บอกได้เลยว่าการโจมตีของซอมบี้หัวโตเหล่านี้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง จนแทบไม่เปิดโอกาสให้พวกหลิงม่อได้หายใจ
โชคดีที่ไรเฟิลของเย่เลี่ยนช่วยเปิดช่องให้พวกเขาได้เล็กน้อย เมื่อเสียงแผดร้องดังขึ้นติดๆ กันหลายครั้ง ในที่สุดการโจมตีด้วยคลื่นเสียงนี้ก็เผยจุดอ่อนออกมา และหลิงม่อก็ได้คว้าโอกาสนี้ไว้ทันที โดยการพาทุกคนวิ่งถอยไปยังกำแพงข้างหลัง
ซอมบี้ตัวอ่อนตัวนั้นจับสังเกตการณ์เคลื่อนไหวที่แปลกไปของพวกหลิงม่อได้ทันที มันขึ้นไปบนหลังคาและกระโดดขึ้นกระโดดลงหลายครั้ง เสียงแผดร้องของมันก็เปลี่ยนไปด้วย “จี๊ดด จี๊ดๆๆ…”
“ทั้งๆ ที่พูดไม่เป็น แต่กลับมีวิธีสื่อสารที่ไม่ซ้ำกันเลยนะ!” หลิงม่อเดือดดาล
เจสันที่หอบหายใจแรงอยู่อีกข้าง บอกว่า “ได้ยินมาว่าทารกของมนุษย์เองก็มีวิธีการสื่อสารที่พิเศษอย่างหนึ่ง เหมือนจะเรียกว่าภาษามือ…ดังนั้นที่สัตว์ประหลาดพวกนี้วิวัฒนาการการสื่อสารด้วยเสียงกรีดร้องขึ้นมาได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก…”
หลี่ย่าหลินที่อยู่ขวางอยู่ข้างหน้ามีสีหน้าสนอกสนใจขึ้นมาทันที เธอรีบหันมาถามทันที “อย่างนั้นหรอ? ถ้าอย่างนั้นฉันก็น่าจะสื่อสารกับพวกมันได้น่ะสิ?”
“หา? นะ…น่าจะได้นะ ขอเพียงจับรูปแบบของเสียงแบบนี้ได้ล่ะก็นะ…แต่ทำไมต้องสื่อสารกับสัตว์ประหลาดพวกนั้นด้วยล่ะ?”
เจสันทำหน้าประหลาดใจ ซย่าน่าจึงพูดตัดบทเขา “เมื่อกี้คุณบอกว่า ‘ได้ยินมาว่า’ งั้นหรอ?”
“ใช่ครับ…” ความสนใจของเจสันถูกเบนออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ตอนที่ตอบคำถามซย่าน่า เขาก็ยังอดมองหลี่ย่าหลินแวบหนึ่งไม่ได้
พอเห็นอย่างนั้นหลิงม่อก็ลอบถอนใจเบาๆ ขณะเดียวกันก็ส่งสายตาชื่นชมไปให้ซย่าน่าด้วย เจสันเป็นคนที่ดูนิสัยไม่ค่อยสนใจอะไรแต่กลับเอะใจกับเรื่องน้อยๆ อย่างนี้ ถือว่ามีความสามารถในการสังเกตการณ์ไม่น้อย คนทั่วไปหากได้ยินคำถามของรุ่นพี่ ส่วนมากคงจะคิดว่าเป็นเรื่องตลก แต่ทั้งที่อยู่ในสถานการณ์อย่างนี้ เจสันกลับสังเกตเห็นสีหน้าของหลี่ย่าหลินเข้า จึงทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้น
ทว่าความสงสัยประเภทนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะเท่านั้น ดังนั้นพอซย่าน่าพูดแทรก เขาจึงมองข้ามข้อสงสัยนี้ไปได้ง่ายๆ
ไม่น่าล่ะจางอวี่กับโทมัสถึงได้ส่งเขามา แทนที่จะเป็นคนรู้จักคนอื่น…แต่ยิ่งสัมผัสได้ถึงความใส่ใจและรอบคอบของพวกเขา หลิงม่อก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องราวในครั้งนี้อาจแย่กว่าที่เจสันเล่าให้ฟังก็ได้…
ซย่าน่าชยิบตาให้หลิงม่อ จากนั้นก็พูดต่อว่า “จะว่าไงดีล่ะ คุณเคยสนใจเรื่องที่เกี่ยวกับทารกงั้นหรอ? ดูจากช่องทางการศึกษาที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน คุณไม่น่าจะรู้เรื่องนี้หลังจากที่เกิดภัยพิบัติแล้วแน่นอน ดังนั้นเป็นไปได้มากว่าคุณรู้ก่อนช่วงเกิดภัยพิบัติ…แต่ดูจากปฏิกิริยาตอบสนองของคุณก็ไม่เหมือนคนที่มีความทุกข์หรือโศกเศร้าเสียใจ ดังนั้นฉันขอเดาอย่างกล้าหาญว่าตอนนั้นคุณไม่ได้มีแผนจะแต่งงานแน่นอน หรืออาจถึงขั้นไม่มีแฟนเลยด้วยซ้ำ…”
“สุดท้ายฉันก็เลยได้ข้อสรุปว่า…ทั้งหมดนี้เป็นความฝันของคุณเท่านั้น แถมคุณยังได้ศึกษาและวางแผนเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างละเอียดซะด้วย…” ซย่าน่าพูดอย่างมีเลศนัย
คำพูดนี้ของเธอได้ทำลายความอยากรู้อยากเห็นทั้งหมดที่เจสันมีต่อรุ่นพี่ทันที ดูจากสีหน้าอ้ำอึ้งและใบหน้าที่กำลังกระตุกสั่น หลิงม่อเดาว่าเขาคงจะเจ็บปวดเพราะเรื่องนี้ไปอีกนาน
“ไม่เสียชื่อเซียนนักซ้ำเติมจริงๆ…”
หลิงม่อแอบแสดงความเห็นใจต่อเจสันอยู่ในใจเงียบๆ ขณะเดียวกันเขาก็ไม่ลืมที่จะสังเกตเจ้าซอมบี้หัวโต
เสียงแผดร้องในครั้งนี้ของมันดังต่อเนื่องถึงสิบกว่าวินาที และเหล่าซอมบี้ตัวอ่อนที่ถูกหยุดยั้งด้วยเสียงแผดร้องก็เริ่มเคลื่อนไหวแปลกไปทันที
ทันใดนั้น ซอมบี้ตัวอ่อนหนึ่งในฝูงที่เคลื่อนไหวด้วยความเร็วอยู่ตลอดพลันกระโจนไปข้างๆ ซอมบี้ตัวอ่อนที่ได้รับบาดเจ็บ แล้วยื่นมือออกไปจับแขนอีกฝ่ายทันที ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องมาด้วยความตะลึงของหลิงม่อ จู่ๆ เสียงแผดร้องแหลมๆ ก็ดังออกมาจากปากของซอมบี้ตัวเล็กตัวนั้น จากนั้นมันก็จับตัวพวกเดียวกันขว้างเข้ามาเต็มแรง
“นี่มันสืบทอดวิชามาจากรุ่นพ่อชัดๆ!” หลิงม่อโพล่งออกไป
เขาเคยเห็นเหตุการณ์ที่คล้ายกันนี้ที่เมือง A เพียงแต่ตอนนั้นคนที่จับซอมบี้ตัวอ่อนขว้างออกมา เป็นซอมบี้รุ่นพ่อของพวกมันเท่านั้น…
“ไม่ สถานการณ์ที่นี่ค่อนข้างพิเศษกว่า ซอมบี้ตัวอ่อนส่วนมากไม่มีทางได้รับการเลี้ยงดูระยะยาวอย่างแน่นอน เพราะถึงแม้พวกมันจะไม่ได้ถูกพวกสัตว์กลายพันธุ์หมายหัวเป็นอาหาร แต่พวกซอมบี้วัยผู้ใหญ่ไม่เหมือนกันนี่ ดังนั้นซอมบี้ตัวอ่อนที่นี่จึงโหดร้ายกว่าซอมบี้ในเมืองมาก และวิธีการโจมตีก็รุนแรงกว่าด้วย!” เจสันรีบอธิบาย
“ที่แท้ก็อย่างนี้เอง…W
หลิงม่อไม่มีเวลาคิดมากแล้ว ถึงแม้ระเบิดซอมบี้ลูกแรกจะถูกเย่เลี่ยนยิงกระจุยไปแล้ว แต่มีระเบิดซอมบี้ลูกอื่นๆ กำลังถูกขว้างเข้ามาแล้ว แถมยังถูกขว้างเข้ามาจากทิศทางที่แตกต่างกันด้วย
แม้แต่เย่เลี่ยนที่ใจเย็นที่สุดก็ยังเริ่มเกิดอาการสับสนงุนงง เธอหันมามองหลิงม่อด้วยสีหน้าซื่อๆ เหมือนไม่รู้จะรับมืออย่างไร
“ไม่เป็นไรๆ…” หลิงม่อรีบปลอบ
เจสันมองตามสายตาของหลิงม่อไปที่เย่เลี่ยน แต่สุดท้ายเขาก็แค่ขยับปากสองสามครั้ง และไม่ได้พูดอะไรออกไปในที่สุด เหตุผลครึ่งหนึ่งเป็นเพราะเขามีไหวพริบ ส่วนเหตุผลอีกครึ่งเป็นเพราะเขากลัวซย่าน่า…
ทว่าเด็กผู้หญิงที่ไม่เคยผ่านการฝึกฝนแบบทหารมาก่อนกลับสามารถใช้ปืนไรเฟิลได้ถึงระดับนี้ กระทั่งสามารถยิงโดนซอมบี้ตัวอ่อนที่เคลื่อนไหวด้วยความเร็วและเปลี่ยนทิศทางไปมาทุกนัดไม่เคยพลาด ช่างเป็นเรื่องที่น่าทึ่งจริงๆ
โดยเฉพาะเมื่อมีฝีมือการยิงปืนของหลิงม่อเป็นตัวเปรียบเทียบอยู่ข้างๆ ปืนไรเฟิลของเย่เลี่ยนก็ยิ่งร้ายกาจขึ้นหลายเท่า
“ถึงแม้จะเป็นพลังพิเศษ แต่นี่มันร้ายกาจเกินไปแล้ว…ทุกครั้งที่เธอยิง ปากปืนไม่ได้เล็งไปที่ซอมบี้ตัวอ่อน แต่เป็นตำแหน่งที่พวกมันกำลังจะเคลื่อนไหวไปต่างหาก…ความสามารถในการคาดเดาล่วงหน้าอย่างนี้ น่ากลัวเกินไปแล้ว! แต่เพราะอะไรกัน เพราะอะไรเธอถึงได้มีนิสัยมึนๆ ซื่อๆ อย่างนี้กันล่ะ! มันขัดกับความสามารถนี้เกินไปแล้ว!” เจสันอดคิดไม่ได้
ถึงแม้เขาจะสังเกตเห็นทศทางของปากปืน แต่กลับไม่เห็นดวงตาของเย่เลี่ยนในขณะที่กำลัง “เล็ง” ในม่านตาที่หดตัวและขยายตัวอย่างต่อเนื่องของเธอ หากสังเกตดูดีๆ ก็จะเห็นสีเลือดแวบผ่านเป็นครั้งคราว…
“ซย่าน่า รุ่นพี่!”
หลิงม่อจ้องระเบิดซอมบี้พวกนั้นอย่างตื่นตระหนก แล้วเขาก็ตะโกนเรียกเสียงดัง
“คิกคิก”
ซย่าน่าควงเคียวดาบตวัดไปมาอย่างผ่อนคลาย พลางเดินขึ้นหน้าไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ส่วนหลี่ย่าหลินอาจดูเหมือนยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหน แต่กว่าเจสันจะค้นพบอย่างตื่นตะลึงก็ผ่านไปสองวินาทีแล้ว เงาร่างของเธอที่ดูไม่ต่างอะไรจากมนุษย์ กลับกระเพื่อมสองสามทีจากนั้นก็หายตัวไปทันที…และรุ่นพี่ที่ไปปรากฏตัวอยู่ข้างหน้าก็หายตัวไปอย่างนั้นหลายครั้งติดๆ กัน ชั่วขณะนั้น ทุกคนได้ยินเพียงเสียงหัวเราะร่าของเธอ แต่กลับไม่สามารถแยกแยะได้ว่ารุ่นพี่คนไหนเป็นตัวจริง
“เหมือนรุ่นพี่จะพัฒนาขึ้นมาก…ถึงแม้เงาร่างจะคงอยู่ได้ไม่นาน แต่กลับสามารถลวงตาคนอย่างเจสันได้…”
หลิงม่อคิดในใจ แต่ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นซย่าน่า
ซย่าน่าในตอนนี้ได้แยกร่างดวงจิตน่าน่าออกมาแล้ว ถึงแม้จะมีเสียงกรีดร้องจากซอมบี้ตัวอ่อนคอยก่อกวน แต่ร่างแยกน่าน่าเดิมก็เป็นร่างที่มีตัวตนอยู่ด้วยตัวเธอเองอยู่แล้ว ถึงแม้ตอนนี้จะได้รับผลกระทบบ้าง แต่ก็ยังสามารถปรากฏตัวออกมาได้
สิ่งที่ทำให้หลิงม่อตะลึงก็คือ “ร่างกายท่อนล่าง” ของน่าน่ายังคงเป็นส่วนเดียวกับซย่าน่าอยู่ แต่ร่างกายท้อนบนกลับโน้มตัวออกมา และการปรากฏตัวของเธอในครั้งนี้ ก็ดูเหมือนว่าเส้นผมและเคียวดาบของเธอจะถูกสีเลือดย้อมจนแดง กระทั่งมีบางส่วนที่คล้ายกลีบดอกไม้สีเลือดกระจายตัวออกมาลอยอยู่รอบตัวน่าน่า จากนั้นก็กลับไปรวมอยู่ในร่างดวงจิตของเธออีกครั้ง
“พลังจิตร้ายกาจมาก! สิ่งที่เกิดขึ้นนั่น คงจะเป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งของคลื่นดวงจิตสินะ…”
หลิงม่อเลื่อนสายตาไปที่จุดเชื่อมต่อของน่าน่ากับเฮยน่า พลางคิดด้วยสายตาเปล่งประกาย “ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ เธอเหลือพลังจิตไว้ในร่างแค่เล็กน้อย เพื่อเป็นพลังส่งเสริมการเคลื่อนไหวของเฮยน่ารวมถึงการมีอยู่ของน่าน่า…เฮยน่ามีสัญชาตญาณซอมบี้เป็นพลังสนับสนุน ดังนั้นเธอจึงเลือกละทิ้งพลังจิตส่วนที่ไม่จำเป็น เหลือไว้เพียงบางส่วนเพื่อใช้สำหรับการต่อสู้และเทคนิคบางอย่างเท่านั้น…
“ส่วนร่างดวงจิตน่าน่านั้นเป็นร่างที่กักเก็บอารมณ์ส่วนใหญ่รวมถึงการตัดสินใจต่างๆ ต่อสถานการณ์การต่อสู้ไว้ จากนั้นเธอก็ถ่ายทอดข้อมูลผ่านจุดเชื่อมต่อไปใหเฮยน่า เดิมพวกเธอเป็นคนคนเดียวกันอยู่แล้ว การถ่ายทอดจึงเกิดขึ้นทันทีที่ข้อมูลนั้นผุดขึ้นมาในสมอง…นอกจากนี้ พลังของน่าน่าก็จะเพิ่มขึ้นไปพร้อมกันด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นอกสองตัว! แต่ที่วิธีการแยกร่างของพวกเธอประหลาดขนาดนี้ เห็นชัดว่าเป็นเพราะความสามารถกลายพันธุ์นี้ยังไม่เติบโตเต็มที่…”
เวลานี้ หลิงม่อได้พาทุกคนให้ถอยมาที่มุมกำแพง แต่ทันใดนั้น เขากลับค้นพบปัญหาใหญ่เรื่องหนึ่ง
“เชี่ย! แล้วสวี่ซูหานล่ะ!”
ซอมบี้สาวที่สวมหน้ากากปิดหน้าและยืนหลบอยู่ข้างหลังเขาตัวนั้น กลับหายตัวไปในเวลาอย่างนี้!
ตอนนี้ซย่าน่ากับรุ่นพี่หยุดยั้งระเบิดซอมบี้ไว้ได้แล้ว และเสียงแผดร้องก็เบาลงเพราะเหตุนี้ไม่น้อย
หลิงม่อที่กำลังร้อนรนรีบแผ่หนวดสัมผัสออกไปทันที
แต่เขายังไม่ทันเริ่มตามหาสวี่ซูหาน จู่ๆ สัญญาณที่เร่งด่วนสุดๆ ก็ถูกถ่ายทอดเข้ามาในสมองของหลิงม่อ
และขณะเดียวกัน ภาพภาพหนึ่งก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในสมองของเขา…
อาจเป็นเพราะหลิงม่อยังไม่สามารถรวบรวมสมาธิได้ดี ภาพดังกล่าวจึงมีคลื่นรบกวนเหมือนเวลาทีวีเสียปรากฏขึ้น และนั่นทำให้มันดูเลือนรางเล็กน้อย
เมื่อเนื้อหาในภาพเริ่มถูกฉาย เสียงขาดๆ หายๆ ของเฮยซือก็ดังขึ้นมาในสมองของเขา “รอบๆ…พวกนายมี…ฉันกับเสี่ยวป๋าย…กำลังซ่อน…”
“อะไรนะ?”
หลิงม่อได้ยินเสียงเฮยซือไม่ชัด แต่กลับเห็นภาพนั้นอย่างชัดเจนแล้ว
มันยังคงเป็นภาพวาดแบบง่ายเหมือนเดิม แต่ก็ถือว่ามีความเปลี่ยนแปลงจากเดิมไม่น้อยแล้ว
ครั้งนี้เริ่มมีสีสันเพิ่มขึ้นมาแล้ว…
ทว่านี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะสิ่งที่ควรสนใจในตอนนี้ก็คือเนื้อหาในภาพ…
ในภาพคือสิ่งมีชีวิตประเภทสัตว์ปีกขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง โดยที่ด้านล่างมีภาพหัวกะโหลกสีแดงถูกวาดไว้อย่างชัดเจน…
“เอิ่ม…”
หลิงม่อจ้องมองสิ่งมีชีวิตตัวนั้นอยู่นานสองนาน แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ไก่ที่อันตรายมากตัวหนึ่ง?”
มันเป็นการคาดเดาที่ไร้สาระมาก แต่จะโทษเขาก็ไม่ได้…ฝีมือการวาดภาพของเฮยซือแย่มากจริงๆ สัตว์ปีกที่ตัวอ้วนขนาดนี้ ดูยังไงก็เหมือนไก่มาก!
เสียงขาดๆ หายๆ ของเฮยซือดังขึ้นอีกครั้ง แต่หลิงม่อได้ยินไม่ถึงสองประโยค เจ้าซอมบี้ตัวอ่อนนั่นก็แผดร้องเสียงแหลมเสียดแทงแก้วหูขึ้นมาอีกครั้ง
หลิงม่อปวดหัวขึ้นมาทันที เขาทำได้เพียงตะโกนเสียงดังว่า “พวกเธอระวังด้วย!”
พวกอวี๋ซือหรานอยู่ในป่าทึบ แต่มีเฮยซือกับเสี่ยวป๋ายอยู่ด้วย สัตว์กลายพันธุ์ทั่วไปไม่อาจเข้าใกล้พวกเธอได้อยู่แล้ว หลิงม่อคิดไว้ว่ารอให้เฮลิคอปเตอร์บินออกไปก่อน เขาค่อยให้เจ้าสามตัวนั่นเข้ามาหลบในคลังน้ำมัน เพื่อฉวยโอกาสให้พวกนั้นได้พักผ่อนบ้าง
เขายังไม่ทันเข้าใจสิ่งที่เฮยซือต้องการสื่อ แถมสวี่ซูหานก็หายตัวไปเสียแล้ว
หลิงม่อคว้าแขนเย่เลี่ยน แล้วบอกว่า “เด็กโง่ เธอตามหาสวี่ซูหานได้ไหม?”
—————————————————————————–