เวลาแห่งการเดินทาง มักผ่านไปเร็วเสมอ…
ขณะที่ทางฝั่งนิพพานกำลังเร่งซ่อมแซมอาคาร หลิงม่อได้พาทุกคนเดินทางไปจนถึงเขตชายเมืองแล้ว
หากไม่ใช่เพราะสวี่ซูหานทำท่าจะฟื้นขึ้นมา ไม่แน่เขาอาจเดินทางออกจากเมืองเฮยสุ่ยโดยไม่หยุดพักเลยก็เป็นได้…
แต่ถึงแม้ตัดสินใจว่าจะพักในเขตชานเมืองหนึ่งคืน หลิงม่อก็ไม่ได้เสี่ยงอันตรายเลือกพักบนถนนสัญจรเส้นหลัก
เขาเดินไปตามเส้นทางบนแผนที่นำทาง จากนั้นก็ตามหาพื้นที่ที่ค่อนข้างลับตาคนจนเจอ
พื้นที่ย่านนี้ดูก็รู้ว่าเป็นเขตเมืองเก่าที่รอการรื้อถอนเพื่อสร้างใหม่ มองไปทางไหนก็มีแต่ถนนเก่าวังเวง บ้านเรือนอาคารเก่าซอมซ่อ แม้แต่ร้านค้าสองข้างทางก็ยังมีกลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมา
สิบนาทีผ่านไป ในที่สุดพวกหลิงม่อก็เจอโรงแรมเล็กๆ แห่งหนึ่ง
ป้ายที่เขียวว่า “ห้องพัก” ห้องโตงเตงอยู่บนผนัง ด้านล่างเป็นบันไดมืดๆ ที่ดูน่ากลัวไม่น้อย
ทว่าข้างในกลับค่อนข้างสะอาดใช้ได้ทีเดียว มีคนตายไม่มาก ซอมบี้ก็มีแค่สองตัวเท่านั้น
หลังจากทำความสะอาด พวกเขาก็ได้ห้องพักสะอาดสะอ้านประมาณสองสามห้อง หลังจากกำชับอะไรบางอย่างสองสามคำ หลิงม่อก็พาสวี่ซูหานเข้าไปในห้องห้องหนึ่งอย่างรีบร้อนทันที
ตอนที่ลงจากแผ่นหลังของหลี่ย่าหลิน หนังตาของสวี่ซูหานเริ่มกระดิกแล้ว
หลันหลันทำท่าจะไปแอบดู แต่กลับถูกเย่เลี่ยนดึงไว้ก่อน
“พวกพี่ไม่อยากรู้บ้างหรอ? เหนื่อยมาทั้งวันแล้วแท้ๆ…” เธอพูดยุยง
แต่เย่เลี่ยนกลับส่ายหน้า แล้วเดินมาขวางหน้าเธอเงียบๆ
“โธ่ ไม่ดูก็ได้” หลันหลันฝ่าด่านเย่เลี่ยนไปไม่ได้ เธอจึงทำได้เพียงเม้มปาก แล้วเดินจากไปอย่างละล้าละลัง
เดินไปได้ไม่ไกล เธอก็เห็นมู่เฉินขณะเดินผ่านประตูห้องห้องหนึ่ง
ไม่คิดเลยว่าผู้ชายคนนี้เองก็กำลังจ้องประตูบานนั้น แถมยังทำหน้ายุ่งบ่งบอกถึงอารมณ์ที่ซับซ้อน…
“พวกคนประหลาด” หลันหลันพูดขึ้น
ส่วนเหล่าหลันนั้น เขาเข้าไปยึดพื้นที่ในห้องครัวทันทีที่เข้ามา จากนั้นก็นำปลาคราฟกลายพันธุ์ตัวนั้นออกมา
เสียงฮัมเพลงพร้อมกับเสียงสับมีด ทำให้บรรยากาศในโรงแรมแห่งนี้เยือกเย็นราวกับว่าอุณหภูมิได้ลดฮวบลงไป…
ในห้อง หลิงม่อนั่งอยู่ด้านหน้าสวี่ซูหาน และกำลังสังเกตเธออย่างละเอียด
ตอนนี้เธอนั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างไร้พิษภัย และยังคงกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่อย่างนั้น ทว่าในสายตาของหลิงม่อ สวี่ซูหานกลับเปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้มาก
อันดับแรก ผิวของเธอ ผิวของคนทั่วไปมักมีสีเลือดฝาดผสมเล็กน้อย แต่สีผิวของซอมบี้นั้นจะซีดขาวมาก
และเมื่อวิวัฒนาการไปเรื่อยๆ พลังป้องกันของผิวหนังซอมบี้ก็จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะสังเกตเห็นได้จากระดับความเรียบเนียนและนุ่มลื่นของผิวที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทว่าทิศทางการกลายพันธุ์ของซอมบี้นั้นไม่เหมือนกัน ลักษณะเด่นของซอมบี้แต่ละตัวจึงแตกต่างกัน ความเปลี่ยนแปลงด้านผิวหนังเองก็เช่นกัน
ตอนนี้สวี่ซูหานยังถือว่าอยู่ในระดับเริ่มต้น เธอจึงดูไม่ต่างจากซอมบี้ทั่วไปมากนัก
นอกจากนี้หากส่องไฟฉายไปที่เธอ ก็จะเห็นเส้นเลือดสีม่วงช้ำบนมือ และแขนของเธออย่างชัดเจน อีกทั้งระหว่างที่หลิงม่อกำลังสำรวจอยู่นั้น เส้นเลือดอีกมากมายก็กำลังค่อยๆ ผุดขึ้นมา ซึ่งปรากฏการณ์นี้กำลังบ่งบอกว่าร่างกายของเธอกำลังจะตื่นจากการ “จำศีล” เพราะเลือดของเธอเริ่มไหลเวียนเร็วขึ้นแล้วนั่นเอง
เมื่อเธอฟื้นขึ้นมา เส้นเลือดพวกนี้ก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน มือของเธอมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป
เล็บมือที่เดิมไม่ถือว่ายาวมาก ตอนนี้กลับยาวขึ้นไม่น้อย แถมปลายเล็บก็ยังโค้งงอเข้าข้างในเล็กน้อย ดูเหมือนเล็บปลอมที่บรรดาสาวๆ ชอบทำกันไม่มีผิด แต่พอมองดูนานๆ แล้ว มันกลับทำให้รู้สึกได้ถึงความอันตรายรางๆ นิ้วมือของเธอขดงอเข้าด้านในเล็กน้อย ดูแวบแรกอาจไม่สังเกตเห็น แต่หากใครที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับซอมบี้ดีพอ ก็จะรู้ว่าในสภาวะที่ซอมบี้ธรรมดาไม่มีการเคลื่อนไหว พวกมันก็จะอยู่ในท่านี้เป็นปกติ หรือในอีกแง่หนึ่ง อาจเข้าใจได้ว่าท่าทางอย่างนี้เป็นท่าเตรียมโจมตีก็ว่าได้…
“โดยรวมสามารถสรุปได้ว่าการกลายพันธุ์สำเร็จแล้ว เหลือแต่ไม่รู้ว่าดวงตา…” หลิงม่อยื่นมือไปแตะเปลือกตาของสวี่ซุหาน คงจะมีแต่เขาที่เข้าใจซอมบี้ได้ดีขนาดนี้ ผู้รอดชีวิตคนอื่น หรือแม้กระทั่งเหล่าหลันที่เป็นนักวิจัยผู้บ้าคลั่ง ก็ยังไม่มีโอกาสได้สังเกตเห็นรายละเอียดที่เล็กน้อยพวกนี้
แต่ก็อย่างว่า คนหนึ่งใช้ชีวิตอยู่กับซอมบี้ อีกคนถูกขังไว้ในห้องวิจัย แล้วจะเหมือนกันได้อย่างไรล่ะ…
แต่ในขณะที่หลิงม่อกำลังจะดึงมือกลับ จู่ๆ ดวงตาคู่นั้นกลับเบิดโพลงขึ้นทันที
ตาของเธอเป็นสีแดงเลือด…
ไม่เว้นแม้กระทั่งส่วนตาขาว ซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นสีแดงเลือดไปหมดแล้ว
ถึงแม้รูปลักษณ์ภายนอกยังคงเป็นมนุษย์ แต่สายตาคู่นั้น ไม่เหมือนสายตาที่กำลังจ้องเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอีกต่อไปแล้ว
ทว่าสีของดวงตาสวี่ซูหาน กลับเข้มกว่าซอมบี้ธรรมดาทั่วไปมาก
สีแดงในดวงตาเธอเหมือนเลือดที่จับตัวกันเป็นก้อน และมีสีออกดำๆ เล็กน้อย
“แต่ดูจากหลายๆ อย่าง ก็ยังเป็นซอมบี้ธรรมดานี่…”
เมื่อคืน หลังจากที่ถูกหลิงม่อกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง สวี่ซูหานผ่านกระบวนการกลายพันธุ์ด้านร่างกายจนสำเร็จในสภาวะที่สติเกือบครบถ้วน ซึ่งอาจเป็นไปได้มากว่าการกลายพันธุ์ที่ไม่ปกตินี้ เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดลักษณะพิเศษนี้ขึ้นกับเธอ เพียงแต่หลิงม่อเองก็บอกไม่ได้ว่า ตั้งแต่เมื่อคืนเธอสามารถครองสติมาได้ตลอดจนถึงตอนนี้หรือเปล่า
เสี้ยววินาทีที่ถูกจ้อง เขารู้สึกราวกับถูกสัตว์ร้ายตัวหนึ่งหมายตาเข้าแล้วอย่างไรอย่างนั้น
“ผู้ประกาศข่าวสวี่?” หลิงม่อลองเรียกเธอ
สวี่ซูหานไม่ได้ตอบโต้ทันที
ผ่านไปหลายสิบวินาที เธอถึงกลอกตาไปมา แล้วสายตาที่มองหลิงม่อก็ดูอ่อนลงเล็กน้อย
“มีการตอบสนอง ก็แสดงว่าครองสติรู้คิดไว้ได้ตามคาดสินะ…” หลิงม่อคิด แล้วเขาก็เรียกเธออีกครั้ง “ผู้ประกาศข่าวสวี่?”
“อึก…” เสียงแหบแห้งหลุดออกมาจากลำคอของสวี่ซูหาน เธอจ้องหลิงม่อ แล้วจู่ๆ ก็พูดว่า “นะ…นาย…”
“หลิงม่อไง ยังจำฉันได้ไหม?” หลิงม่อเตือนความจำเธอ
ความยินดีแล่นปราดในสายตาเขาชั่วขณะ เธอพูดได้ ก็หมายความยังจำความทรงจำช่วงที่เป็นมนุษย์ได้…
“หลิง…” เหมือนชื่อนี้จะกระตุ้นสวี่ซูหานได้อย่างดี เพราะจู่ๆ เธอก็ลุกพรวดแล้วกระโดดทันที
ห้องที่พวกเขาอยู่ไม่ได้กว้างมากนัก ดังนั้นพอเธอกระโดดขึ้นครั้งเดียว ก็ถึงขอบหน้าต่างเลยทีเดียว
“แย่แล้ว!”
หลิงม่อเองก็ลุกตามขึ้นมา แล้วจ้องสวี่ซูหานด้วยสีหน้าตื่นตะลึง
เธออยู่ในท่ากึ่งนั่งบนขอบหน้าต่าง ดวงตาทั้งคู่สะท้อนสีแดงอ่อนๆ อยู่ท่ามกลางความมืด
“ตอบสนองเร็วมาก แถมยังเลือกจุดทิ้งตัวได้อย่างแม่นยำ…หรือความสามารถพิเศษเดิมของเธอยังอยู่?” หลิงม่อใช้ความคิดอย่างด่วนจี๋
ทว่าสวี่ซูหานกลับไม่ให้เวลาเขาได้คิดมากนัก เพราะโรงแรมเล็กๆ แบบนี้มักไม่ติดเหล็กดัด แถมบานหน้าต่างก็พังไปนานแล้วด้วย ถ้าเธอถอยไปอีกก้าว เธอก็จะตกลงไปข้างล่างทันที…
“มัวแต่คิดเรื่องป้องกันตัว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเธอจะหนี…นี่มันซอมบี้ประเภทไหนเนี่ย!”
หลิงม่อยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แต่หนวดสัมผัสกลับถูกแผ่ออกไปเงียบๆ แล้ว “นี่ เธออย่าขยับนะ”
“ฉัน…ฉันกิน…” สวี่ซูหานยังคงจ้องหลิงม่อ ปากก็พึมพำฟังไม่ได้ศัพท์
“อยากกินเธอก็เข้ามาสิ” หลิงม่อกวักมือเรียก
หนวดสัมผัสของเขาได้โอบรัดรอบเอวของสวี่ซูหานเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่รอเธอมีการเคลื่อนไหวที่ปกติเท่านั้น เขาก็จะดึงตัวเข้ามาทันที
ทว่าสิ่งที่ทำให้หลิงม่อผิดคาดคือ เขาเพิ่งจะพูดประโยคนี้จบ จู่ๆ สวี่ซูหานก็ร้อง “อ๊า” แล้วโน้มตัวกระโดดลงไปอย่างรวดเร็ว
เธอเคลื่อนไหวเร็วจนน่าทึ่ง หลิงม่อรู้สึกเพียงตาลายไปชั่วขณะ วินาทีถัดมาหน้าต่างบานนั้นก็ว่างเปล่าไร้เงาคนไปเสียแล้ว
“โอ๊ย มึนเลย!”
หลิงม่อรีบวิ่งพุ่งเข้าไปที่หน้าต่าง แล้วใช้มือยันขอบหน้าต่างเพื่อกระโดดขึ้นไปข้างบน
บนถนนด้านล้าง เงาร่างของใครคนหนึ่งกำลังลุกขึ้นยืนอย่างมึนงง
พอหลิงม่อมองลงไป สวี่ซูหานก็เงยหน้าขึ้นมามองเหมือนรับรู้ได้
“ยะ…อย่ามา…” เธอพูดตะกุกตะกัก
เสียงของเธอไม่ดัง แต่บนถนนเงียบวังเวงขนาดนั้น หลิงม่อจึงได้ยินชัดเจน
“เธอจะหนีทำไมเนี่ย!” หลิงม่อเอือมเล็กน้อย
เขาหันกลับไปมองประตูห้องเล็กน้อย หลังจากมั่นใจว่าไม่มีใครผ่านมา เขาก็หันกลับไปบอกเธอว่า “รออยู่นั่นดีๆ ฉันจะลงไปรับเธอ”
“ไม่…ฉันอยาก…กินนาย…”
เธอก้าวถอยสองก้าว จากนั้นก็หันกายกระโดดขึ้นไปบนซากรถยนต์คันหนึ่ง ดูจากสีหน้าของเธอ เหมือนเธอกำลังหวาดกลัวอยู่…
หลิงม่อเห็นอย่างนั้นก็ตกใจ หากพูดกันแค่เรื่องการระเบิดความเร็วในพริบตา สวี่ซูหานถือว่าทำได้ดีมากทีเดียว!
เพิ่งจะกลายพันธุ์ก็มีความสามารถพิเศษอย่างนี้แล้ว เดาว่าหลังจากวิวัฒนาการ พลังของเธอจะต้องพัฒนาอย่างก้าวกระโดดแน่นอน…
เพียงแต่ปฏิกิริยาตอบสนองอย่างนี้ของเธอดูประหลาดจริงๆ นอกจากนั้นหลิงม่อก็สังเกตเห็นว่าดวงแสงแห่งจิตของเธอไม่ได้แตกต่างไปจากของมนุษย์เลย ซึ่งนี่ก็แสดงว่าเธอไม่อาจถูกควบคุมได้อย่างแน่นอน
“อย่างนี้คงต้องหงายไพ่เชื่อมความสัมพันธ์ซะแล้วสิ…ในเมื่อเธอบอกว่าไม่อยากกินเรา ก็แสดงว่ายังมีสัญชาตญาณความเป็นมนุษย์อยู่ ถ้าเจรจาดีๆ อาจจะจัดการได้ก็ได้…” หลิงม่อคิด เขานิ่งอยู่บนหน้าต่าง แล้วไม่นานก็พูดขึ้นว่า “ฉันจะไม่ขยับ เธอก็ยืนอยู่ทีเดิมอย่าไปไหนล่ะ ตกลงไหม?”
“นะ…นายอย่ามา”
ไพ่เชื่อมสัมพันธ์ของเขานั้นไม่ได้ซับซ้อนเลย…
จู่ๆ ก้อนไวรัสเหนียวหนืดก้อนหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาอยู่บนหัวสวี่ซูหาน จากนั้นมันก็ค่อยๆ ถูกหย่อนลงไปตรงหน้าเธอ
“กินเจ้านี่ไหมล่ะ?”
—————————————————————————–