เหล่าเจิ้งไม่ได้พูดเพื่อเป็นการรำพึงรำพันเท่านั้น แต่เขายังต้องการจะสื่ออะไรบางอย่าง แถมพอพูดจบ เขาก็หันไปจ้องหน้าหลิงม่ออย่างมีความนัยแฝง
“ฉันแสดงออกชัดเจนขนาดนี้ นายน่าจะเข้าใจสิ่งที่ฉันต้องการจะสื่อแล้วนะ! ตอนนี้เรื่องก็จบแล้ว นายน่าจะให้คำอธิบายอะไรกับฉันหน่อยไหม ไอ้ลูกพี่!”
จู่ๆ ก็ต้องเสียพันธมิตรไปอย่างนี้ มันไม่ใช่เรื่องเล็กเลย ถึงแม้หลิงม่อจะเป็นตัวแทนของฟอลคอนที่ 2 แต่เขาก็ไม่ควรทำอะไรตามอำเภอใจอย่างนี้!
เหล่าเจิ้งไม่ใช่หวังหลิ่น เขากับหลิงม่อเป็นแค่คนที่เพิ่งรู้จักกัน แต่ปรากฏว่าจู่ๆ ก็ถูกเขาหลอกใช้ให้ช่วยกำจัดศัตรู แถมยังติดร่างแหพลอยซวยไปด้วยอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่อีก
ตอนนี้ที่เหล่าเจิ้งต้องการเพียงคำอธิบาย ถือว่าเขายอมต่อให้มากที่สุดแล้ว!
ถึงแม้เหล่าเจิ้งจะทำเป็นมองข้ามเรื่องนี้ไปได้ แต่อย่างไรเขาก็ต้องรายงายเรื่องนี้ให้บรรดาบุคคลระดับสูงในค่ายกลางรู้อยู่ดี!
แต่สิ่งที่ทำให้เหล่าเจิ้งคาดไม่ถึงก็คือ หลิงม่อที่ถูกเหล่าเจิ้งจ้องด้วยสายตาแฝงความนัย กลับกำลังทำหน้างุนงง!
“ทำไมหรอ?” หลิงม่อถามอย่างตรงไปตรงมา
แต่คำถามสั้นๆ นี้ กลับแทบจะทำให้เหล่าเจิ้งกระอักเลือด
ยังมีหน้ามาถามอีกหรอ! คนที่ต้องถามคือฉันต่างหากล่ะโว้ย! ถึงฉันจะเข้าใจจุดประสงค์ของนายแล้ว แต่นายจะไม่ช่วยปลอบโยนความรู้สึกที่เจ็บปวดของฉันหน่อยเรอะ!
เหล่าเจิ้งรู้สึกเหมือนเลือดพุ่งพล่านขึ้นสู่ใบหน้าอย่างรวดเร็ว เขาอ้าปากหมายจะพ่นคำพูดออกไป แต่วินาทีที่คำพูดกำลังจะหลุดออกจากปาก จู่ๆ เขาก็ชะงักไปอีก
จริงสิ…หลิงม่อไปเอาความมั่นใจนี้มาจากไหนกัน?
เขาแกล้งโง่งั้นหรอ?
แน่นอนว่าไม่ใช่ ถ้าอย่างนั้นเขาก็รู้สึกแปลกใจจริงๆ…
“งั้น…หรือว่าเราทำผิด?”
เหล่าเจิ้งกำลังคิดอย่างเหลือเชื่อ ขณะเดียวกันก็ค่อยๆ ใจเย็นลง
“ใช่แล้ว…คนคนนี้ความคิดรอบคอบ ตอนที่เขาวางแผนนี้ขึ้นมา เขาต้องคิดเผื่อค่ายกลางของพวกเราแล้วแน่นอน…ความจริงสำหรับฉัน เรื่องนี้เป็นแค่เรื่องเล็ก แต่สำหรับบุคคลระดับสูงมันกลับเป็นเรื่องใหญ่เลยทีเดียว ถึงแม้พวกเขาอาจไม่ถึงขั้นตัดขาดความร่วมมือกับฟอลคอนที่ 2 เพราะเรื่องนี้ แต่อย่างไรก็ต้องมีคำวิจารณ์เกี่ยวกับการกระทำของเขาตามมามากมายอย่างแน่นอน และนั่นอาจทำให้กระทบความสัมพันธ์ในการร่วมมือกันของทั้งสองฝ่าย…ความเสียหายที่รุนแรงขนาดนี้ ไม่มีทางที่เขาจะไม่คิดไว้ก่อน…หรือว่าเขาต้องการให้ฉันช่วยปิดความลับ?”
ความคิดนี้เพิ่งจะผุดขึ้นมา เขาก็รีบปฏิเสธทันควันอีกครั้ง “ไม่หรอก ถึงฉันจะไม่พูด แต่ฝั่งนิพพานจะต้องปล่อยข่าวออกมาแน่นอน ถึงทางค่ายกลางจะยังไม่ได้ข่าวในเร็ววัน แต่ไม่ช้าอย่างไรก็ต้องรู้ความจริงเข้าซักวัน…จุดนี้เขาก็น่าจะคิดได้เหมือนกันนี่นา…อีกอย่างเรื่องในครั้งนี้ ก็ถือว่าเป็นการสร้างความบาดหมางกับนิพพานครั้งใหญ่เลยทีเดียว ถ้าหากนิพพานมีบัญชีดำ ชื่อของหลิงม่อคงกลายเป็นรายชื่อแรกในบัญชีนั้นแน่นอน! ฉันก็ไม่อาจปล่อยให้ค่ายกลางเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ ชีวิตเล็กๆ ของฉันก็คงรับผิดชอบเรื่องนี้ไม่ไหวเหมือนกัน ดังนั้นอย่างไรชื่อของเขาก็ต้องหลุดออกไปอย่างแน่นอน…ถ้าอย่างนั้น วิธีเดียวที่เขาจะไม่ทำให้เกิดผลกระทบตามมา ก็คงเหลือวิธีเดียว…”
“ไม่หรอก! ไม่มีทางหรอก!”
เหล่าเจิ้งช็อก เขามองหลิงม่ออย่างไม่อยากจะเชื่อความคิดตัวเอง
แต่พอนึกถึงการกระทำทุกอย่างของหลิงม่อเมื่อกี้ เขาก็อดขนลุกขึ้นมาไม่ได้
“คนอื่นอาจจะไม่ทำ…แต่เขาน่ะไม่แน่!”
“วิธีตัดปัญหาที่ดีที่สุด ก็คือทำให้นิพพานล่มสลาย…หรือไม่ก็ผนวกเข้าด้วยกันซะ!”
เมื่อนึกถึงทรัพยากรและกำลังคนที่นิพพานสั่งสมมา ลมหายใจของเหล่าเจิ้งพลันหอบถี่ขึ้นมาทันที
เขาต้องคิดผนวกกำลังแน่นอน!
ความทะเยอทะยานของหลิงม่อ ใหญ่หลวงถึงขนาดนี้เชียวหรือ!
นิพพานเต็มไปด้วยขวากหนาม หากคิดจะสร้างปัญหาเล็กน้อยให้ย่อมไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากคิดจะกลืนกิน คงไม่ง่ายขนาดนั้น!
ค่ายผู้รอดชีวิตที่สามารถพัฒนามาไกลได้ถึงขนาดนี้ อำนาจและพละกำลังในมือย่อมมีมากจนไม่อาจมองข้ามได้อย่างแน่นอน!
แต่หลิงม่อ…
เรื่องภายในของฟอลคอนที่ 2 เหล่าเจิ้งก็พอรู้มาบ้างไม่มากก็น้อย
ปัจจุบัน ฟอลคอนที่ 2 ถือเป็นเพียงค่ายผู้รอดชีวิตกึ่งอิสระ โดยมีฐานทัพฟอลคอนที่แท้จริงคอยหนุนหลังอยู่
และถึงแม้หลิงม่อจะเป็นหนึ่งในผู้กุมอำนาจแห่งฟอลคอนที่ 2 แต่ในสายตาคนใหญ่คนโตแห่งฐานทัพฟอลคอน เขากลับเป็นเหมือนเสี้ยนหนามตำใจ
ไม่มีใครยินดีถูกคนนอกแย่งอำนาจไปจากมือ ถึงแม้คนคนนั้นจะไม่เข้ามายุ่งเรื่องการบริหารก็ตาม!
แต่เพราะมีอวี่เหวินซวนอยู่ เรื่องนี้จึงยังไม่ถูกยกขึ้นมาเป็นประเด็นปัญหาอย่างโจ่งแจ้ง แต่ตอนนี้หลิงม่อกลับสร้างความบาดหมางกับนิพพาน สถานการณ์จึงย่อมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
หากฐานทัพฟอลคอนไม่ยอม การสนับสนุนที่ฟอลคอนที่ 2 จะมอบให้หลิงม่อได้ ก็ย่อมมีจำกัด!
กระทั่งอาจเกิดสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่านี้ขึ้น นั่นก็คือฐานทัพฟอลคอนบันดาลโทสะ จึงใช้หลิงม่อเป็นเบี้ยต่อรองเพื่อคืนดีกับนิพพาน!
“ไม่ว่าจะดูยังไงเขาก็ไม่น่าจะทำสำเร็จ หรือว่าเขามีไพ่ตายซ่อนอยู่?”
ยิ่งเหล่าเจิ้งคิดไปไกล คำถามก็ยิ่งมากขึ้น
อย่างน้อยหากมองจากจุดที่เขายืนอยู่ การที่หลิงม่อทำอย่างนี้ไม่ต่างอะไรจากรนหาที่ตายเลยซักนิด!
ในตอนนั้นเอง จู่ๆ หลิงม่อกลับร้อง “อ๋อ” ขึ้นมา แล้วบอกว่า “ไม่ต้องห่วง โยนความผิดทั้งหมดมาที่ฉันคนเดียวได้เลย แล้วก็อย่าเอ่ยถึงชื่อของหวังหลิ่นต่อหน้าหัวหน้าของพวกนายล่ะ”
“ห๊ะ? ได้…” เหล่าเจิ้งรับคำโดยอัตโนมัติ แต่พอได้สติ เขาก็นึกอยากตบหน้าตัวเองแรงๆ ซักที
เขามีอะไรต้องห่วงที่ไหน!
พอเปลี่ยนเป็นหมอนี่พูด กลับกลายเป็นตัวเขาเสียเองที่ลุกลี้ลุกลน!
“ไม่รนหาที่ ก็จะไม่ตาย คำพูดนี้ก็เหมาะกับนายเหมือนกัน! คนอะไร…ช่างไม่รู้ตัวเอาเสียเลย!”
เหล่าเจิ้งเดินฟึดฟัดไปอีกทาง เขากำลังขุ่นเคืองอยู่ จึงจำเป็นต้องอยู่ห่างจากหลิงม่อซักพัก…
ตอนนี้เอง จู่ๆ สวี่ซูหานก็เปิดปากพูดขึ้น “จะเอายังไงกับเขา?”
ขายหนุ่มที่กำลังถูกสวี่ซูหานบีบคออยู่ ถือว่ายังมีหน้านิ่งเฉยอยู่ เพียงแต่พอหลิงม่อมองมา เขากลับเกร็งร่างทันทีอย่างไม่รู้ตัว
สำหรับแผนการเหล่านั้นของหลิงม่อ ความจริงเขาไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก แต่การตอบสนองและการเคลื่อนไหวที่เร็วดังสายฟ้าของหลิงม่อ กลับสามารถทำให้ชายคนนี้ยอมจำนน
ถึงแม้เขาไม่เคยประมือกับหลิงม่อโดยตรง แต่เขากลับรู้จักพลังและความสามารถของเหอหงเยี่ยนเป็นอย่างดี…
คนที่สามารถทำให้เหอหงเยี่ยนไร้พลังต่อต้านและไม่มีโอกาสเอาคืนได้ ถ้าเขาต้องประมือด้วย ก็คงจะต้องพบกับจุดจบที่ถูกสังหารในหนึ่งวินาทีอย่างไม่ต้องสงสัย
ยอดฝีมือ นี่แหละคือยอดฝีมือตัวจริง!
ตอนที่เหอหงเยี่ยนถูกหวังเลิ่นลากตัวไป แม้ว่าเขาจะหวาดกลัวและลนลานอยู่บ้าง แต่ที่มากกว่าคือความสงสาร
ตอนที่เธอมองเห็นหลิงม่อเป็นผักปลา เกรงว่าหลิงม่อคงมองเธอเป็นตัวตลกมากกว่า
ตั้งแต่ต้นจนจบ เขามองไม่เห็นวี่แววความโกรธหรืออัปยศจากใบหน้าของหลิงม่อเลย สายตาที่หลิงม่อมองเหอหงเยี่ยนก็ช่างเฉยเมยเสียยิ่งกว่ามองสิ่งใด
ตอนแรกเขาคิดว่าหมอนี่คงยังไม่เข้าใจสถานการณ์ของตัวเอง หรือคิดว่า ช่างรู้จักสไตล์การทำงานของเหอหงเยี่ยนน้อยไปซะแล้ว…แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว หลิงม่อรู้สึกเฉยมากจริงๆ เขาเฉยเมยราวกับกำลังมองมดตัวเล็กๆ แยกเขี้ยวแยกเล็บอยู่ต่อหน้าเขา
เมื่อถึงคราวตัวเองต้องเผชิญหน้ากับคำตัดสินแห่งชะตาชีวิต ชายหนุ่มก็เริ่มหวาดกลัวขึ้นมาอีกครั้ง
คนที่มีชีวิตรอดมาได้จนถึงตอนนี้ ไม่มีใครไม่รักตัวกลับตายหรอก แม้แต่เหอหงเยี่ยนก็เช่นกัน ถึงเธอจะไม่เห็นค่าชีวิตคนอื่น แต่เธอก็หวงแหนชีวิตตัวเองมาก และหากมองจากบางมุม นิสัยใจคอที่ชั่วร้ายก็เป็นการแสดงออกถึงการรักตัวกลัวตายอย่างหนึ่งของเธอ…
หลังจากที่ยืนตัวสั่น มือไม้เย็นเฉียบอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็กลืนน้ำลาย แล้วมองหลิงม่อเดินเข้ามาหาอย่างช้าๆ
“ฉัน…”
“ปล่อยเขาเถอะ” หลิงม่อบอก
ชายหนุ่มเบิกตากว้าง เขายังไม่ทันได้ตั้งตัว สวี่ซูหานก็คลายมือออก และถอยห่างจากเขาทันที จากนั้นเธอก็เดินก้มหน้าไปยืนข้างหลังหลิงม่อเหมือนเดิม
แต่ท่าทางแปลกๆ ของเธอกลับไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มเอะใจแต่อย่างใด เพราะเขากำลังมองหน้าหลิงม่ออย่างเหนือความคาดหมาย
“ฉันไม่ใช่พวกฆาตกรโรคจิตซักหน่อย นายกลัวอะไร” หลิงม่อเอือม
เขาไม่ได้มีความแค้นอะไรกับชายคนนี้ ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาแฝงตัวเข้ามา เขาเองก็ได้ยินชายหนุ่มเกลี้ยกล่อมเหอหงเยี่ยนแล้ว
เพียงแต่เขาไม่กล้าต่อต้านเหอหงเยี่ยนจริงๆ ดังนั้นคำพูดของเขาจึงไม่มีผลอะไรมากนัก แต่จากแค่จุดนี้ ก็แสดงถึงความบ้าอำนาจและเอาแต่ใจของเหอหงเยี่ยนได้อย่างชัดเจนแล้ว
“นะ…นั่นสินะ” ชายหนุ่มฝืนกระตุกปากยิ้มฝืดอย่างลนๆ
“แต่ฉันมีเรื่องให้นายช่วยเรื่องหนึ่ง” หลิงม่อมองชายหนุ่มที่กำลังตื่นตระหนก แล้วหัวเราะบอกว่า “วางใจ ฉันไม่ให้นายไปทำเรื่องเสี่ยงตายหรอก ไม่แน่นายอาจได้สร้างผลงานด้วยซ้ำ แต่ถ้าบอสใหญ่ของนายยังมีอารมณ์แจกรางวัลล่ะก็นะ”
หลิงม่ออาจดูเหมือนกำลังพูดเล่น แต่เหล่าเจิ้งกลับเริ่มขมวดคิ้วมุ่นอีกครั้ง
“เมื่อกี้ได้ยินเขาบอกว่า ‘เขามีหนี้เยอะอยู่แล้ว ไม่กลัวหรอก’ ด้วย…หรือว่าเขาบาดหมางกับนิพพานไปแล้ว? ไม่เข้าใจเลยแฮะ…”
—————————————————————————–