“ตึง ตึง!”
เสียงตึงตังดังใกล้เข้ามาราวกับเสียงกลองระรัว!
แค่เพียงเสียง ก็ทำให้รู้สึกได้ถึงแรงกดดันอย่ารุนแรง
“เร็วเข้า!”
พวกหลิงม่อออกแรงวิ่งไปทางประตูใหญ่บานนั้นอย่างสุดกำลัง ขณะเดียวกับที่พวกเขาพุ่งเข้าไปในประตู ซอมบี้สองตัวนั้นก็วิ่งมาถึงด้วยความเร็วอันน่ามหัศจรรย์แล้วเหมือนกัน
เพล้งง!
ผนังอาคารสั่นสะเทือนอย่างแรง และบานประตูกระจกที่ถูกกระแทกออกก็แตกละเอียดในชั่วพริบตา เศษกระจกกระจายไปทั่วทิศ
หลังลดแขนลง พวกหลิงม่อก็หันไปมองทางประตูทางเข้า
ซอมบี้ผู้หญิงตัวนั้นกำลังก้มหน้า และยืนมองพวกเขาจากด้านนอกตู้โชว์กระจกที่แตกเสียหาย จังหวะนั้นเกิดการประสานสายตาขึ้นชั่วขณะ
“มันกำลังมองฉัน มันมองฉันอยู่!” มู่เฉินตัวเกร็งไปทันที
“วิ่งต่อสิโว้ย!” หลิงม่อตะคอกเสียงดัง
ด้วยความสูงสามเมตรอาจทำให้พวกมันเคลื่อนไหวลำบากในบางสถานที่ แต่ในร้านค้าแบบนี้ไม่มีทางหยุดยั้งพวกมันได้แน่
หลิงม่อรู้สึกว่าสาเหตุที่พวกมันไม่ได้พุ่งเข้ามาทันที อาจเป็นเพราะมีเหตุผลอย่างอื่นอยู่
อย่างสายตาที่ซอมบี้หญิงตัวนั้นมองพวกเขา ให้ความรู้สึกเหมือนแมวที่กำลังเล่นไล่ตะครุบหนู
ซอมบี้ตัวนี้ไม่เพียงมีแขนขาที่แข็งแกร่งขึ้น แต่ยังมีสติปัญญาสูงขึ้นอีกด้วย…
หลิงม่อฉวยโอกาสตรวจสอบดวงแสงแห่งจิตของพวกมันดูครู่หนึ่ง แล้วเขาก็ต้องสูดลมหายใจลึกทันที
ชนชั้นสูง…หรืออาจถึงระดับเข้าเมืองเลยก็ว่าได้!
ซอมบี้สองตัวนี้คือซอมบี้ระดับสูงที่แท้จริง!
“วิ่งๆๆๆ!”
หลิงม่อตะโกนบอก พลางนำทางพวกเขาวิ่งขึ้นไปชั้นบน
“เจอของจริงเข้าแล้วไง! ปกติพวกมันจะเร่ร่อนไล่เหยื่อไปทั่ว ทำไมต้องมาบังเอิญเจอพวกเราด้วยวะ!” มู่เฉินวิ่งตามอยู่ข้างหลัง พลางคำรามอย่างโมโห
“อะแฮ่ม…” หลิงม่อแอบยกมือขึ้นรูดซิปกระเป๋าตัวเองเงียบๆ เพื่อปกปิดสิ่งที่ส่งกลิ่นล่อซอมบี้เข้ามาให้มิดชิด
บนร่างกายเขาไม่ค่อยมีอย่างอื่นมากนัก แต่ไม่มีทางขาดแคลนสิ่งล่อใจซอมบี้อย่างแน่นอน อย่างเช่น…ก้อนเหนียวหนืด
“มันคือตัวอะไรกันแน่?” หลิงม่อถาม
“อะไรนะ?” มู่เฉินใกล้จะเป็นบ้าเต็มทีแล้ว ในสถานการณ์อย่างนี้ ทำไมหลิงม่อยังเอาแต่ติดใจเรื่องนี้อยู่ได้?
ทว่าสำหรับหลิงม่อ ซอมบี้ไม่ใช่สัตว์ประหลาดเพียงอย่างเดียว
ทุกครั้งมีซอมบี้สายพันธุ์ใหม่ปรากฏตัว ก็แสดงว่าวิวัฒนาการของเชื้อไวรัสเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใหม่
และความเป็นไปได้เหล่านี้ ก็บ่งบอกถึงเส้นทางที่พวกเย่เลี่ยนอาจจะต้องก้าวเดินไปในอนาคต
แน่นอนว่าซอมบี้ยักษ์ จะต้องเป็นสิ่งที่หลิงม่อหลีกเลี่ยงอย่างสุดความสามารถแน่นอน
สำหรับคนปกติ ขนาดตัวเท่านั้นใหญ่เกินไป…
“ถ้านายไม่บอก แล้วพวกฉันจะสู้กับพวกมันได้ยังไง?” หลิงม่อพูดขึ้นอีกครั้ง
มู่เฉินกับสวี่ซูหานป้าปากค้าง “สู้?”
คนทั่วไปเมื่อเห็นขนาดตัวที่สูงใหญ่ขนาดนี้ ไม่มีทางคิดจะสู้อย่างแน่นอน!
ขนาดต้นขายังไม่ใหญ่เท่าข้อมือของพวกมัน แค่ฝ่ามือเดียวก็ถึงตายได้แล้ว จะสู้ยังไงวะ?
“เหลวไหลน่า พวกมันไม่มีทางปล่อยพวกเราไปแน่นอน” หลิงม่อพูดอย่างมั่นใจ
มู่เฉินอยากคัดค้าน แต่หลังจากครุ่นคิด กลับรู้สึกเสียววาบไปทั้งตัว
ใช่แล้ว เกรงว่านี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่พวกมันเจอมนุษย์กลุ่มใหญ่ขนาดนี้ พวกมันไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ แน่
เลือดเนื้อของมนุษย์ไม่ได้หมายถึงอาหารเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่สิ่งที่มากกว่าคือความกระหายอย่างรุนแรงที่เกิดจากสัญชาตญาณ
“พวกเราซวยแล้ว” หลิงม่อถอนหายใจยาวๆ
เขาหันไปบอกกับหลิงม่อว่า “นั่นไม่ใช่ซอมบี้ธรรมดา แต่เป็นซอมบี้ที่ถูกเลี้ยงมาด้วยยาซอมบี้”
“ซอมบี้อะไร?” หลิงม่อขมวดคิ้วถาม
ขณะที่คุยกันพวกเขาก็ได้วิ่งไปจนถึงชั้นสามแล้ว แต่เสียงฝีเท้าที่วิ่งตามมาจากด้านล่างก็ยังคงดังชัดเจน
“บันไดนี้จะสร้างมาสูงขนาดนี้ทำไมวะ!” มู่เฉินเดือด “ยาซอมบี้ที่พูดถึงก็คือ…”
“ตอนนั้น พวกฉันอยากลองผสมยาแก้อักเสบและยาต้านเชื้อไวรัสนานาชนิดเข้าด้วยกัน ว่ามันจะสามารถส่งผลที่น่าทึ่งต่อเชื้อไวรัสได้หรือไม่ ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นการลองผิดลองถูกอย่างหนึ่ง แต่หลังจากที่พวกฉันปล่อยตัวยาออกไป กลับพบว่าซอมบี้ในเมืองกลับยิ่งมีพฤติกรรมชอบโจมตีมากขึ้น ร่างกายของพวกมันเองก็เกิดการกลายสภาพไปด้วยบางส่วน แต่กลับไม่มีร่องรอยว่าพวกมันจะหลุดพ้นจากการติดเชื้อ”
ไม่รู้ว่าสวี่ซูหานวิ่งมาอยู่ข้างๆ หลิงม่อตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอเป็นคนพูดแทรกขึ้น
“ถึงแม้พวกเราปรารถนาแรงกล้าที่จะกำจัดยาซอมบี้ชุดแรกที่ปล่อยออกไป แต่นายก็รู้ดีว่าเชื้อไวรัสแพร่กระจายเร็วแค่ไหน…”
“เดี๋ยวนะ เธอหมายความว่า เมืองนี้ถูกพวกเธอใช้เป็นหนูทดลอง?” หลิงม่อถาม
สวี่ซูหานเม้มปาก “พวกเราทำไปเพราะความเจตนาดี”
“แล้วซอมบี้สองตัวข้างล่างนั่น…” หลิงม่อเพิ่งจะพูด เสียงโครมครามก็ดังมาจากด้านหลัง จากนั้นเงาร่างมหึมาก็ปรากฏตัวขึ้นข้างหลัง
“พวกมันไม่ใช่สิ่งที่พวกเราตั้งใจสร้างขึ้น แต่พวกมันคือสายพันธุ์ที่เกิดจากการกินยาซอมบี้มาเป็นเวลานาน” มู่เฉินรองเสียงหลง แล้วคำรามว่า “บอกก็บอกไปหมดแล้ว นายจะรับมือกับมันยังไง?”
หลิงม่อรีบวิ่งเข้าไปในมุมห้องมุมหนึ่งแล้วหยุด จากนั้นก็มองไปทางซอมบี้ตัวนั้นอย่างระมัดระวัง
ยังคงเป็นซอมบี้หญิงตัวนั้นเหมือนเดิม มันยืนอยู่ตรงสุดทางเดิน ในท่าโค้งเอวก้มหน้า และยังคงจ้องพวกเขาด้วยสายตาอย่างนั้น
“ฟู่ว!”
หลิงม่อพ่นลมหายใจออกมายาวๆ
สิ่งที่พวกมู่เฉินบอกต้องไม่ใช่ทั้งหมดแน่นอน แต่อย่างน้อยสิ่งที่เกี่ยวกับยาซอมบี้น่าจะไม่ผิด
“ฉันก็ว่าอยู่ว่าทำไมถึงได้ตัวสูงขนาดนี้ ที่แท้ก็กินฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตนี่เอง” หลิงม่อบ่นอุบอิบ
ถึงแม้ซอมบี้หญิงจะยังไม่เริ่มโจมตี และนั่นก็ถือเป็นโอกาสดีสำหรับพวกเขา แต่หลิงม่อกลับไม่รีบร้อนทำอะไร
ตอนนี้เขากำลังคิดถึงอีกปัญหาหนึ่งอยู่ : ซอมบี้เพศชายตัวนั้นล่ะ?
พฤติกรรมของซอมบี้สองผัวเมียคู่นี้ทำให้หลิงม่อระแวงอยู่บ้าง เขารู้สึกว่าพวกมันไม่ได้บ้าบิ่นไร้หัวคิดเหมือนซอมบี้ธรรมดา
“หาที่กำบังก่อน” หลิงม่อจ้องซอมบี้หญิงเขม็ง พลางขยับปากพูด
สวี่ซูหานและเย่เลี่ยนถอยหลังไปก่อน และมองหาตำแหน่งที่สามารถใช้เป็นที่กำบังกายได้
ชั้นสามของที่นี่เป็นร้านกาแฟ พื้นที่ตรงกลางค่อนข้างโล่ง ฝั่งหนึ่งของทางเดินมีโต๊ะและเก้าอี้ ส่วนอีกฝั่งคือเปียโน
มีเพียงบริเวณติดหน้าต่างเท่านั้นที่เป็นที่นั่งสไตล์หรูหรา มีราวรั้วและแผงกั้น
ถึงแม้สิ่งของทีเป็นเครื่องประดับตกแต่งเหล่านี้จะอ่อนแอมาก แต่มีก็ยังดีกว่าไม่มี
สวี่ซูหานมุ่งหน้าไปทางหน้าต่างก่อนเป็นคนแรก ส่วนเย่เลี่ยนพอมองซ้ายมองขวา ก็เลียนแบบมนุษย์คนนี้โดยการเดินไปยืนอยู่ข้างหลังโต๊ะตัวหนึ่ง
ซย่าจื้อกับมู่เฉินถอยออกไปคนละด้าน เพื่อพยายามดึงตัวออกจากขอบเขตการโจมตีของซอมบี้หญิง
หลิงม่อกับซย่าน่า และหลี่ย่าหลินยืนคนละมุมเป็นรูปสามเหลี่ยม แล้วยืนเผชิญหน้ากับซอมบี้
“โฮกก!”
ซอมบี้หญิงที่จ้องพวกเขาไม่วางตา จู่ๆ ก็คำรามขึ้นมา เสียงคำรามก้องดังสะท้อนอยู่ในร้านกาแฟ มันสั่นสะเทือนจนหลิงม่อได้ยินเสียง “วิ้งๆ” ดังอยู่ในหู
“คน…”
ซอมบี้หญิงเค้นเสียงพูดคำคำหนึ่งออกมา ถึงแม้เลือนรางไม่ชัดเจน แต่ก็พอฟังออกว่ามันเป็นภาษาคน
“สติปัญญาไม่เลวจริงๆ…” หลิงม่อขมวดคิ้ว
ยิ่งสติปัญญาสูงก็แสดงว่าพลังจิตยิ่งแกร่ง และประสิทธิภาพที่ได้เมื่อใช้พลังจิตโจมตีพวกมันก็จะยิ่งแย่ลง ยิ่งไปกว่านั้น ซอมบี้ตัวนี้ยังมีศีรษะที่ใหญ่ขนาดนั้น
จู่ๆ ซอมบี้หญิงก็มองไปที่ซย่าน่ากับหลี่ย่าหลิน และพยายามขยับปากพูดอีกครั้ง “พวกเดียว…”
หลิงม่อใจเต้น “ตึกตัก” ทันที ยัยซอมบี้ตัวนี้นี่…
แต่ในตอนนั้นเอง เสียงโครมครามก็ได้ดังมาจากทางฝั่งหน้าต่าง
เสียงกระจกแตกดังสนั่นไปทั่วห้องโถง และเงาร่างดำขนาดใหญ่เงาหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นข้างๆ หน้าต่าง
“สวี่ซูหาน!”
“เด็กโง่!”
พวกหลิงม่อหันไปทางนั้นพร้อมกัน และตะโกนอย่างตกใจ
มือใหญ่น่ากลัวข้างนั้นยื่นเข้ามาจากนอกหน้าต่าง และคว้าไปทางสวี่ซูหานที่อยู่ใกล้หน้าต่างที่สุด
การตอบสนองของสวี่ซูหานถือว่าเร็วมากแล้ว เธอรีบหันปากปืนกลับไป แล้วลั่นไกพร้อมกับถอยกรูดออกมา
ทว่าถึงแม้ว่ากระสุนจะยิงโดนซอมบี้ตัวนั้น แต่กลับไม่สามารถส่งผลอันตรายถึงชีวติให้มันได้เลย
มันไม่แม้แต่จะหยุดโจมตีด้วยซ้ำ…
และนับตั้งแต่ที่มันปรากฏตัวที่ข้างหน้าต่าง ยกมือพังกระจก จนถึงตอนที่ไขว่คว้าไปทางสวี่ซูหาน ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในเวลาสองวินาทีเท่านั้น
ขณะเดียวกันนั้น ซอมบี้หญิงก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้วเหมือนกัน
มันก้าวเท้าอย่างรวดเร็ว และพุ่งเข้ามาราวกับรถถัง
เมื่อเป็นอย่างนั้น พวกหลิงม่อก็ไม่อาจหันไปช่วยเหลือพวกเธอได้แล้ว
ตอนนี้หลิงม่อเข้าใจแล้ว ซอมบี้คู่นี้ไม่เพียงเคลื่อนไหวพร้อมกัน แต่พวกมันยังทำงานร่วมกันเป็นทีมด้วย!
ซึ่งในเผ่าพันธุ์ซอมบี้ เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก!
สวี่ซูหานยังคงยิงพลาดเป้าเรื่อยๆ จนกระทั่งมือข้างนั้นตวัดเข้ามาทางศีรษะของเธอ
ได้ยินเสียงลมแรงพัดเข้ามาข้างหู สวี่ซูหานสมองขาวโพลนไปทันที
ตายแน่ๆ…
แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ เงาร่างหนึ่งก็โฉบผ่านหน้ามือข้างนั้นไป เงาร่างนั้นอุ้มเธอขึ้น แล้วโยนออกไปอีกทาง
สวี่ซูหานที่ไม่ทันตั้งตัวเลยซักนิดรู้สึกเพียงว่าจู่ๆ ตัวเองก็ล้มลงบนโต๊ะตัวหนึ่ง ขณะเดียวกับที่รู้สึกเจ็บที่แผ่นหลัง เธอก็มองเห็นเงาร่างนั้นอย่างชัดเจน
“เย่เลี่ยน?”
สวี่ซูหานมึน เสี้ยววินาทีเมื่อกี้ เธอลืมไปสนิทเลยว่าข้างกายตัวเองยังมีเย่เลี่ยนอยู่อีกคน
เด็กสาวคนนี้ปกติมักจะมึนๆ อึนๆ ได้ยินพวกเขาพูดอะไรก็มักจะทำหน้าตาสงสัยอยู่ตลอดเวลา แต่เธอกลับไม่เคยเป็นฝ่ายชวนพวกเขาคุยก่อนเลยซักครั้ง
บางครั้งเธอก็รู้สึกเหมือนเย่เลี่ยนกำลังหลบเลี่ยงพวกเธอ เหมือนต้องการจะรักษาระยะห่างกับพวกเขา
แต่คิดไม่ถึง เมือกี้ตอนที่เธอคิดว่าตัวเองจะต้องถูกฉีกเป็นสองท่อนแน่ๆ กลับได้เด็กสาวคนนี้ช่วยชีวิตไว้
“รีบกลับมา!”
ในที่สุดสวี่ซูหานก็ได้สติกลับคืนมา เธอยื่นมือคลำไปรอบๆ ตัว เพื่อตามหาปืนของตัวเอง
จากที่เธอดู เย่เลี่ยนที่ตัวเล็กขนาดนั้น ไม่มีทางสู้ซอมบี้ตัวนั้นได้แน่
—————————————————————————–