ท่าทีของหลัวหมิงเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่ที่หลิงม่อหนีไป เขาก็รู้สึกลนลานอยู่ตลอดเวลา และเมื่อความรู้สึกนี้ถูกสั่งสมมาทั้งครึ่งค่อนวัน นอกจากจะไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้น กลับกันมันยิ่งเลวร้ายลงกว่าเดิม ตัวเขาเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตซึ่งนั่นทำให้เขาอารมณ์อ่อนไหวเป็นพิเศษอยู่แล้ว ความรู้สึกลนลานไม่หายอย่างนี้จึงทำให้เขารำคาญใจมาก จนถึงขั้นอยากชักปืนออกมายิงทุกสิ่งรอบกายให้แหลกละเอียดเป็นผุยผง…
แม้แต่จางสี่ที่พูดน้อยเป็นปกติหันมาคุยกับเขาก่อน ก็ยังถูกเขาถลึงตาใส่อย่างไม่สบอารมณ์ และตะคอกเสียงต่ำว่า “ก็บอกแล้วไง ว่ารู้สึก! เป็นแค่ความรู้สึกอย่างหนึ่ง! ถ้านายไม่เชื่อสัญชาตญาณของฉัน ก็คิดว่าฉันไม่ได้พูดก็แล้วกัน!”
จางสี่มองหน้าหลัวหมิงอย่างไร้อารมณ์ เขาแค่นเสียงเย็นหนึ่งทีแล้วละสายตาออกไป “ประสาทกลับ”
กลับเป็นชายหนุ่มเสื้อเหลืองที่อดเหลือบมองหลัวหมิงไม่ได้ “ความสามารถของหลัวหมิงคืออ่านใจใช่ไหม? ถึงจะไม่ใช่การอ่านใจจริงๆ ก็ตาม แต่เขาสามารถสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของคนอื่น และสามารถปกปิดอารมณ์และคลื่นดวงจิตของตัวเองได้ในระดับหนึ่ง เขาก็เลยถูกมอบหมายให้ทำภารกิจครั้งนี้…ฉันว่า เขาอาจจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างแล้วก็ได้ เพราะปกติเขาไม่ได้เป็นแบบนี้บ่อยๆ…”
“ไม่รู้” จางสี่พูดเย็นชา เขาสะบัดข้อมือเบาๆ ปืนพกกระบอกนั้นก็ถูกหมุนควงอยู่บนนิ้วมือเขา “ถ้าพวกมันกล้ามา ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว กลัวก็แต่พวกมันจะขี้ขลาดเหมือนเมื่อกลางวัน ที่พอสบโอกาสก็หนี…”
พูดจบ จู่ๆ เขาก็จับด้ามปืน แล้วชี้ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว “แต่ถนนทุกเส้นมีคนของเราเฝ้าอยู่ พวกมันหนีออกไปไม่ได้แน่นอน พวกขี้ขลาดถ้าถูกบีบมากๆ เข้า ก็อาจแว้งกัดได้เหมือนกันสินะ? พอถึงตอนนั้น ฉันก็จะ…ปัง!” จางสี่ฉีกยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย “ระเบิดสมองพวกมันทุกคน…”
“ไม่ใช่…เขาคิดผิดแล้ว…ถึงฉันจะเคยถูกสายตาของหมอนั่นกระตุ้นมาก่อน แต่ก็ไม่น่ารู้สึกอย่างนี้อยู่ตลอดเวลานี่นา มันเป็นเพราะอะไรกันแน่…เป็นเพราะหัวหน้าได้รับบาดเจ็บ? หรือเพราะรอยยิ้มสุดท้ายของเขา?”
ก่อนที่หลิงม่อจะหนีลงจากดาดฟ้าไปเขาได้หันมายิ้มให้พวกเขา ภาพนั้นไม่ได้มีเพียงชายสวมแว่นที่เห็น ความจริงหลัวหมิงก็เหลือบไปเห็นพอดีเหมือนกัน ทว่าเขาต่างจากชายสวมแว่นและจางสี่ เพราะเขาเอาแต่รู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นมีบางอย่างซ่อนอยู่…ใช่แล้ว เป็นรอยยิ้มแห่งความมั่นใจ! คนขี้ขลาดที่คิดจะหนี จะยิ้มอย่างนั้นออกมาได้ยังไงกัน…
แต่เรื่องที่ไม่มีหลักฐานยืนยันอย่างนี้ ก็มีแค่ตัวเองเท่านั้นที่จะเชื่อ…
“ฉันจะไปสูบบุหรี่” ในที่สุดหลัวหมิงก็ลุกขึ้นยืนเพราะทนไม่ไหว
หนุ่มเสื้อเหลืองหมายจะห้าม แต่ก็ได้ยินจางสี่พูดขึ้นก่อนว่า “ปล่อยเขาไป ไม่อย่างนั้นเขาก็จะถอนใจอยู่ตรงนี้ไปเรื่อยๆ แต่บอกตรงๆ ยิ่งเขาลนลานแค่ไหน ฉันก็ยิ่งตั้งตารอคอยมากเท่านั้น…”
“โคตรขี้คุย แน่จริงก็ออกไปตามหาข้างนอกเองเลยสิวะ!” หลัวหมิงลอบด่าในใจ เขาล้วงบุหรี่ออกมาพลางเดินไปทางประตู แต่ในตอนที่เขาเปิดประตู จู่ๆ เขากลับชะงักเท้าไป
ทางเดินเส้นนี้…เหมือนมีบางอย่างผิดปกติ…
นอกห้องมีแต่ความมืด บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัด ไร้เสียงใดๆ ประตูห้องส่วนมากล้วนถูกปิดไว้สนิท แต่ข้างในอย่างน้อยก็มีคนซ่อนตัวอยู่ 1 – 2 คนต่อห้อง ทันทีที่มีเสียงเคลื่อนไหวดังขึ้น พวกเขาก็จะกระโจนออกมาทันที เดิมทีบรรยากาศอย่างนี้ก็ถือว่าเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ทำไม สัญชาตญาณต่ออันตรายกลับพลุ่งพล่านขึ้นมาจากก้นบึ้งจิตใจของหลัวหมิงอย่างรุนแรง
ความจริง ความรู้สึกอย่างนี้เป็นการทำให้อารมณ์ความรู้สึกของตัวเขาเองชัดเจนขึ้น แต่สาเหตุที่ทำให้เขารู้สึกอันตราย ต้องเป็นเพราะว่าจิตใต้สำนึกของเขาสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติอย่างแน่นอน…และพลังพิเศษที่แตกต่างนี้ ก็ได้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้หลายต่อหลายครั้งเวลาที่เขาต้องเผชิญหน้ากับซอมบี้…
ดังนั้นจางสี่จะไม่เชื่อก็ได้ แต่หลัวหมิงกลับเชื่อสัญชาตญาณของตัวเองอย่างไม่มีข้อแม้!
“มีบางอย่างไม่ถูกต้อง…ต้องมีบางอย่างไม่ถูกต้องแน่ๆ…” ชั่วขณะนั้น หลัวหมิงได้ยินเพียงเสียงหัวใจตัวเองเต้น “ตึกตัก” แต่จางสี่กับหนุ่มเสื้อเหลืองยังคงพูดคุยกันอยู่ ขณะเดียวกันเฉลียงทางเดินนอกห้องก็ไม่มีใครอยู่ ทุกอย่างยังดูเหมือนปกติ…
“ไม่ถูกต้อง!ความปกติอย่างนี้มัน…นี่มันไม่ปกติเลยซักนิด แต่ว่า…” ในขณะที่หลัวหมิงหน้าถอดสีครั้งใหญ่ และตัดสินใจจะถอยกลับเข้าไปในห้อง ทันใดนั้น ดวงตาคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาในครรลองสายตาของเขา
หลัวหมิงไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาไม่เห็นแม้กระทั่งว่าอีกฝ่ายโผล่มาได้อย่างไร จู่ๆ เขาก็เห็นสายตาคู่นั้นจ้องมองมา และสิ่งที่สะท้อนออกมาจากดวงตาสีนิลลึกล้ำคู่นั้น คือความไม่แยแส กระทั่งความเย็นชา เหมือนสิ่งที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่ไม่ใช่คน แต่เป็นอสูรร้ายในร่างคน…
ความรู้สึกหวาดกลัวพลุ่งพล่านในใจเขาอย่างบ้าคลั่ง ห้องอยู่แค่ข้างหลังเขา พวกจางสี่นั่งอยู่แค่ตรงนั้น! แต่สมองเพิ่งจะสั่งการ แม้กระทั่งปากก็ยังไม่ทันได้อ้า ทันใดนั้นความรู้สึกประหลาดหนึ่งก็ได้แผ่ซ่านมาจากส่วนอก
เขาชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นก็ค่อยๆ ก้มหน้าลงด้วยสีหน้างุนงง…
เขามองไปตามฝ่ามือขาวเนียนข้างนั้น แล้วก็เห็นตำแหน่งหัวใจของตัวเอง…เมื่อเลือดสีดำขยายตัวจากบาดแผลเป็นวงกว้าง หลัวหมิงก็ร็สึกเหมือนมีบางอย่างถูกกระชากออกจากร่างกายตัวเอง
“แปลก…แปลกจัง…ฉันอ่อนแอขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? อย่างน้อย…อย่างน้อยก็น่าจะให้ฉันได้ขัดขืนบ้าง…ฉันก็แค่…ฉันแค่พาพวกแกกลับมาเท่านั้น…” ทันใดนั้นหลัวหมิงก็ตระหนักได้ว่า เสียงหัวใจของตัวเอง…หายไปแล้ว…
และก่อนที่สติสัมปชัญญะจะจางหายไปด้วย สิ่งที่เขามองเห็น กลับเป็นดวงหน้างามละเอียด…ไม่รู้เพราะอะไร ดวงหน้าที่งดงามจนทำให้ยากจะละสายตานั่นกลับฉายแววตาเลื่อนลอย เธอก้มหน้ามองฝ่ามือตัวเอง แพขนตากระเพื่อมสั่นเล็กน้อย แล้วสายตาของเธอก็ดูแปลกไป…
“ใช่แล้ว…ฉันเคยเห็นเธอ…ที่แท้เธอร้ายกาจขนาดนี้เลยหรอ? ที่แท้…เธอไม่ได้เก่งแค่ยิงปืนงั้นหรอ…” นี่คือความคิดสุดท้ายของหลัวหมิง เมื่อเงาร่างตรงหน้าโฉบหายไป บุหรี่ที่ถูกคีบไว้ในมือก็ค่อยๆ ร่วงลงไปบนพื้น…
“…เหอะๆ อย่างนั้นหรอ?” หนุ่มเสื้อเหลืองหัวเราะ แต่ไม่นานก็สังเกตเห็นหลัวหมิงที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตู
พอบุหรี่มวนนั้นตกถึงพื้น เขาก็ขมวดคิ้วทันที จากนั้นก็หันไปบอกจางสี่ว่า “พี่สี่ พี่ไม่เข้าไปถามหน่อยหรอ? ฉันว่าวันนี้เขาดูผิดปกตินะ…”
จางสี่หันไปมองอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วพูดเสียงเบา “น่ารำคาญจริง! ปกติชอบทำตัวตื่นตูมกับทุกสิ่งเหมือนตัวเองเป็นตัวเอกในละคร เห็นอะไรนิดหน่อยก็ทำเป็นโวยวายใหญ่โต เหมือนคนเป็นหวัดแต่ทำตัวเป็นโรคมะเร็งอย่างนั้นล่ะ วันนี้ยิ่งแล้วใหญ่…ในเมื่อปกปิดอารมณ์ตัวเองได้ แล้วทำไมไม่ปกปิดไปให้ตลอดล่ะ…”
น้อยครั้งที่เขาจะพูดมากอย่างนี้ ดูเหมือนคงจะรำคาญเต็มทนแล้วจริงๆ จางสี่บ่น พลางยืนพิงข้างประตูอย่างอารมณ์เสียแล้วบอกว่า “หลัวหมิง! ถ้านายจะออกไปก็รีบออกไป มัวยืนทำอะไรตรงนี้? ไอ้หลิงม่อนั่นมันมีอะไรน่ากลัวกันแน่ ไอ้พวกขี้ข่มพวกนั้น นายจะกลัวไปทำไม? เป็นคู่หูกับฉัน ก็น่าจะเรียนรู้…เฮ้ย ฉันกำลังคุยกับนายอยู่นะ!”
พอเห็นหลัวหมิงไม่ขยับ หัวใจจางสี่ก็กระตุกวูบไป สีหน้าของเขาเคร่งเครียดขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ถึงปากจะด่าอยู่ แต่การเคลื่อนไหวกลับช้าลง หนุ่มเสื้อเหลืองหันมาเห็น ก็เผยสีหน้าสงสัยออกมาเช่นเดียวกัน ทว่าไม่นานเขาก็ส่ายหน้าไปมา แล้วพูดพึมพำกับตัวเองว่า “กับดักยังไม่ทำงานเลย จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นได้ยังไง…เหอะๆ…”
“หลัวหมิง!” จางสี่คว้าแขนหลัวหมิง ตอนแรกเขาหมายจะดันอีกฝ่ายไปข้างหน้า แต่ในเสี้ยววินาทีที่เขาจับแขนหลัวหมิง เขากลับถูกน้ำหนักตัวของอีกฝ่ายรั้งเข้ามาแทน
ร่างกายของหลัวหมิงหมุนคว้างทันที ร่างกายครึ่งท่อนของเขากระแทกเข้ากับประตู ใบหน้ายังคงสีหน้าตื่นตะลึงเอาไว้ไม่เปลี่ยน ทว่าแผงอกกว้างของเขากลับมีรอยเลือดเป็นวงกว้างอยู่ตรงนั้น ตำแหน่งบริเวณหัวใจก็คล้ายจะมีรูแผลอยู่ห้ารู…เลือดไหลช้ามาก ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่าผู้ลอบโจมตีลงมือรวดเร็วแค่ไหน…
“ชิท!” จางสี่สบถคำหยาบออกมาทันที เขาก้าวถอยโดยสัญชาตญาณ ศพของหลัวหมิงโยกไปมา จากนั้นก็ล้มลงไปดัง “โครม”
“นี่เขา…ตายแล้ว? ตายได้ยังไง?! นี่มัน…นี่มันเป็นไปไม่ได้ พลังของเขาไม่ได้อ่อนแอเลยนะ…” จางสี่พึมพำอย่างไม่อยากเชื่อ
หนุ่มเสื้อเหลืองเองก็เบิกตากว้าง แล้วเสียง “โครม” ก็ดังขึ้นในสมองเขา “กับดักของฉันล่ะ?!”
“ใช่แล้ว…ลอบโจมตี!” จางสี่ได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว เขากระชับปืนพกแน่น แต่ในเวลานั้นเอง จู่ๆ บานประตูกลับสั่นไหวขึ้นมา จากนั้นประตูบานนี้ก็ดัง “แอ๊ด”…และปิดลงต่อหน้าต่อตาหนุ่มเสื้อเหลือง!
เสี้ยววินาทีที่ประตูห้องปิดสนิท จางสี่รู้สึกหนังศีรษะชาจนแทบจะระเบิดออกมา เขารู้สึกได้รางๆ ว่าในห้องนี้…มีใครคนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา! นอกจากเขาและหนุ่มเสื้อเหลือง รวมถึงศพที่นอนอยู่บนพื้น…ยังมีดวงตาอีกหนึ่งคู่ที่จ้องมองพวกเขาอยู่ในความมืด และจังหวะที่อีกฝ่ายเข้ามาในห้อง ก็คือตอนที่ประตูปิดนั่นเอง…
“ฆ่าหลัวหมิงโดยไม่ส่งเสียงใดๆ แล้วยังเดินเข้ามาในห้องต่อหน้าต่อตาพวกเรา ซ้ำยังปิดประตูห้องอีกต่างหาก…นี่มันพลังพิเศษอะไรกันแน่เนี่ย! ไม่…เป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็เข้ามาอย่างนี้ไม่ได้ คำอธิบายหนึ่งเดียวก็คือ…คนคนนี้เร็วมาก! บางทีในขณะที่พวกเรากระพริบตาเพียงครั้งเดียว คนคนนี้อาจเข้ามาในห้องแล้วก็ได้!” สมองของจางสี่หมุนเร็วจี๋ เขาคิดว่าถึงแม้ตัวเองจะเดาไม่ถูกหมด แต่ก็น่าจะห่างจากความจริงไม่มากนัก
แต่แค่เดาถูกแล้วจะมีประโยชน์อะไร ปัญหาที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือ…จะทำยังไงดี?!
“ฉันประเมินมันต่ำไป…” ใบหน้าดำคล้ำของจางสี่เผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ครั้งใหญ่ เขากัดฟัน แล้วค่อยๆ ถอยหลังไปทางหน้าต่าง เขารู้สึกได้ว่าผู้ลอบโจมตีอยู่ในห้องนี้ บางทีอาจกำลังยืนจ้องพวกเขาอยู่ในเงามืดตรงไหนซักที่ แต่เขากลับไม่กล้าเคลื่อนไหวส่งเดช…เขาคิดกระทั่งว่า หากเขาคิดจะพยายามลั่นไก เขาอาจกลายเป็นหลัวหมิงคนต่อไปทันที!
“เดิมพันไม่ได้ ฉันยังมีโอกาส…”
“หนุ่มเสื้อเหลืองหน้าซีดเป็นไก่ต้ม เขาจ้องมองประตูที่ปิดเองอย่างหวาดกลัว แล้วถามว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ผู้ลอบโจมตีคนนั้นอยู่หน้าประตูงั้นหรอ?” ตอนนี้เขาเองก็กระชับกริชเล่มหนึ่งไว้ในมือแล้วเหมือนกัน ทว่าถึงจะถืออาวุธไว้ในมือ แต่สีหน้าเขากลับดูตื่นตระหนกสุดขีด สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ มันประหลาดเกินไปแล้ว…
จางสี่เหลือบมองข้างหลังด้วยหางตา จากนั้นก็หันไปมองหนุ่มเสื้อเหลือง ทันใดนั้นเขาก็ทำหน้าดุดันขึ้นมา
“ระวังประตูไว้!”
จู่ๆ เขาก็ตะโกนเสียงดัง จากนั้นก็หันหน้าออกวิ่งไปทางหน้าต่างอย่างบ้าคลั่ง
สามเมตร…สองเมตร!
—————————————————————————–