เมื่อเสียงเฮลิคอปเตอร์ดังเข้ามาใกล้ ชายสวมแว่นก็อึ้งค้าง สมาชิกฟอลคอนที่กำลังเดินเข้ามาจับหลิงม่อต่างก็พากันชะงักเท้า และเงยหน้าขึ้นไปมองด้วยความสงสัย ในย่านนี้มีอาคารบ้านเรือนอยู่มากมาย รวมถึงตึกสูงระฟ้าที่ตั้งตระหง่านอีกจำนวนหนึ่ง ดาดฟ้าที่พวกเขากำลังยืนอยู่ในตอนนี้ จึงถือว่ามองเห็นได้ค่อนข้างยากเพราะมีสิ่งกีดขวางสายตา
หลัวหมิงผึ่งหูฟังอย่างละเอียด แล้วแทบจะโพล่งออกไปโดยอัตโนมัติ “เฮลิคอปเตอร์! เฮลิคอปเตอร์ลำนั้น!” สีหน้าของเขาตึงเครียดขึ้นมาทันที ตามแผนที่พวกเขาวางไว้ล่วงหน้า เฮลิคอปเตอร์ลำนี้ต้องไม่บินกลับมาที่นี่สิ ถึงแม้นักบินจะถูกจับเป็นตัวประกัน เรื่องก็ไม่น่าจะเป็นอย่างนี้ไปได้ นอกจากว่า…คนบนเฮลิคอปเตอร์ลำนั้นคิดจะตายไปพร้อมกันกับพวกเขา!
ตอนที่วางกลยุทธ์การเคลื่อนไหวครั้งนี้ พวกเขาได้คิดแผนการรับมือที่เหมาะสมสำหรับสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นแล้ว หากคิดจะจับเป็นหลิงม่อ ก็ต้องเสี่ยงอันตรายกันบ้าง แต่ในแผนการของพวกเขา อันตรายดังกล่าวนี้กลับถูกลดต่ำลงในระดับต่ำสุด ถึงแม้นักบินจะถูกข่มขู่ แต่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมเฮลิคอปเตอร์ได้ คนพวกนั้นก็ไม่น่าจะทำอะไรบุ่มบ่ามเกินเหตุ และเหล่านักบินก็ได้เตรียมใจรับมือกับสถานการณ์อย่างนี้มาก่อนแล้ว ดังนั้นไม่ว่าอีกฝ่ายจะข่มขู่อย่างไร พวกเขาก็จะไม่มีทางเปลี่ยนแผนเด็ดขาด
นี่คือข้อได้เปรียบที่ดีที่สุดของพวกเขา! เพราะพละกำลังและอำนาจในการตัดสินใจล้วนอยู่ในมือพวกเขา! ถึงแม้หลิงม่อจะเก่งกาจอีกซักแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องยอมก้มหัวในสถานการณ์อย่างนี้ถึงจะถูก แต่ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? และฟังจากระยะห่างของเสียง เฮลิคอปเตอร์ลำนี้ก็ได้บินเข้ามาถึงด้านหลังตึกสูงเหล่านั้นแล้วด้วย…
“เป็นไปได้ยังไง?” ชายสวมแว่นสีหน้าเปลี่ยนไปทันที แต่กลับไม่มีใครสามารถตอบคำถามของเขาได้ นอกจาก…หลิงม่อ!
เวลาสั้นๆ เพียงสองวินาทีต่อมา เฮลิคอปเตอร์ลำนั้นก็ได้ปรากฏขึ้นเหนือตึกสูงแห่งหนึ่ง ห่างออกไปประมาณ 100 – 200 เมตร จู่ๆ ประตูเครื่องก็เปิดออกทันที ปากปืนกระบอกหนึ่งยื่นออกมาจากประตูเครื่อง ชายสวมแว่นเห็นเข้าก็เกิดความรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาทันใด เขารีบตะโกนเสียงดังลั่น “จับตัวหลิงม่อไว้!”
แต่สิ้นเสียงตะโกนของเขา เสียงแค่นหัวเราะอย่างเย็นชาสองเสียงก็ดังขึ้นพร้อมกัน ไม่นาน เสียงรัวปืนกลก็ดังตามมาติดๆ กระสุนลูกหนึ่งในนั้นพุ่งเฉียดหัวไหล่ของชายสวมแว่นไป ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงจู่โจมชายสวมแว่นทันที เขาตะโกนโอดครวญลั่น พร้อมกับหมอบลงบนพื้นตามสัญชาตญาณ ขณะเดียวกัน เหล่าสมาชิกฟอลคอนที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างก็พากันหมอบลงกับพื้นเช่นกัน หลายคนในกลุ่มหันเหความสนใจออกไปจากหลิงม่อเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คนส่วนมากไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ก็พากันหมอบตัวลงเพราะเสียงปืนที่ดังรัวๆ
ทว่าก็ยังมีบางคนที่แสดงฝีมือโดยการยิงสวนทันที พริบตาเดียว ที่แห่งนี้จึงถูกปกคลุมไปด้วยเสียงสะท้อนรัวๆ ของปืน
ชายสวมแว่นเงยหน้ามองด้วยใบหน้าซีดขาว แล้วเขาก็แทบจะกระอักเลือดออกมา พวกพ้องของหลิงม่อที่เดิมยังอยู่ในเฮลิคอปเตอร์ลำแรก ตอนนี้ได้ฉวยโอกาสตอนเหตุการณ์ชุลมุนวิ่งไปรวมตัวกันที่ขอบดาดฟ้าแล้ว เส้นทางที่พวกเขาเลือกเป็นเส้นทางที่อยู่นอกเหนือวิถีกระสุนของทั้งสองฝ่ายพอดี และตอนนี้พวกเขาก็กำลังกระโดดลงไปข้างล่างอย่างง่ายดาย ตอนที่เขาตวัดสายตามองไปทางนั้น เด็กสาวที่กระชับปืนไรเฟิลจู่โจมไว้ในอ้อมอกคนนั้นกำลังจ้องมองเขาอยู่ และพอนึกถึงกระสุนนัดที่เกือบคร่าชีวิตเขาเมื่อกี้ เขาก็มั่นใจขึ้นมาทันที กระสุนเมื่อกี้เป็นฝีมือเด็กผู้หญิงคนนั้น!
“ไม่คิดเลยว่าในอาณาเขตความสามารถพิเศษของฉันจะยังมีคนยิงโดนฉันได้…อันตรายมาก!” ชายสวมแว่นร่างกายสั่นสะท้าน ขณะเดียวกันความเจ็บปวดเหมือนกับเนื้อกายแทบฉีกขาดก็แผ่ซ่านมาจากตรงหัวไหล่อีกครั้ง
แล้วหลิงม่อที่กำลังทำสงครามอยู่กับเขาเมื่อกี้ล่ะ? หมอนั่นก็ยืนอยู่ที่นั่นด้วย!
สิ่งที่ทำให้ชายสวมแว่นคับแค้นยิ่งกว่าคือ หลิงม่อไม่มีปืนอยู่ในมือเลยซักกระบอก! และคนที่กำลังถือปืนกวาดยิงพวกเขาจากอีกฝั่ง กลับเป็นนักบินสองคนนั้น!
นักบินที่กำลังลั่นไกปืนรัวๆ เข้ามาทางนี้ทำหน้าเหมือนใกล้จะร้องไห้เต็มที เมื่อกี้ตอนที่เสียงเฮลิคอปเตอร์เพิ่งดัง เขาถูกเด็กสาวผมยาวคนนั้นลากตัวออกมา จากนั้นเด็กหนุ่มคนนั้นก็พูดกับพวกเขาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่า “อีกเดี๋ยวฉันจะให้ปืนนาย จากนั้นนายก็หมอบยิงพรรคพวกของนายอยู่ตรงนี้อย่างว่าง่ายด้วยล่ะ ถ้าฉันเห็นว่านายตุกติก…”
“พรวด!”
ทันใดนั้น จู่ๆ เขาก็รู้สึกเย็นวาบที่เป้ากางเกง ก้มมองดู ก็พบว่าตรงนั้นมีรูโหว่เล็กๆ โผล่ขึ้นมา นักบินคนนั้นล้มพับลงกับพื้นทันที… “ช่วยด้วย!” เขาลั่นไกไปด้วย ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือไปด้วย โดยเฉพาะเมื่อกระสุนเหล่านั้นยิงมาโดนพื้นรอบตัวเขาไม่หยุด และเศษปูนเหล่านั้นกระเด็นขึ้นมาโดนตัวเขาจนรู้สึกเจ็บปวด เขาก็ยิ่งตะโกนร้องอย่างรุนแรงขึ้นไปอีก…
ส่วนผู้ช่วยนักบินเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขานัก ความจริงจากตำแหน่งที่พวกเขาหมอบอยู่ พวกเขามองไม่เห็นพวกหลิงม่อเลยแม้แต่น้อย แต่เขากลับไม่กล้าหันไปมอง และยิ่งไม่กล้าหันปากปืนไปทางอื่น…สิ่งเดียวที่ยังถือว่าโชคดีอยู่ก็คือ หลิงม่อไม่ได้สั่งให้พวกเขาเล็งใคร…แต่ก็แน่นอนว่าสำหรับสมาชิกที่ไร้ความสามารถด้านการต่อสู้อย่างสองคนนี้ พวกเขาเองก็ไม่ได้มีทักษะการยิงปืนที่ดีไปกว่าหลิงม่อ…
“หลิงม่อ!”
เสี้ยววินาทีที่สบตากับชายสวมแว่น หลิงม่อกระตุกยิ้มเบาๆ เขาหันไปจับแขนมู่เฉินไว้ จากนั้นก็หันมาทำปากบอกชายสวมแว่นว่า “บาย…”
“จับมันไว้!” ชายสวมแว่นตะโกนสั่งอย่างเดือดดาล
แต่ท่ามกลางเสียงคำรามของเขา หลิงม่อกลับก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว และยืนอยู่กลางอากาศ ส่วนมู่เฉินที่ถูกเขาดึงแขนไว้ก็เซถอยหลังไปอย่างไม่ทันตั้งตัว และแทบจะตะโกนลั่นออกมาทันที “ว๊ากก…! ชิท! ส่งซิกบอกกันก่อนสิโว้ย!”
ชายสวมแว่นมองดูหลิงม่อหายตัวไปต่อหน้าต่อตา สีหน้าของเขาบิดเบี้ยวขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความแค้น เขาตวัดสายตาจ้องไปทางนักบินสองคนนั้น แล้วตะโกนเสียงเกรี้ยวกราด “ยังจะยิงอีก? พวกแกหยุดยิงเดี๋ยวนี้!” เสียงคำรามของเขาราวกับแฝงไว้ด้วยอำนาจประหลาดบางอย่าง นักบินสองคนนั้นพลันตัวอ่อนหมดแรงไปทันที แล้วเสียงปืนก็หยุดลง
ทว่า ในเสี้ยววินาทีที่ชายสวมแว่นหมายจะลุกขึ้นยืน เขาก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ทำให้ขนลุกไปทั้งตัวอีกครั้ง เขาเงยหน้ามองขึ้นไปทางเฮลิคอปเตอร์ลำนั้นอีกครั้ง จากนั้นก็ตะโกนสั่งเสียงหลงขึ้นมาทันที “ถอยเข้าไปในอาคารให้หมด!”
“ตึงๆๆๆๆๆ!”
เสียงปืนที่เพิ่งเงียบลงเมื่อกี้ดังระรัวขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ทิศที่กระสุนพุ่งมา กลับมาจากเฮลิคอปเตอร์ลำที่พวกเขาหมายจะใช้บีบบังคับหลิงม่อในตอนแรกนั่น…
เหล่าเจิ้งตะโกนลั่นและสาดกระสุนลงไปอย่างต่อเนื่อง ในใจพลางคร่ำครวญอย่างขุ่นเคือง “เชี่ยอะไรวะเนี่ย! ไปๆ มาๆ ทำไมฉันต้องมาสร้างความแค้นกับฟอลคอนอีกแล้ววะเนี่ย! ภารกิจของฉันถูกไอ้บ้าหลิงม่อทำพังหมดแล้ว!!! ตอนนี้ในเมือง X ก็คงจะเหลือแต่ค่ายของเขาคนเดียวแล้วสินะ ฉันคงทำได้เพียงเป็นพันธมิตรกับเขาแค่คนเดียวแล้ว!”
คนเดียวที่ยังยิ้มได้อยู่ก็คือชายแว่นดำ เขากำลังเลียริมฝีปากด้วยความตื่นเต้นสุดขีด ในใจก็พึมพำไม่หยุดว่า “สาแก่ใจนัก ไม่คิดเลยว่าหลิงม่อจะแตกหักกับพวกของมันเพราะเรื่องนี้…ดูเหมือนข้อมูลของฉันจะมีประโยชน์มากกว่าที่คิดไว้ ขนาดยังไม่ได้ออกตามหา ก็ทำให้พวกมันสู้กันรุนแรงขนาดนี้แล้ว ถ้าหากฉันเปิดเผยข้อมูลบางอย่างที่นิพพานหามาได้กับมันล่ะ? จะเป็นการส่งมันสู่เส้นทางแห่งความตายเลยหรือเปล่า? น่าลอง…วิธีนี้น่าลอง!”
เมื่อพวกของชายสวมแว่นพากันวิ่งล้มลุกคลุกคลานหนีเข้าไปในตัวอาคาร กระสุนจำนวนหนึ่งก็ถูกยิงสวนกลับมาที่เฮลิคอปเตอร์ลำนี้ กระทั่งยิงโดนบริเวณใกล้ประตูเครื่องด้วย เห็นชัดว่าฝีมือแม่นปืนของสมาชิกฟอลคอนดีกว่าเหล่าเจิ้งหลายเท่า เขายืดหยันรัวกระสุนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบหลบเข้าไปในตัวเครื่อง แล้วตะโกน “ไป!”
นักบินคนนั้นรับคำทันที และรีบควบคุมเฮลิคอปเตอร์ให้บินต่ำลงด้านหลังตึกสูงหลังนั้น ทว่าในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัวเขา หรือผู้ช่วยนักบิน ต่างก็ให้ความร่วมมือกับเขาเป็นอย่างดี เพราะสิ่งที่พวกเขาเห็นอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ไม่ใช่ตึกสูงในโลกแห่งความจริง แต่กลับเป็นตึกสูงอันตรายมากมายที่ถูกปกคลุมไปด้วยพืชเน่าเปื่อย…และคนที่นั่งอยู่ในเครื่องก็ไม่ใช่พวกเหล่าเจิ้ง แต่กลับเป็น “สมาชิกฟอลคอน” ที่สวมเครื่องแบบเหมือนพวกเขา
ผู้ช่วยนักบินบนเฮลิคอปเตอร์ลำนี้เผยสีหน้าคลุ้มคลั่ง พลางพึมพำไม่หยุดว่า “ดีเหลือเกิน พวกเรากำลังจะบินออกจากดินแดนนรกแห่งนี้ซักที…น่าเสียดายที่เมื่อกี้สัตว์ประหลาดพวกนั้นไม่ได้ถูกยิงตายหมด น่าเสียดายจริงๆ…”
หลันหลันกระโจนไปข้างหน้าต่างทันที จากนั้นก็ผิวปากอย่างอารมณ์ค้าง “โคตรตื่นเต้นเลย ยิงสู้กันกลางอากาศล่ะ! ฉันน่าจะยิงปืนเป็นกับเขาบ้าง! น่าเสียดาย ครั้งหน้าฉันก็จะฝึกยิง…”
“พอเลย ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะมีโลกมายาของฉันอยู่…” เหล่าเจิ้งเพิ่งจะหอบหายใจได้สองที แล้วจู่ๆ ก็กระเด้งตัวขึ้น “ใช่แล้ว! เขาตั้งใจ เขาตั้งใจใช้ประโยชน์จากโลกมายาของฉัน! เชี่ย! ฉันไม่ปล่อยเขาไว้แน่ ไม่มีทาง!”
“หาจุดลงจอดเร็วเข้าเถอะ นายไม่ได้ยินที่เขาบอกว่าเชื้อเพลิงมีจำกัดหรือไง?” หวังหลิ่นเตือนเขา “อีกอย่างนี่ก็ไม่ใช่ความผิดของพี่เขยฉันซักหน่อย พวกฟอลคอนต่างหากที่เป็นฝ่ายลงมือก่อน…” เธอจ้องนักบินสองคนนั้นอย่างไม่พอใจ บอกว่า “สองคนนั้นยังกล้าข่มขู่พวกเราอย่างไม่เกรงกลัว คงคิดจริงๆ ว่าอยู่กลางอากาศแล้วเราจะทำอะไรพวกมันไม่ได้…”
เหล่าเจิ้งส่ายหน้าอย่างขมขื่น “เรือโจรชัดๆ…พวกเราพลาดขึ้นเรือโจรของพี่เขยเธอเสียแล้ว…”
ณ มุมอาคารข้างถนนแห่งหนึ่ง พวกหลิงม่อที่กระโดดลงมาติดๆ กัน ยืนรวมตัวกันอยู่ตรงนั้น มู่เฉินกำลังยืนชันเข่าเหมือนยังไม่หายผวา เขาถามว่า “จะทำยังไงต่อ? ขังพวกนั้นไว้ในตึกนี้? แต่ฉันว่าที่นี่ยังมีทางออกอีกหลายทาง เดาว่าคงไม่ได้ง่ายอย่างนั้น…ไม่แน่พวกนั้นอาจวางแผนอะไรไว้ในตึกด้วยก็ได้…”
“เข้าไปไม่ได้” ซย่าน่าเงยหน้ามองบนตึก แล้วบอกว่า “พวกมันเลือกที่นี่เป็นฐาน แสดงว่าต้องมีอะไรซ่อนอยู่แน่ๆ ถึงจะไม่มี แค่พวกเขากราดยิงพวกเราลงมาจากทางเดินบันได ก็สามารถกำราบพวกเราได้รอบทิศแล้ว โดยเฉพาะเจ้าสี่ตาเมื่อกี้…”
“ซย่าน่าเอาอีกแล้วนะ…” หลิงม่อเตือนเธอ “อย่าว่าแบบเหมารวมอย่างนั้นสิ…”
“ก็แค่พูดให้เห็นภาพชัดเท่านั้นแหละน่า!” ซย่าน่าเหลือกตามองบน แล้วพูดต่อว่า “ผู้ชายคนนั้น…ต้องมีอะไรแน่ๆ พี่เย่เลี่ยนลอบโจมตีเขา แต่ปรากฏว่ากลับยิงพลาด แม้แต่คนที่อยู่รอบกายเขาพวกนั้น ก็ดูเหมือนจะจู่โจมไม่ได้ง่ายๆ”
“คงจะเป็นความสามารถพิเศษของเขา…คนที่ถูกส่งตัวมารับมือกับฉัน คงไม่ใช่พวกไร้ฝีมือแน่นอน โชคดีที่พวกเขารู้จักแค่ฉันคนเก่า อย่างน้อยจำนวนคนในครั้งนี้ ก็เหนือความคาดหมายของพวกเขาไปมาก ถึงได้เหตุการณ์อย่างเมื่อกี้ขึ้น” หลิงม่อพูดขึ้น “ตอนนี้ออกไปจากที่นี่ก่อน พวกนั้นไม่ปล่อยให้พวกเราเดินออกไปจากที่นี่แน่ จากที่เห็น ฉันว่าต้องมีคนของพวกนั้นดักอยู่ตามถนนทุกสายแน่นอน…”
ขณะที่หลิงม่อกับพวกเดินเลียบถนนออกไปจากที่แห่งนี้ จู่ๆ เสียงคำรามก้องด้วยความคับแค้นก็ดังขึ้นในอาคารแห่งนี้…
—————————————————————————–