่เขาก็ยังคงคิดว่าเรื่องมันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นแน่

ต้องการขู่ขวัญ ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ฆ่าเจ้าพวกนี้ให้หมดล่ะ?

ถึงแม้ต้องการจะบอกต่อคำพูดอะไร ก็น่าจะไว้ชีวิตแค่คนเดียวก็พอแล้วนี่…

ทว่าพอคิดอีกที ที่นี่ก็เหมือนจะไม่มีใครตายซักคนเลยนี่นา…

“ความหวาดกลัว เป็นสิ่งที่ส่งต่อถึงกันได้” เสี่ยวพานบอก

หัวหน้าทีมซ่งนิ่งไป จากนั้นก็รู้สึกหนังศีรษะตึงชาขึ้นมาทันที

ร้ายกาจนัก! เจ้าหนูนั่นร้ายกาจมากจริงๆ!

เขาไม่ได้ฆ่าใคร แต่สำหนับนิพพานสิ่งที่เขาทำกลับน่าแค้นยิ่งกว่าฆ่าคน!

ถึงแม้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพวกนี้จะถูกปล่อยตัวกลับมา แต่พวกเขาล้วนถูกทำให้หวาดกลัวจนถึงก้นบึ้งหัวใจ หากพวกเขาไปเล่าให้คนอื่นฟัง นั่นไม่เท่ากับว่าเป็นการแพร่เชื้อความกลัวไปให้คนอื่นหรอกหรือ?

เป็นวิธีที่ร้ายกาจที่สุด!

“อีกเดี๋ยวพวกนายเข้าไปข้างในได้ แล้วฉันจะแยกชั้นหนึ่งให้พวกนายพักโดยเฉพาะ หลังจากนั้น…เรื่องหลังจากนั้นค่อยว่ากันอีกทีแล้วกัน” หัวหน้าทีมซ่งพูดด้วยสีหน้าสับสน จากนั้นก็กวักมือเรียกเจ้าหัวหน้าทีมชั่วคราว “นายจัดการตัวเองให้เรียบร้อย อีกเดี๋ยวมาพบฉันที่ตึกใหญ่”

เขาก้มหน้ามองเสื้อผ้าตัวเอง แล้วกระชากแขนเสื้อให้ขาดอย่างรำคาญ “ฉันเองก็จะไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อยเหมือนกัน”

หัวหน้าทีมชั่วคราวยังตั้งตัวไม่ทัน เขาหันไปมองเสี่ยวพาน แล้วเดินลากขาไปหาเขา หลังจากดึงตัวเขาเข้ามา ก็ตบไหล่ พลางกระซิบข้างหูเบาๆ ว่า “ดูไม่ออกเลยนะ ฉันนึกว่านายจะโกหกใครไม่เป็นซะอีก คิดไม่ถึง…นายร้ายกว่าฉันหลายเท่าเลย”

หลังพูดจบ เขายังมองเสี่ยวพานด้วยสายตาที่ซับซ้อนมากอีกครู่หนึ่ง

แต่เสี่ยวพานกลับยังคงทำหน้าตายเหมือนเดิม แล้วถามว่า “นายหมายความว่าไง?”

“ทำเป็นแกล้งโง่ไปได้ เรื่องที่นายพูดเมื่อกี้…พวกเราต่างก็รู้ดี” หัวหน้าทีมชั่วคราวยังคงพูดเสียงเบาต่อไป

เสี่ยวพานกลับร้อง “อ้อ” แล้วบอกว่า “นายเข้าใจผิดแล้ว สำหรับฉัน วิธีปิดบังที่ดีที่สุดคือการทำเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้น เพราะทุกคำโกหกล้วนมีช่องโหว่ ยิ่งพูดมาก ก็ยิ่งมีจุดผิดพลาดเยอะ วิธีที่ดีที่สุด คือการยกความจริงอีกอย่างหนึ่งขึ้นมากลบเกลื่อน หรือจะเรียกว่าการเบี่ยงเบนความสนใจก็ได้…เพียงแต่ระหว่างที่ฉันเล่าเรื่อง ฉันเลือกใช้วิธีเล่าที่น่าจะทำให้คนฟังเชื่อมากขึ้น นั่นก็คือการเล่าสิ่งที่ฉันเห็นทั้งหมดด้วยน้ำเสียงเหมือนคนที่ประสบเหตุการณ์ด้วยตัวเองไงล่ะ…”

“หยุดก่อน!”

หัวหน้าทีมชั่วคราวเบิกตากว้าง แล้วถามอย่างตะลึงว่า “นายหมายความว่า…สิ่งที่นายพูดเป็นความจริงทั้งหมด?”

เสี่ยวพานมองหน้าเขาอย่างแปลกใจ แล้วย้อนถามว่า “หรือนายดูไม่ออก?”

“…” หัวหน้าทีมชั่วคราวอึ้งสนิท เขาไม่ใช่แค่ดูไม่ออก แต่เขาไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ!

“ช่างร้ายกาจนัก!!”

—————————————————————————–

จบภาค 2

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

เมื่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่อุบัติขึ้นและเกิดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ผู้คนบนโลกก็ต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต จากคนธรรมดาต้องกลายเป็นซอมบี้กระหายเลือด! แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่รอดพ้นจากไวรัสร้ายกาจนี้ หนึ่งในนั้นคือหลิงม่อ หนุ่มเนิร์ดหน้าตาบ้านๆ แน่นอนว่าเขาต้องทุ่มเทพยายามสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอด แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เขายังมีภารกิจสำคัญอีกอย่างที่ต้องทำ คือช่วยแฟนสาวซอมบี้ ให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง สุดท้ายแล้วหลิงม่อหนุ่มธรรมดาคนนี้จะทำภารกิจสำเร็จหรือไม่ เรามาร่วมลุ้นไปด้วยกันเถอะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset