แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ – ตอนที่ 786 ภาพสะท้อนจินตนาการ

หลายนาทีผ่านไป สวี่ซูหานเดินตาม “กลิ่นคน” มาจนถึงหน้าประตูโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง

กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อลอยโชยออกมาจากข้างในอยู่ตลอดเวลา มันฉุนมากจนเธออยากจะเดินออกไปจากตรงนี้

พอมาถึงที่นี่ “กลิ่นคน” ก็จางลงไปมาก เธอรู้แค่ว่าเป้าหมายอยู่ในโรงพยาบาลแห่งนี้ แต่กลับไม่สามารถระบุตำแหน่งที่ชัดเจนได้

ซอมบี้ทั่วไปหากเจอสถานการณ์ที่มาถึงทางตันอย่างนี้ ส่วนมากจะยอมแพ้และเดินจากไป แต่สวี่ซูหานกลับไม่ใช่อย่างนั้น

เธอกำลังต่อสู้กับความหิวกระหายที่พลุ่งพล่านอยู่ภายใน และเงยหน้ามองสิ่งก่อสร้างที่อยู่ตรงหน้าด้วยแววตาคาดหวัง

“ไม่ได้การ ฉันใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว…ถึงจะมีแต่น้ำยาฆ่าเชื้อ ฉันก็จะกินให้ดู!”

เธอพึมพำอย่างมุ่งมั่น พร้อมกับสาวเท้าเดินโซซัดโซเซเข้าไปข้างใน

ระหว่างที่ถูกความหิวโหยเข้าครอบงำช้าๆ ความคิดของสวี่ซูหานก็สับสนยุ่งเหยิงขึ้นมาอีกครั้ง

ความคิดหนึ่งเดียวที่ยังถือว่าเด่นชัดอยู่ในสมองเธอ ก็คือเธอต้องตามหาหลิงม่อให้เจอ

สิ่งอำนวยความสะดวกในโรงพยาบาลชานเมืองแห่งนี้แลดูเรียบง่าย นอกจากลานจอดรถที่อยู่หน้าประตูใหญ่ ก็มีแค่ตึกหลักหลังนี้หลังเดียวเท่านั้น

สิ่งก่อสร้างสไตล์โบราณยิ่งชวนให้รู้สึกอึดอัดกว่าเดิมเมื่อมันถูกทิ้งร้างไว้นานอย่างนี้ เธอยืนอยู่หน้าประตูแล้วมองเข้าไปข้างใน สิ่งแรกที่เห็นคือห้องโถงใหญ่ที่มืดมิด

แผ่นฝ้าบนเพดานตกลงมาแตกหลายแผ่น จนทำให้เพดานมีช่องโหว่มืดๆ มากมายหลายจุด

แผ่นอะลูมิเนียมห้อยลงมาพร้อมกับสายไฟที่พันกันยุ่งเหยิง ชวนให้เกิดความรู้สึกอันตรายหากเดินเข้าไปใกล้

ด้านหลังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ในโรงพยาบาลว่างเปล่า บอร์ดประกาศข่าวก็ล้มคว่ำอยู่บนพื้น บนกระจกห้องรับบัตรคิวมีแต่คราบเลือดสีน้ำตาลเข้มเต็มไปหมด

“หลิงม่อ?”

เสียงตะโกนเรียกเบาๆ ของสวี่ซูหานดังสะท้อนอยู่ในห้องโถงอันกว้างขวางและว่างเปล่า ขณะเดียวกันเธอก็มองสอดส่องไปเรื่อยๆ ด้วย

“ไม่มีใครอยู่หรอ? เป็นไปไม่ได้…”

เธอค่อยๆ เดินลึกเข้าไปในห้องโถง แล้วในระหว่างที่กำลังสอดส่องสายตาไปทั่ว จู่ๆ หางตาของเธอก็เหลือบไปเห็นเงาร่างดำๆ เงาหนึ่ง

เงาร่างนั้นโฉบหายไปจากหางตาของเธออย่างรวดเร็ว จึงดูคล้ายว่ามันไม่มีอยู่จริง พอเธอหันไป สิ่งที่เห็นก็มีเพียงผนังอันว่างเปล่า

“หลิงม่อ?”

เธอตะโกนเรียกเบาๆ อีกครั้ง พร้อมกับสาวเท้าเดินเข้าไปทางนั้น

ภายใต้สถานการณ์ที่ความคิดสับสนยุ่งเหยิง เธอไม่มีเวลาไปคิดใคร่ครวญถึงความเป็นไปได้อื่น

ทันใดนั้น ราวกับว่าต้องการตอบรับเสียงเรียกของเธอ จู่ๆ เสียง “เคร้ง” ก็ดังขึ้นมาจากในตัวอาคาร

“นั่นมัน…อยู่ที่นี่จริงๆ ด้วยหรอ?”

สวี่ซูหานเดินไปถึงผนังด้านนั้นแล้ว และเธอก็กำลังค่อยๆ ยื่นหน้าออกไปดู

ด้านหลังกำแพง กลับเป็นบันไดเส้นหนึ่งที่ทอดยาวขึ้นไปข้างบน…

“วิ่งขึ้นไปแล้วหรอ?”

เธอครุ่นคิดอย่างเฉื่อยช้า จากนั้นก็เดินขึ้นบันไป…

“หาเจอหรือยัง?”

บนถนน หลิงม่อเดินหลบซอมบี้ตัวหนึ่งที่กำลังล้มลงไปอย่างใจเย็น ขณะเดียวกันเขาก็ถามขึ้นในสมอง

“คิกคิก ฝั่งฉันมีข่าวดี แล้วก็ข่าวร้ายด้วย นายอยากฟังอันไหนก่อนล่ะ?” เสียงของเฮยซือดังสวนขึ้นมาทันที

หลิงม่อหางตากระตุกยิกๆ แล้วพูดเสียงกลั้วหัวเราะว่า “ความจริงฉันก็มีข่าวร้ายมาบอกเหมือนกัน แต่มันเป็นข่าวสำหรับเธอโดยเฉพาะ…เธอรู้ตัวไหม ว่าตัวเองเป็นคนชอบเล่นมุกล้าสมัยแล้วก็กวนประสาทมากด้วย…”

“นี่ฉันกำลังจริงจังอยู่นะ…ข่าวดีคือ เธอหยุดเคลื่อนที่ชั่วคราวแล้ว ส่วนข่าวร้ายคือ จู่ๆ กลิ่นของเธอก็จางลง” เฮยซือบอก

“หมายความว่าไง?” หลิงม่อขมวดคิ้วถาม

“ฉันเดาว่าเธอน่าจะเข้าไปในพื้นที่ปิดที่มีกลิ่นฉุนล่ะมั้ง…” เฮยซืออธิบาย

กลิ่นฉุน? พื้นที่แบบปิด? หลิงม่อรีบใช้ความคิดกรองหาสถานที่ตามที่เฮยซือบอกอย่างรวดเร็ว

“ห้องน้ำหรือเปล่า?” จู่ๆ เฮยซือก็พูดขึ้น “ถึงยังไงเราก็ไม่สามารถใช้หลักเหตุผลทั่วไปมาตัดสินซอมบี้ได้อยู่แล้วนี่นา…”

“เธอมีสิทธิ์พูดแบบนั้นด้วยหรอ? ช่างเถอะ บอกทิศทางคร่าวๆ มาหน่อยสิ” หลิงม่อพูดอย่างนึกปวดหัว

“เป็นเจ้านายแท้ๆ แต่กลับเอาแต่ดูถูกสัตว์เลี้ยงของตัวเอง ช่างชวนให้รู้สึกโศกเศร้ายิ่งนัก…” เฮยซือไม่รีบร้อน ซ้ำยังพูดด้วยน้ำเสียงได้ใจอีกว่า “ดูท่าหากไม่แสดงฝีมือให้เห็น นายคงจะไม่มีทางชื่นชมในตัวฉัน”

“คำศัพท์บ๊องๆ แบบนี้เธอคงจะไปรื้อฟื้นมาจากความทรงจำวัยอนุบาลของอวี๋ซือหรานมาล่ะสิ! เอามาจากการ์ตูนที่ถูกฉายซ้ำอยู่บ่อยๆ แน่นอน!”

“อย่าพยายามโจมตีความกระตือรือร้นของฉัน คอยดูเถอะ ฉันจะทำให้นายทึ่งไปเลย!” เฮยซือพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ

“เธอละทิ้งอดีตของตัวเองไปหมดแล้วสินะ…เดี๋ยวนะ! นี่มันอะไร!”

ตอนแรกหลิงม่อไม่ได้สนใจคำพูดของเฮยซือ ตลอดทางเธอพูดไม่หยุดปาก เอาแต่พล่ามเรื่องไร้สาระมากมายออกมาไม่หยุด แต่ตอนนี้ภาพที่จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาในสมอง กลับทำให้เขานิ่งค้างไปชั่วขณะ

เขาก็รู้สึกเหมือนมีเครื่องฉายภาพอยู่ในสมองของเขา ภาพเหตุการณ์ที่ไม่เคยมีอยู่ในความคิดหรือในความทรงจำของเขาค่อยๆ ปรากฏชัดเจนขึ้นมา

เหมือนเขาได้เข้าสู่โลกแห่งความฝันอย่างกะทันหัน ถ้าหากไม่ใช่ว่ายังสามารถสัมผัสได้ถึงร่างกายของตัวเองอยู่ หลิงม่อคงเชื่ออย่างนั้นไปแล้วจริงๆ

ขณะเดียวกัน โทนเสียงและการพูดแปลกๆ ของเฮยซือก็ดังขึ้นในสมองของเขา “ฉันคิดมาตลอด ว่าการสื่อสารกันระหว่างเจ้านายกับฉัน น่าจะเป็นการทำให้คลื่นสมองของพวกเราอยู่ในช่วงจังหวะเดียวกันด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งสินะ? และในช่องคลื่นของแต่ละคนนั้น บทบาทของนายก็คือเครื่องรับสัญญาณและเครื่องส่งสัญญาณใช่ไหมล่ะ? และพวกเราที่สามารถสื่อสารกับนายได้ ก็สามารถต่อสัญญาณหานายผ่านสมองได้เลย เพียงแต่ไม่ได้ทำได้ดีเท่านาย”

“แต่ฉันสรุปทฤษฎีนี้จากความทรงจำของอวี๋ซือหรานเท่านั้น ถ้าคิดว่าไม่ถูกตรงไหนนายก็บอกได้…ถ้านายพูดจริงๆ ฉันจะหยุดงานประท้วงทันทีเลย!”

เสียงพูดของเฮยซือแสดงออกออกถึงคลื่นอารมณ์ขึ้นมาชั่วขณะ ไม่นานเธอก็รีบปรับน้ำเสียงให้กลับมาเป็นปกติ “ฉันคิดว่าที่มันเกิดเรื่องแบบนี้ได้ หนึ่ง เพราะพลังจิตของนายไม่แกร่งพอ จึงไม่สามารถจัดการกับข้อมูลที่ใหญ่เกินไปได้ทันที ส่วนสอง คือเงื่อนไขการต่อสัญญาณถูกจำกัด การต่อสัญญาณจะได้ประสทธิภาพมากแค่ไหน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ตัวนายเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับปลายสายด้วย ดังนั้นที่ผ่านมา เวลาอวี๋ซือหรานออกมาทำหน้าที่ ฉันเลยถือโอกาสแอบพัฒนาและปรับปรุงอยู่ในโลกแห่งดวงจิตเงียบๆ แต่นายไม่ต้องห่วง ตอนนี้การต่อสัญญาณของนายมั่นคงและแข็งแรงมากๆ การปรับปรุงไม่ส่งผลกระทบต่อเรื่องนี้แน่นอน…จิ๊”

“เมื่อกี้เหมือนฉันได้ยินเสียงอะไร…” หลิงม่อได้สติ

จู่ๆ เขาก็นึกได้ว่าก่อนหน้านี้เขาเคยรู้สึกแปลกๆ พอมาคิดดูตอนนี้ มันคงจะเกิดจาก “การปรับปรุง” ที่เฮยซือพูดถึงสินะ…

แต่ไม่ว่าเฮยซือจะทำอะไรลงไป อย่างน้อยมีเรื่องหนึ่งที่เธอพูดไม่ผิด นั่นก็คือสายสัมพันธ์ทางจิตไม่อาจสั่นคลอนได้

นอกเสียจากว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวหลิงม่อ หรือพลังจิต และพลังของทั้งสองฝ่ายต่างกันมากเกินไป ถ้าไม่อย่างนั้นหากคิดจะกำจัดสายสัมพันธ์ทางจิตทิ้งไป ก็ต้องให้หลิงม่อเป็นฝ่ายตัดขาดก่อนเท่านั้น

นอกจากนั้น ในระหว่างที่เฮยซือกำลังทำการปรับปรุง หลิงม่อก็ไม่เคยรู้สึกถึงปัญหาอะไรเลย นั่นแสดงว่าเฮยซือคงจะหลบเลี่ยงหนวดสัมผัสเส้นนั้นไปด้วยสัญชาตญาณ

“ที่พูดไปเป็นแค่หนังสือคู่มือเท่านั้นนะ สิ่งที่ฉันจะพูดต่อไปนี้ต่างหากที่เป็นประเด็นสำคัญ”

จู่ๆ เสียงของเฮยซือก็นิ่งขึ้นมาก ขณะเดียวกัน ท่วงทำนองเพลงท่อนหนึ่งก็ดังขึ้นในสมองของหลิงม่อ

“ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง…”

“เชี่ย!อย่าส่งข้อมูลแปลกๆ มาให้ฉันส่งเดชสิ!” หลิงม่อสะดุ้งตกใจ

ทว่าท่วงทำนองที่ดังผสานขึ้นมาคาดว่าน่าจะเป็นเพลงประกอบฉากท่อนหนึ่ง เพราะไม่นานภาพ 3D ก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในสมองของหลิงม่อ

นอกจากไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยร่างกายโดยตรง ภาพนี้แทบจะทำให้หลิงม่อรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในที่แห่งนี้จริงๆ

เหมือนโลกแห่งความฝัน แต่ก็แตกต่างในขณะเดียวกัน

“นี่คือการสื่อสารทางจิตที่สูงระดับยิ่งกว่า ภาพสะท้อนจินตนาการ!”

เสียงของเฮยซือดังแทรกขึ้นมาได้จังหวะพอดี ในขณะที่ภาพในสมองที่ตอนแรกหมุนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ได้นิ่งลงแล้ว

“จินตนาการ?” หลิงม่อทวนคำพูดนี้ซ้ำทันที

“ใช่ ความจริงก็คือการถ่ายทอดความคิดของฉันให้นายอย่างครบถ้วน ในนี้นอกจากเสียง และความคิดของฉันแล้ว ยังมีภาพจินตนาการของฉันรวมอยู่ด้วย คลื่นต้นทางและคลื่นปลายทางต่างต้องมีพลังจิตที่แข็งแกร่งพร้อมๆ กัน ถึงจะสามารถทำอย่างนี้ได้…” เฮยซือบอก

ตอนนี้เองที่หลิงม่อเริ่มรู้สึกได้ว่า จู่ๆ ภาพจินตนาการก็เริ่มแปลกไป…

ขณะที่ “หลิงม่อ” กำลังกอดกับ “เย่เลี่ยน” จู่ๆ ก็มีเส้นไหมสีเงินเส้นหนึ่งพุ่งออกมาจากแผ่นหลัง…

ขณะที่ “หลิงม่อ” จ้องตากับ “ซย่าน่า” จู่ๆ มีเส้นไหมสีเงินเส้นหนึ่งพุ่งขึ้นมาจากบนหัว…

ขณะที่รุ่นพี่กำลังลูบแก้มของ “หลิงม่อ” จู่ๆ ก็มีเส้นไหมสีเงินเส้นหนึ่งเลื้อยออกมาจากเงามืด…

ขณะที่ “หลิงม่อ” กำลังสูบบุหรี่อยู่ตามลำพัง จู่ๆ ก็มีเส้นไหมสีเงินมากมายโผล่ออกมาจากแผ่นหลัง…

สุดท้ายยังมีภาพจินตนาการที่ “หลิงม่อ” กำลังจูงเชือกเส้นหนึ่งไว้ โดยที่ปลายอีกด้านของเชือกเส้นนั้นเป็นเส้นไหมสีเงินก้อนหนึ่ง…

“…แม่เอ็ง ใครจะจูงสิ่งมีชีวิตแบบนั้นไปเดินเล่นกัน! อีกอย่างทำไมภาพจินตนาการของเธอมันทำร้ายฉันนักล่ะ!” หลิงม่อเดือด

“แย่จริง ลืมเปลี่ยนซะได้…”

เมื่อเสียงสะดุ้งตกใจของเฮยซือดังขึ้น ภาพเหล่านั้นก็หายไป

เธอถามอย่างตั้งตารอคอย “เป็นไงบ้าง?”

“เก่งมากจริงๆ…” หลิงม่อชื่นชมจากใจ

“ต้องขอบคุณอวี๋ซือหราน…” เฮยซือพูดถ่อมตัวอย่างหาได้ยาก

“ทำไมล่ะ?” หลิงม่อประหลาดใจ หรือยัยโลลิน้อยนี่ก็ให้คำแนะนำกับเขาเป็นด้วย?

เฮยซือหัวเราะคิกคัก “ก็เธอชอบดูทีวีมาก”

“ช่างตรงไปตรงมาจริงๆ เลยนะ…เธอหมายความว่า จะฉายภาพสถานที่ที่สวี่ซูหานอยู่ให้ฉันดูงั้นหรอ?” หลิงม่อยังคงห่วงปัญหาที่อยู่ตรงหน้ามากกว่า

“อืม ที่นั่นสภาพแวดล้อมซับซ้อน ใช้วิธีการฉายภาพนี่แหละเหมาะสุดแล้ว แต่ตอนแรกฉันตั้งใจว่าจะปรับปรุงให้สมบูรณ์แบบก่อนแล้วค่อยใช้พลังนี้…”

เฮยซือพูด ขณะเดียวกัน ภาพภาพหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นในสมองของหลิงม่อช้าๆ

แต่ครั้งนี้ไม่มีดนตรีประกอบแล้ว และภาพก็ดูเลือนรางกว่าเดิมมาก…

“ทำไมจู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นภาพวาดแบบง่ายไปแล้วล่ะ!” หลิงม่อสติหลุด

นี่มันต่างกันมากเลยนะ!

เส้นโค้งๆ งอๆ ไม่กี่เส้น บวกกับเครื่องหมาย X มากมาย ก็ถือว่าเป็นแผนที่ได้แล้วงั้นหรอ!

“ภาพที่ให้นายดูเมื่อกี้มันเป็นภาพผลลัพธ์ อันนี้ต่างหากที่เป็นของจริง…ก็ช่วยไม่ได้ มันยังอยู่ในระหว่างปรับปรุงขั้นต้นนี่นา” เฮยซือพูดเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดา

“…X คืออะไร?” หลิงม่อถามอย่างอดทน

“น่าจะเป็นจุดที่มีซอมบี้อยู่ ฉันและเสี่ยวป๋ายพิสูจน์ร่วมกันแล้ว อัตราความแม่นนำน่าจะเชื่อถือได้อยู่…” เฮยซือพูดขึ้นอย่างได้ใจอีกครั้ง

“ในภาพนี้มันมีแต่ X นี่!” ในที่สุดหลิงม่อก็คลั่งขึ้นมา

“เอิ่ม…งั้นไปทางดาดฟ้าละกัน ทางนั้นเป็นทางลัด”

—————————————————————————–

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

เมื่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่อุบัติขึ้นและเกิดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ผู้คนบนโลกก็ต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต จากคนธรรมดาต้องกลายเป็นซอมบี้กระหายเลือด! แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่รอดพ้นจากไวรัสร้ายกาจนี้ หนึ่งในนั้นคือหลิงม่อ หนุ่มเนิร์ดหน้าตาบ้านๆ แน่นอนว่าเขาต้องทุ่มเทพยายามสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอด แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เขายังมีภารกิจสำคัญอีกอย่างที่ต้องทำ คือช่วยแฟนสาวซอมบี้ ให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง สุดท้ายแล้วหลิงม่อหนุ่มธรรมดาคนนี้จะทำภารกิจสำเร็จหรือไม่ เรามาร่วมลุ้นไปด้วยกันเถอะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset