“พอเห็นรอยโรคก็ตื่นเต้นขึ้นมาเลยนะ…” หลิงม่อค่อนข้างผิดคาดเล็กน้อย ตอนแรกเขาแค่ต้องการทดสอบอันตรายของเจ้า “รอยโรค” เท่านั้น และต้องการช่วยชายแว่นดำ…ให้มั่นใจในการคาดเดาของตัวเองมากขึ้น แผนการนี้หลิงม่อคิดไว้ตั้งแต่ที่พวกเขาลงจอดที่นี่แล้ว ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ถือว่าได้ผลดีทีเดียว…
ถึงอย่างไรชายแว่นดำก็ไม่ใช่บอสใหญ่ตัวจริงอยู่ดี หลังจากสูญเสียสายสัมพันธ์ระหว่างกันไป ลักษณะเด่นของนิสัยเดิมของเขาก็กลับมา พูดได้ว่าเขาเป็นภาชนะที่บรรจุความทรงจำของบอสใหญ่ไว้ ถึงแม้ระหว่างทั้งสองจะมีจุดที่คล้ายคลึงกัน แต่ก็มีจุดที่แตกต่างชัดเจนด้วยเช่นกัน อย่างน้อยเจ้าแว่นดำนี่ก็เจ้าเล่ห์ไม่ได้ครึ่งของร่างหลักเลย
“พอเขาฟื้นขึ้นมา เขาก็จะบอกข้อมูลทั้งหมดกับเราเอง…ไม่ว่าจะเจรจาแลกเปลี่ยนยังไงกับเขา เขาก็ไม่มีทางหักหลัง “ตัวเอง” อย่างสิ้นเชิงแน่นอน ใช้วิธีนี้กลับจะได้ผลมากกว่า เขาคิดว่าเราเป็นคนของนิพพานตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นทันทีที่เกิดเหตุการณ์ผิดปกติขึ้น เขาก็จะคิดฟุ้งซ่านได้ง่ายๆ เมื่อจับต้นชนปลายเรื่องทั้งหมดเข้าด้วยกัน เขาก็จะเกิดความ ‘เข้าใจผิด’อย่างนี้ขึ้นมาอย่างตอนนี้…”
หลิงม่อคิดในใจ ในขณะที่หันไปมองเจ้า “รอยโรค” “แต่มันกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรเลยนี่นา หรือว่า…มันเป็นแค่อวัยวะมีชีวิตที่เป็นตัวช่วยในการเปล่งเสียงเท่านั้น?”
หลังสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง หลิงม่อก็นั่งยองๆ ลงกับพื้น จากนั้นก็ใช้หนวดสัมผัสกรีดผิวชายแว่นดำจนเป็นแผล “ต้องใช้ทรัพยากรที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุด…” เขาพึมพำกับตัวเอง ขณะเดียวกันก็กดเจ้า “รอยโรค” ลงไป ชายแว่นดำที่กำลังสลบไสลพลันกระตุกสั่น ราวกับสัมผัสได้ถึงเรื่องโชคร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นกับร่างกายตัวเอง…
ทว่ามือของหลิงม่อกลับหยุดชะงักในขณะที่ออกห่างจากบาดแผลเพียงห้าเซนติเมตร สิ่งที่เขาไม่เข้าใจก็คือ ถึงแม้เจ้า “รอยโรค” ก้อนนี้จะมีการตอบสนองอัตโนมัติต่อกลิ่นคาวเลือดอยู่ด้วย แต่มันกลับไม่ได้ดูระริกระรี้เท่าเจ้ามาสเตอร์บอลแต่อย่างใด…
“แปลกจริง…ถึงแม้ว่าประสิทธิภาพต่างกัน แต่ในเมื่อพื้นฐานธรรมชาติเหมือนกัน อย่างน้อยการตอบสนองโดยสัญชาตญาณก็น่าจะเหมือนกันสิ? แต่การตอบสนองที่แตกต่างกันของพวกมันในตอนนี้ เกิดจากอะไรกัน?”
หลิงม่อขมวดคิ้วครุ่นคิด จากนั้นเขาก็แผ่หนวดสัมผัสเส้นหนึ่งไปให้เจ้า “รอยโรค” และครั้งนี้ การตอบสนองของมันยิ่งชัดเจนกว่าเดิม คือมันไม่สนใจหนวดสัมผัสเลยแม้แต่น้อย…
“เราต้องพลาดอะไรบางอย่างไปแน่ๆ…คิดดีๆ สิ…” ผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ดวงตาของหลิงม่อก็เปล่งประกายขึ้นมา “ใช่แล้ว! ร่างแม่ของมัน!”
ก่อนหน้านี้เขาก็เคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน เพียงแต่ขอบเขตความคิดของเขาในตอนนั้น จำกัดอยู่กับเรื่องลำดับขั้นของซอมบี้เรื่องเดียว แต่กลับมองข้ามความต่างระหว่างซอมบี้ธรรมดาและซอมบี้กลายร่างไป ถึงแม้ว่าซอมบี้ตัวอ่อนพวกนั้นจะกลายพันธุ์เพราะดื่มน้ำมันเป็นอาหาร แต่แหล่งที่มาของเจ้ามาสเตอร์บอลล่ะ? เจ้ามาสเตอร์บอลเกิดจากแหล่งเชื้อไวรัสตัวหนึ่งเชียวนะ!”
ขึ้นอยู่กับระดับสูงต่ำนี่เอง!
“ถึงแม้จะไม่ถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์สายตรง แต่มันก็กลืนกินอะไรไปไม่น้อยเลยนี่นา…แม้แต่ซอมบี้ราชาก็เคยถูกมันกินมาแล้ว…” หลิงม่อเข้าใจทันที เจ้า “รอยโรค” ก้อนนี้ยังอยู่ในระดับที่ต่ำเกินไป แต่เจ้ามาสเตอร์บอลกลับวิวัฒนาการจนเริ่มเข้าใกล้สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์แล้ว ถ้าหากเขาอยากเลี้ยงอีกตัว เขาก็ต้องตามหา “รอยโรคระดับสูง” เหมือนเจ้ามาสเตอร์บอลมาให้ได้
ทว่าซอมบี้ที่เป็นแหล่งเชื้อไวรัสกับซอมบี้ร่างแม่ไม่ได้หากันได้ง่ายๆ ลูกหลานของพวกมันมีไม่มาก ยิ่งตัวที่มี “รอยโรค” ยิ่งหายากเข้าไปใหญ่ จากจุดนี้ ถือได้ว่าเจ้ามาสเตอร์บอลเป็นสิ่งล้ำค่ามากจริงๆ…
“ที่เจ้ามาสเตอร์บอลดูตื่นตัวขนาดนี้ เป็นเพราะอยากกลืนเจ้า “รอยโรค” ก้อนนี้สินะ? ก็ดี ไม่แน่ว่าเจ้าสิ่งนี้อาจเป็นอาหารที่แท้จริงของมันก็ได้…”
พอคิดถึงตรงนี้ หลิงม่อก็โยน “รอยโรค” ในมือออกไป และเจ้ามาสเตอร์บอลที่เพิ่งจะกระโดดขึ้นกลางอากาศก็พองตัวทันที ใช้เวลาเพียงชั่วพริบตามันก็กลืน “รอยโรค” ลงท้องไปทันที ในร่างกายโปร่งแสงของมันมีเงาร่างที่คล้ายตัวมันทับซ้อนข้างในอีกชั้น และหลังจากที่นิ่งไปไม่กี่วินาที มันก็เริ่มหดตัวเล็กลงอีกครั้ง ในขณะที่ผิวภายนอกก็เริ่มกลายเป็นสีแดงไปด้วย
เจ้ามาสเตอร์บอลที่เดิมยังเป็นเหมือนอัญมณีสีใส ตอนนี้ได้กลายเป็นก้อนสีแดงเลือดไปแล้ว เมื่อสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่เกิดขึ้นภายในร่างกายของมันก็ถูกบดบังจนมองไม่เห็น หลิงม่อเองก็ไม่ได้สนใจกระบวนการกลืนกินอย่างนี้มากนัก สิ่งที่เขาตั้งตารอคอยคือวิวัฒนาการหลังจากนี้ของเจ้ามาสเตอร์บอลต่างหาก
“มันตั้งตารอขนาดนี้ แสดงว่าสิ่งนี้จะต้องมีประโยชน์กับมันมากแน่ๆ น่าเสียดายที่ถึงแม้จะมีซอมบี้ตัวอ่อนมากมายขนาดนั้น แต่กลับมีเจ้าสิ่งนี้อยู่แค่ก้อนเดียว ไม่ได้หากันได้ง่ายๆ เลยนะเนี่ย…”
การกลืนกินของเจ้ามาสเตอร์บอลดำเนินต่อเนื่องไปอย่างยาวนานจนเกือบถึงหนึ่งชั่วโมง จนกระทั่งเมื่อผิวสีแดงของมันเริ่มเปลี่ยนเป็นสรใสอย่างช้าๆ เจ้าตัวเล็กก้อนนี้จึงได้หดตัวกลับไปมีขนาดเท่าเดิมในที่สุด
หลิงม่อรีบจับมันขึ้นมาทันที ดูจากสีและรูปร่างภายนอก เจ้ามาสเตอร์บอลยังคงเป็นเหมือนก่อนหน้านี้ ทว่าในร่างกายของมันราวกับมีกลุ่มเลือดเล็กๆ เพิ่มขึ้นมาจุดหนึ่ง เส้นเลือดที่คล้ายเส้นชีพจรมากมายโยงใยเข้าด้วยกัน โดยที่จุดศูนย์กลางเป็นเหมือนเลือดหยดหนึ่ง ทว่าหากมองดูดีๆ มันกลับดูเหมือนเป็นหัวใจดวงเล็กๆ ดวงหนึ่ง…
“ไม่คิดเลยว่าจะมีประโยชน์ถึงขนาดนี้! แต่ไม่รู้ว่ามันจะทำให้พลังของเจ้ามาสเตอร์บอลเพิ่มขึ้นไหม…” ความยินดีสะท้อนชัดในดวงตาหลิงม่อ เขาครุ่นคิด พลางบีบเจ้ามาสเตอร์บอลหนึ่งที
แต่ครั้งนี้เขายังไม่ทันแบมือออก จู่ๆ เจ้ามาสเตอร์ก็เปล่งเสียงออกมา
“จิ๊บ!”
หลิงม่อนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ แต่ไม่นานเขาก็ทำหน้าสงสัย
เมื่อก่อนเสียงที่เจ้ามาสเตอร์บอลเปล่งออกมา ความจริงแล้วเกิดขึ้นจากการที่ร่างกายของมันหดตัว เพียงแต่เพราะมันเบามาก จึงไม่อาจได้ยินได้ง่ายๆ แต่หลิงม่อถือว่าสังเกตการณ์เจ้ามาสเตอร์บอลอย่างละเอียดมาโดยตลอด เขาย่อมต้องสังเกตเห็นรายละเอียดเล็กน้อยนี้อยู่แล้ว
แต่เจ้ามาสเตอร์บอลในตอนนี้กำลังหดตัวเพราะถูกหลิงม่อบีบต่างหาก แล้วมันจะมีเสียงออกมาได้ยังไงกัน?
นอกเสียจากว่า…
หลิงม่อเบิกตากว้างทันที เขาแบมือออกเบาๆ จากนั้นก็บีบมันอีกครั้ง ครั้งนี้เขาพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ “หัวใจ” ดวงนั้น ขณะเดียวกันก็แผ่หนวดสัมผัสทางจิตออกมาล้อมรอบตัวเจ้ามาสเตอร์บอลด้วย
“จิ๊บ~~~”
มีเสียงดังขึ้นอีกครั้งแล้ว และครั้งนี้ สีหน้าของหลิงม่อก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ร่างกายของเจ้ามาสเตอร์บอล…ไม่ขยับ! สิ่งที่ขยับมีเพียง “หัวใจ” ดวงนั้น! และเสียงนั้น ก็ดังออกมาจาก “หัวใจ” ดวงนั้น!
“ไม่คิดเลยว่าจะถึงขั้นวิวัฒนาการระบบสร้างเสียงขึ้นได้ด้วย! เจ้ามาสเตอร์บอลพูดได้!” หลิงม่อจ้องเจ้า “แมงกะพรุน” ในมืออย่างไม่กระพริบตา ในใจเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ความเร็วในการวิวัฒนาการนี้…ช่างน่ากลัว!
นับจากตอนที่ไม่มี มาจนถึงตอนที่มี กลับใช้เวลาไปเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น!
“ถ้าหากเหล่าหลันรู้เข้า ไม่รู้ว่าเขาจะคลั่งไปเลยหรือเปล่า…เจ้ามาสเตอร์บอลตัวนี้ เป็นฝันร้ายของพวกหนอนหนังสือชัดๆ!”
หลิงม่อบีบเจ้ามาสเตอร์บอลอีกสองครั้งอย่างห้ามใจไม่ได้ แต่ครั้งนี้เสียงร้องของเจ้ามาสเตอร์บอลกลับเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดูเหมือนมันจงใจแสดงออกด้วยท่าทีที่อ่อนลง ขณะเดียวกันก็ยังใช้หนวดเขี่ยฝ่ามือของหลิงม่อด้วย…
“เชี่ย! เชี่ยๆๆ! มันอ้อนเป็นด้วย! ลองบีบอีกครั้ง ดูซิจะมีอะไรใหม่ๆ ไหม…”
“จิ๊บ~~~เจี๊ยบ~~~”
………..
นอกอาคารที่พัก
หวังหลิ่นกำลังนั่งเช็ดทำความสะอาดมีดอยู่ที่มุมหนึ่ง แล้วจู่ๆ ชายขอบตาคล้ำที่คาบบุหรี่ไว้ในปากก็เดินมาข้างหลังเธอ
เขาจ้องมองหวังหลิ่นจากด้านหลังอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็กระแอมเสียงดัง บอกว่า “หวังหลิ่นเอ๋ย…”
“มีเรื่องอะไรก็พูดมาตรงๆ” หวังหลิ่นพูดขึ้นโดยไม่เงยหน้า
เหล่าเจิ้งทำสีหน้าลำบากใจ เขาลังเลไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ถามเสียงเบาว่า “เธอเคยคิดจะอยู่ที่นี่ต่อไปไหม? ฉันหมายถึง…อยู่กับพี่สาวและพี่เขยของเธอ?”
มือของหวังหลิ่นสะดุดเล็กน้อย เธอเงยหน้ามองซย่าน่าที่อยู่ไม่ไกล จากนั้นก็เหลือบมองไปทางบานประตูห้องที่ปิดสนิท…ไม่นานเธอก็แค่นเสียง บอกว่า “ยังคิดไม่ตกเลย พวกเขาสองคนเอาแต่รังแกฉันตลอด…”
“ก็แสดงว่าเคยคิดสินะ?” เหล่าเจิ้งถอนหายใจ บอกว่า “เธอคิดให้ดีล่ะ ตอนนั้นเธอถูกบีบให้หนีออกมา ค่ายกลางของพวกเรา…”
“ถ้าหากมีวันนั้นจริงๆ ฉันย่อมต้องตอบแทบบุญคุณอยู่แล้ว” หวังหลิ่นกัดเม้มริมฝีปาก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เรื่องนั้น…ฉันก็จะตอบแทนอย่างสาสมเหมือนกัน”
“จะไม่บอกพี่เขยเธอหรอ?” เหล่าเจิ้งถาม
“เขาก็คงทำเป็นแค่รังแกฉัน” หวังหลิ่นเช็ดมีดด้วยดวงหน้าบึ้งตึง
เหล่าเจิ้งยิ้มขมขื่น จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องคุย ทว่าครั้งนี้เขาเพิ่งจะอ้าปากพูดออกไป ก็ถูกหวังหลิ่นถลึงตาใส่ “ทำไมฉันรู้สึกว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ ยังไงชอบกล? พี่เขยเธอคงไม่ได้กำลังหลอกพวกเราอยู่หรอกใช่ไหม?”
“มีอะไรแปลกตรงไหนกัน! แถวนี้นอกจากฟอลคอนที่ 2 แล้วยังมีใครมีเฮลิคอปเตอร์อยู่อีกงั้นหรอ?” หวังหลิ่นพูดอย่างไม่พอใจ
“ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น…เธอไม่รู้สึกว่าพฤติกรรมของพวกเขาแปลกๆ หรอ? ทำไมต้องอยุ่ที่นี่ด้วย? เมื่อกี้ฉันแอบไปถามนักบินคนนั้นมา เขาบอกว่าจะให้หลิงม่อไปช่วยขนน้ำมัน แต่ก็ไม่เห็นถึงกับต้องอยู่ที่นี่เลยนี่? เรื่องนี้ มีเงื่อนงำ!” เหล่าเจิ้งพูดพร้อมขมวดคิ้วเป็นปม
—————————————————————————–