เมื่อหัวหน้าทีมชั่วคราวมาพบหัวหน้าทีมซ่งอีกครั้ง เขาก็ได้รู้ว่าไม่ใช่ใครอยากเข้าพบบอสใหญ่ก็พบได้ ที่ผ่านมามีแค่เวลาต้องเปิดประชุมครั้งสำคัญเท่านั้น ที่บอสใหญ่จะเป็นฝ่ายเผยตัวต่อหน้าบรรดาสมาชิกระดับสูง และส่วนมาก เขามักจะใช้ชีวิตอย่างสันโดษ แน่นอนว่าหลังจากเกิดเหตุการณ์ในวันนี้ บอสใหญ่ย่อมไม่มีเวลาทำตัวว่างอีกต่อไป แต่นั่นก็หมายความว่าเขากำลังยุ่งมาก และอาจไม่สามารถเจียดเวลามาพบเขาได้
“แต่อย่างไรก็เป็นข่าวจากเจ้านั่น บอสใหญ่น่าจะยอมพบนาย” หัวหน้าทีมซ่งบอก
ทว่าพอคิดดูอีกที จู่ๆ เขาก็ยิ้มเย็นชาขึ้นมา “แต่ก็ไม่แน่นะ บางทีบอสใหญ่อาจไม่ได้เห็นเจ้านั่นอยู่ในสายตาก็ได้ ถึงจะร้ายกาจอีกซักแค่ไหน พวกเขาก็มีกันแค่ไม่กี่คน จะเทียบกับนิพพานของเราได้อย่างไร? ครั้งนี้หากไม่ใช่ว่าพวกนั้นฉวยโอกาสแฝงตัวเข้ามา เรื่องจะบานปลายถึงขนาดนี้เรอะ? จากที่ฉันดู สิ่งที่บอสใหญ่ให้ความสนใจ มีแค่กองกำลังที่อยู่เบื้องหลังของพวกนั้น ไม่ใช่คนที่เอาแต่กระโดดขึ้นกระโดดลงอย่างเจ้านั่น”
หัวหน้าทีมชั่วคราวได้ยินเข้าก็ปาดเหงื่อ ไม่ว่าจะฉวยโอกาสแฝงตัวเข้ามาอย่างไรก็ตาม แต่อีกฝ่ายมีกันแค่ไม่กี่คนเองนะ…แพ้แล้วยังจะหาข้ออ้างอย่างนี้อีก ถ้าอย่างนั้นก็สู้ห้อยป้ายแล้วเขียนข้อความว่า “พวกเราต่างหากที่เป็นฝ่ายชนะ” เลยไม่ดีกว่าหรอ…
แน่นอนว่าเขาไม่กล้าพูดออกไป ทำได้เพียงเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่น “หัวหน้าทีม บอสใหญ่เขามีสิ่งที่สนใจเป็นพิเศษไหม? หรือว่าอะไรที่เขาหวาดกลัว…”
หัวหน้าทีมชั่วคราวดูลนลาน ทำให้เดินขึ้นบันไดช้าลงไปด้วย ถึงจะมีคนช่วยประคองอยู่ข้างๆ เขาก็ยังดูเหมือนไม่ค่อยมีแรงอยู่ดี
และการที่เขาเปิดปากถามสองเรื่องนี้ เขาต้องใช้ความกล้ามากอย่างเห็นได้ชัด
หัวหน้าทีมซ่งเหลือบมองเขาด้วยหางตา แล้วบอกว่า “ฉันจะไปรู้ได้ไง!”
ก็บอกแล้วว่าบอสใหญ่ใช้ชีวิตอย่างสันโดษ แล้วเขาจะเคยเจอได้อย่างไร?
ช่างไม่มีไหวพริบเอาซะเลย…
หัวหน้าทีมซ่งไม่สบอารมณ์ ถ้าไม่ใช่เพราะหลิงม่อ ปัญหาน่ารำคาญพวกนี้คงไม่เกิดขึ้น!
“อย่างนั้นเอง…” หัวหน้าทีมชั่วคราวยิ้มแหย แล้วจู่ๆ ก็ถามขึ้นอีก “ตอนที่ผมมา ผมเห็นสมาชิกธรรมดาทุกคนถูกเรียกรวมตัวกันหมด…”
“จับหนอนบ่อนไส้!” หัวหน้าทีมซ่งพูดกระแทกเสียง
“มีจริงๆ หรือนี่…” หัวหน้าทีมชั่วคราวเริ่มกระวนกระวาย การที่เขา “เชื่อฟัง” หลิงม่อ ก็เพราะหวาดกลัวเรื่องนี้อยู่ เกิดถ้าเขาไม่ทำตามที่หลิงม่อสั่ง แค่ตกที่นั่งลำบากไม่เท่าไหร่ แต่หากเขาถูกฆ่าตายอย่างปริศนาขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ หลิงม่อไม่ได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมาตรงๆ แต่นั่นกลับยิ่งทำให้เขารู้สึกเหมือนมีมีดที่มองไม่เห็นกำลังรออยู่ข้างหน้า หากไม่ระวังอาจเดินชนได้
“ใครจะไปรู้ว่ามีหรือเปล่า นายอย่าถามให้มันมากนัก” หัวหน้าทีมซ่งถลึงตาใส่เขา จากนั้นเขาก็ร่ายเรื่องที่ควรระวังตัวให้ฟังคร่าวๆ
เรื่องที่เขาพูดล้วนเกี่ยวกับบอสใหญ่ ดังนั้นหัวหน้าทีมชั่วคราวจึงตั้งใจฟังอย่างละเอียด
“ขอเข้าพบบอสใหญ่ได้ไหม? พวกเรามีข้อมูลเกี่ยวกับหลิงเกอมาบอก เขาบอกว่า…เขาต้องการฝากพวกเรามาบอกอะไรบางอย่างกับบอสใหญ่”
พอเดินไปถึงประตูบันไดฉุกเฉิน พวกเขาก็ถูกขวางทางไว้ หัวหน้าทีมซ่งเดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“เปลี่ยนสีเร็วชะมัด…” หัวหน้าทีมชั่วคราวปากอ้าตาค้าง
“รออยู่นี่ก่อน” ชายที่เฝ้าประตูเป็นคนแปลกหน้าที่เขาไม่รู้จัก แต่เสียงพูดของเขากลับทำให้หัวหน้าทีมชั่วคราวรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด
เขาครุ่นคิดอยู่คู่หนึ่ง แล้วไม่นานก็นึกออก
นี่มันผู้ชายคนนั้นที่ยืนอยู่ข้างชายแว่นดำตอนนั้นไม่ใช่หรือ? แล้วยังมีชายถือท่อนเหล็กอีกคน…
ที่แท้พวกเขาก็เป็นคนของบอสใหญ่หรอกหรือ?
สองนาทีผ่านไป ผู้ชายคนนี้ก็เดินกลับมา เขายืนพิงผนังด้วยท่าทางเกียจคร้านแล้วบอกว่า “กำลังยุ่งอยู่ รออีกหนึ่งชั่วโมง”
“หนึ่งชะ…” หัวหน้าทีมชั่วคราวโพล่งขึ้นมา แต่ก็ถูกหัวหน้าทีมซ่งถลึงตาเป็นสัญญาณว่าให้หุบปาก
“ตรงนั้นมีโซฟาอยู่” ชายคนนั้นเปิดประตูออกเล็กน้อย แล้วชี้ไปยังมุมหนึ่ง
หัวหน้าทีมชั่วคราวเดินเข้าไปพร้อมกับมองซ้ายมองขวา แล้วเขาก็เหลือบไปเห็นห้องที่ประตูปิดสนิทอยู่ห้องหนึ่ง
มีเจ้าหน้าที่บางส่วนกำลังเดินลาดตระเวนอยู่บนทางเดิน ส่งผลให้บรรยากาศดูค่อนข้างตึงเครียด
ก้นของพวกเขาเพิ่งจะแตะถูกโซฟา ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องหนึ่งก็ดังมาจากส่วนลึกของโถงทางเดิน
หัวหน้าทีมชั่วคราวลุก “พรึ่บ” แต่ชายเฝ้าประตูกลับพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “กำลังสอบสวนหนอนบ่อนไส้”
“หนอนบ่อนไส้? จับตัวได้เร็วขนาดนี้เชียว…”
ข้างล่างเพิ่งจะเริ่มตรวจสอบไม่ใช่หรือ? เจ้าหนอนบ่อนไส้ตัวนี้ถูกจับได้เร็วเกินไปหรือเปล่า!
หัวหน้าทีมชั่วคราวหันไปมองหน้าหัวหน้าทีมซ่ง แต่กลับพบว่าเขาเองก็กำลังมึนงงอยู่เช่นกัน
เขารู้ว่ามีผู้มีพลังจิตบางส่วนถูกเรียกตัวไป แต่พวกเขาดูออกได้อย่างไรว่าคนพวกนั้นเป็นหนอนบ่อนไส้?
แล้วจะว่าไป คนพวกนี้ก็พยายามจะต่อสู้กับ “หลิงเกอ” ในตอนที่เขาพยายามจะหนีไปไม่ใช่หรือ?
หรือพวกนั้นแค่แสดงละคร?
ไม่เข้าใจเลยจริงๆ…
“ไม่ใช่เรื่องที่พวกนายควรรู้ อย่าถามให้มาก” ชายคนนั้นพูดอย่างเย็นชา
หัวหน้าทีมชั่วคราวนั่งลงอย่างว่าง่าย ในใจกลับลอบด่า “ตอนนี้ทำเป็นเข้มแล้วสินะ ทั้งที่ตอนอยู่ต่อหน้าหลิงเกอหงอซะขนาดนั้น?”
เวลาหนึ่งชั่วโมงไม่ถือว่านานมาก แต่ในเพราะได้ยินเสียงกรีดร้องดังอยู่ตลอด พวกเขาจึงรู้สึกไม่ต่างจากกำลังนั่งอยู่บนพรมเข็ม…
ขณะเดียวกัน พวกหลิงม่อได้เดินทางออกจากมหาลัยแพทย์ไปไกลแล้ว และตอนนี้ก็กำลังมุ่งหน้าไปยังเขตชานเมืองโดยการเลือกเดินทางในซอยเล็กๆ ที่ค่อนข้างห่างไกลสายตาคน
เพราะมีพลังจิตสำรวจของหลิงม่อและประสาทรับกลิ่นของเย่เลี่ยนอยู่ พวกเขาจึงเจอซอมบี้ระหว่างเดินทางไม่มากนัก
ส่วนพวกอวี๋ซือหรานก็ถูกหลิงม่อสั่งให้อยู่ข้างหลัง เพื่อป้องกันไม่ให้พวกทีมไล่ล่าประชิดเข้ามา
มีเสี่ยวป๋ายกับเฮยซืออยู่ ถึงจะเป็นผู้มีความสามารถพิเศษก็ถูกจับได้ง่ายๆ แน่นอนว่าอัตราความปลอดภัยก็ย่อมสูงขึ้นตามไปด้วย
ทว่าหลิงม่อไม่รู้ตัวเลยว่า ตอนนี้เขากำลังได้เวลาอันมีค่าเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งชั่วโมงเพราะบอสใหญ่ของนิพพาน
“เหล่าหลัน ขนาดปลายังกลายพันธุ์ได้ แล้วลุงว่านกจะกลายพันธุ์ได้ไหม?” หลิงม่อที่เดินอยู่ข้างเหล่าหลันถามอย่างสนอกสนใจ
“ก็ต้องดูก่อนว่าเป็นนกที่ตัวใหญ่แค่ไหน?” เหล่าหลันครุ่นคิดแล้วบอกว่า “ปกตินกที่เห็นกันอยู่ทั่วไปจะกลายพันธุ์ไม่ได้ เพราะขนาดตัวเล็กเกินไป นายดูอย่างเจ้าปลาคราฟตัวนี้ มันกลายพันธุ์ได้ก็เพราะมันมีขนาดตัวที่ใหญ่และยาวอยู่แล้ว แถมศพที่มันกินก็เป็นศพของซอมบี้ธรรมดา นายคิดดูจากขนาดตัวของมัน ต้องกินมานานขนาดไหน? ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อก่อนในบ่อไม่ได้มีแค่ปลาตัวเดียวแน่นอน และเลือดส่วนมากก็อยู่ในน้ำด้วย แต่เนื้อเน่าๆ จะมีเชื้อไวรัสอยู่มากแค่ไหนเชียว? ดังนั้นเจ้าปลาคราฟตัวนี้จึงได้ผ่านกระบวนการกลายพันธุ์ที่ใช้เวลาในการสั่งสมเชื้อไวรัสมาเป็นเวลานาน…”
“ลุงจะมาพูดทฤษฎีให้ผมฟังทำไม ผมอยากรู้แค่ว่าลุงทำให้นกอะไรกลายพันธุ์ได้บ้าง” หลิงม่อบอก
การแฝงตัวเข้าไปในนิพพานครั้งนี้ หากเขามีนกกลายพันธุ์อยู่ในมือซักตัว คงจะเคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้นไม่น้อย
ทว่าเหตุผลจริงๆ ที่ทำให้เขานึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา กลับเป็นการไล่ล่าจากนิพพาน
ท่ามกลางป่าคอนกรีตอันรกร้างนี้ ประสาทสัมผัสทุกด้านล้วนถูกจำกัด อย่างเช่นการรับกลิ่นและการได้ยินที่ถูกสภาพแวดล้อมโดยรอบก่อกวน การมองเห็นก็ถูกสิ่งก่อสร้างบดบัง แต่ถ้าหากมีเครื่องมือตรวจสอบกลางอากาศซักตัว ปัญหาเหล่านี้ก็จะหมดไป!
หลิงม่อเองก็เคยลงมือทดลองด้วยตัวเองมาแล้ว แต่สุดท้ายเขากลับล้มเหลว มาคิดดูตอนนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะเขาตระหนักรู้ได้เร็วเกินไป
เขาคิดอยากจะทำให้สิ่งมีชีวิตตัวเล็กขนาดนั้นกลายพันธุ์ตั้งแต่เมื่อครึ่งปีที่แล้ว ในขณะที่ผลกระทบของเชื้อไวรัสเพิ่งจะพัฒนามาถึงขั้นนี้เอาป่านนี้ และฟังจากที่เหล่าหลันบอก แม้จะพูดเรื่องนั้นขึ้นมาตอนนี้มันก็ยังเป็นเรื่องที่เร็วเกินไปอยู่ดี
“นกน่ะเป็นกรณีที่ค่อนข้างพิเศษนี่นา มันต้องบิน…” เหล่าหลันขมวดคิ้วพูด “นกตัวใหญ่มักจะอยู่ในภูเขา ฉันจะไปหามาให้นายจากไหนล่ะ?”
“ในเมืองก็มีนกที่กินเนื้อเน่าอยู่ พวกมันก็พอจะมีเชื้อไวรัสสะสมไว้ในร่างกายแล้ว” หลิงม่อบอก
“แต่มันหาได้ยากนะ…” เหล่าหลันเงยหน้ามองไปรอบๆ แล้วพูดขึ้น
ตลอดการเดินทางพวกเขาไม่เห็นนกเลยซักตัว ทว่าหลิงม่อกลับรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติ
“ที่นี่ไม่มีศพใหม่ๆ จะมีนกมาได้ยังไง? เอาเป็นว่าเรายังต้องเดินทางอีกไกล เดี๋ยวก็เจอ แล้วผมจะจับมาให้ลุงตัวหนึ่ง” หลิงม่อพูดอย่างคันไม้คันมือ
เหล่าหลันกลับอึ้งไปอีกครั้ง “นายจับนกได้ด้วยหรอ!”
หลี่ย่าหลินที่เดินอยู่อีกข้างยื่นมือมาโอบแขนหลิงม่อ และวางคางไว้บนไหล่เขา จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา “ฉันก็จับเป็น…”
ดวงตาคู่นั้นของเธอมองต่ำลงไปตามแผงอกของหลิงม่อ พร้อมกับกระตุกยิ้มมุมปากประหลาด
“อะแฮ่มๆ…”
หลิงม่อเกือบสำลักออกมา เขารีบกระแอมกลบเกลื่อนทันที
แต่หลันหลันกลับได้ยินเข้า และถามอย่างแปลกใจ “อยู่ไหนล่ะ? ฉันจะไปจับด้วย”
“จับบ้าอะไร หา!” เหล่าหลันถลึงตาจ้องหลิงม่ออย่างเคืองๆ แล้วหันไปดุนหลังลูกสาวตัวเองให้เดินนำหน้าไป
แต่ในขณะที่หลันหลันกำลังเดินผ่านมู่เฉินไปด้วยสีหน้าฉงน ร่างของชายแว่นดำกลับกระตุกสั่นขึ้นมาทันที ปากที่ถูกปิดแน่นก็ครางเสียงประหลาดออกมา
“กรี๊ด!” หลันหลันสะดุ้ง ปฏิกิริยาแรกของเธอคือยกเท้าถีบเขาทันที “แกกล้าทำฉันตกใจหรอ!”
แต่ไม่คิดเลยว่าชายแว่นดำไม่ชายตามองเธอด้วยซ้ำ เขาขบกรามแน่น แล้วหัวเราะ “หึหึ”
“ในที่สุดก็เริ่มแล้วสินะ” หลิงม่อกลับเดินเข้ามา แล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
—————————————————————————–