แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ – ตอนที่ 831 หักหน้ากันตรงๆ ช่างโหดร้าย…

เมื่อเดินลงมาชั้นล่าง รอบกายมืดมากจนไม่สามารถมองเห็นวัตถุด้วยตาเปล่าได้ แต่ดูจากแสงสลัวอ่อนๆ ที่ทอดเข้ามาจากที่ไกลๆ ที่นี่ยังไม่ถือว่าเป็นชั้นใต้ดินจริงๆ เพียงแต่มันอยู่ต่ำกว่าระดับพื้นดินเล็กน้อยเท่านั้นเอง การออกแบบโครงสร้างแบบนี้มีให้เห็นเกลื่อนในเมือง X แต่ไม่คิดว่าจะได้มาเห็นในตำบลเล็กๆ อย่างนี้ด้วย…

หลิงม่อละสายตาออกมาเงียบๆ และแอบจำตำแหน่งไว้ในใจ “ที่นั่นก็คือทางออกที่ 4…”

ตลาดแห่งนี้…เอาเป็นว่าเรียกว่าตลาดไปก่อนก็แล้วกัน เพราะนอกจากขยะที่มีอยู่จำนวนมหาศาลแล้ว ก็แทบจะมองไม่เห็นสภาพเดิมของที่นี่เลย กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงตลบอบอวลอยู่ในทุกอณูอากาศ ชั้นวางของเหล็กขึ้นสนิมมีให้เห็นอยู่ทุกที่ บนกำแพงและเพดานมีแต่ราสีดำขึ้นเต็มไปหมด กล่องบุหรี่สองกล่องที่ยังดูใหม่ลอยอยู่ในน้ำขังบนพื้น ดูท่าคงจะเป็นของสมาชิกฟอลคอนพวกนั้น……

“แต่สถานที่แบบนี้…พวกนั้นคิดจะเอาไว้ใช้ทำอะไรกันแน่?”

“ติ๋ง…”

อยู่ๆ เสียงน้ำหยดก็ดังขึ้นมาท่ามกลางความมืด แต่เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น บรรยากาศรอบข้างกลับยิ่งเงียบสงัดลงกว่าเดิม…

“ยังไม่ได้กลิ่นเขาอยู่ดี” ซย่าน่าขมวดคิ้วพูดอยู่ข้างๆ พลางเงยหน้ามองเย่เลี่ยน แต่สิ่งที่ทำให้เธอผิดหวังคือ เย่เลี่ยนเองก็ส่ายหน้าช้าๆ เป็นการบอกว่าเธอก็ไม่เจออะไรเหมือนกัน

“ไม่ต้องดมแล้ว ฉันรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน” อยู่ๆ หลิงม่อก็ยิ้มเย็นชาขึ้นมา เขายื่นมือไปดึงซย่าน่า บอกว่า “เอาล่ะ พวกเราไปกันเถอะ รุ่นพี่ถึงก่อน แล้ว”

“แต่…” ซย่าน่ามองเย่เลี่ยนด้วยสีหน้าสงสัย แต่ซอมบี้สาวตัวนี้กลับหันไปมองอีกทาง และโอบอุ้มปืนไรเฟิลจู่โจมพร้อมวิ่งพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วก่อนเสียแล้ว การเคลื่อนไหวของเธอดูเบาไหว กระทั่งระหว่างที่วิ่งด้วยความเร็วสูงก็ยังไม่มีเสียงผิวน้ำกระทบกันดังขึ้นแม้แต่น้อย และสิ่งกีดขวางที่จมอยู่ในน้ำเหล่านั้นก็ถูกเธอวิ่งหลบไปได้อย่างง่ายดาย หลังจากกระโดดขึ้นกระโดดลงอยู่ไม่กี่ครั้ง เธอก็หายเข้าไปในความมืดอย่างรวดเร็ว

ทว่าอาศัยสัมผัสรู้โดยอ้อมของทั้งสองฝ่าย ซย่าน่ารู้ว่าเย่เลี่ยนยังอยู่ในตลาด เพียงแต่เธอกำลังออกห่างจากตัวเองไปเรื่อยๆ

ขณะเดียวกัน ทางหลิงม่อเองก็เริ่มมีการเคลื่อนไหว จู่ๆ เขาก็แผ่หนวดสัมผทางจิตออกไปเส้นหนึ่ง แล้วยังตั้งใจถ่ายเทพลังงานทางจิตเข้าไปในหนวดสัมผัสเส้นนั้นอีกไม่น้อย เมื่อคลื่นพลังที่หนวดสัมผัสเส้นนั้นแผ่ออกมาคล้ายกับดวงแสงแห่งจิตของคนธรรมดาแล้ว หลิงม่อก็ควบคุมให้หนวดสัมผัสเส้นนั้นเลื้อยรอบๆ เสาต้นหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล เพื่อยึดมันไว้ตรงนั้นชั่วคราว

“เฮ้อ นั่นมันเป็นการสิ้นเปลืองไม่ใช่หรอ…” ซย่าน่ากำลังพึมพำกับตัวเอง แต่ปากของเธอก็ถูกปิดอย่างรวดเร็ว “อื้อๆ…”

“ดูสิ แค่นี้ก็ได้พลังชดเชยแล้วไม่ใช่หรอ?” หลิงม่อแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างยังไม่หายอยาก แล้วบอก

ด้านหลังซย่าน่ามีเงาร่างดวงตาสีแดงโผล่ออกมาทันที “ทั้งสอง” คำรามด้วยความเดือดดาลพร้อมกัน “น่าเกลียด มือไม้จับไปทั่วเลยนะ แม้แต่หนวดสัมผัสก็ยังไม่เว้น…เมื่อกี้พี่เย่เลี่ยนก็อยู่ ทำไมพี่ไม่ไปทำกับพี่เขาเล่า?”

“เธอรู้ได้ไงว่าเมื่อกี้ฉันไม่ได้ทำ…เฮ้อ ก็เย่เลี่ยนหลบเร็วนี่นา…” หลิงม่อพูดเศร้าๆ

เย่เลี่ยนที่อยู่ในสภาวะอย่างนี้ ลอบโจมตีได้ยากจริงๆ…

“พี่รังแกฉันที่อ่อนแอกว่าชัดๆ! เหอะ รอก่อนเถอะ ถ้าฉันวิวัฒนาการอีกครั้งเมื่อไหร่ล่ะก็…” ซย่าน่าเม้มปาก พลางพูดงึมงำอย่างเจ็บใจ ทว่าหากดูจากด้านข้าง จะเห็นว่าสีหน้าของเธอกลับมีรอยยิ้มขำๆ แฝงอยู่ด้วย…

“อยู่ตรงนั้นแหละ” หลิงม่อยืนอยู่ด้านหลังชั้นวางของ แล้วชะโงกหน้ามองออกไป

ท่ามกลางความมืด เขามองเห็นเค้าโครงวัตถุรูปร่างสี่เหลี่ยมจัตุรัสหนึ่งชิ้น รวมถึงเงาร่างรางๆ ของใครคนหนึ่ง ทว่าพอเขาสลับมุมมองสายตาไปยังซย่าน่า เขาก็มองเห็นรูปร่างวัตถุสี่เหลี่ยมจัตุรัสอย่างชัดเจน แต่เงาร่างคนกลับหายไป

“หืม? เพราะอะไรกัน?” หลิงม่อชะงักไปเล็กน้อย และตัดสินใจลองสลับมุมมองสายตาดูอีกที

“…หรือว่า…เป็นเพราะพลังจิต?” หลิงม่อขมวดคิ้วครุ่นคิด หากพูดกันเรื่องความสามารถในการมองเห็น ซย่าน่าย่อมเหนือกว่าอยู่แล้ว แต่ด้านพลังจิต หลิงม่อกลับเป็นฝ่ายเหนือกว่า เขาครุ่นคิด แล้วพูดเสียงเบา “ให้น่าน่ามาดูทีสิ”

ซย่าน่าตอบ “อืม” แล้วดวงตาข้างหนึ่งก็ค่อยๆ กลายเป็นสีแดง ขณะเดียวกัน ภาพที่เธอเห็นจากดวงตาทั้งสองข้างก็กลายเป็นภาพที่ต่างกันสองภาพ สิ่งที่ดวงตาข้างที่เป็นสีดำเห็นยังคงเหมือนเมื่อกี้ไม่มีอะไรเปลี่ยน แต่ข้างที่ดวงตาสีแดงเห็นกลับมีเงาร่างหนึ่งโผล่ขึ้นมารางๆ …

“ที่แท้ก็เป็นอย่างที่คิด แต่น่าน่ายังมีสมาธิจดจ่อไม่มากพอ เงาร่างนี้ถึงได้ดูมืดมัวขนาดนี้ ถ้าหากไม่จ้องอยู่ตลอดเวลา อาจมองไม่เห็นอีกฝ่ายก็ได้ ถ้าเขาเคลื่อนไหวอยู่ ยิ่งมองเห็นได้ยาก” ความสามารถพิเศษที่สามารถหายตัวได้ทั้งที่อยู่ต่อหน้าคนอื่นอย่างนี้ หลิงม่อเพิ่งเคยเห็นครั้งแรก พอนึกเชื่อมโยงไปยังเรื่องที่เกิดขึ้นบนดาดฟ้า ในใจของเขาก็มีคำตอบบางอย่างผุดขึ้นมา

“ตอนที่เฮลิคอปเตอร์ยังจอดอยู่เราได้ใช้พลังจิตสำรวจที่นั่นแล้ว แต่ก็สัมผัสได้แค่คลื่นพลังจิตอ่อนๆ บางส่วนเท่านั้น ถ้าหากพลังจิตของเราอ่อนกว่านี้เล็กน้อย ก็คงไม่พบสิ่งผิดปกติอะไรเลย นั่นก็น่าจะเป็นวิธีการปกปิดอย่างหนึ่งของเขา แต่ตอนนั้นเขาใช้พลังกับคนกลุ่มหนึ่ง ทว่าตอนนี้กลับใช้กับตัวเองแค่คนเดียว ผลลัพธ์ที่ได้ต้องแตกต่างกันลิบลับแน่นอน ถ้าหากไม่ใช่ว่าเผาผลาญพลังจิตไปมากแล้ว ไม่แน่เขาอาจซ่อนตัวได้มิดชิดกว่านี้ก็ได้…แต่ตอนนั้นเราแค่รู้สึกว่าล็อกตำแหน่งเขาได้ยากเท่านั้น มาตอนนี้กลับรู้สึกว่าล็อกตำแหน่งเขาไม่ได้เลย…”

หลิงม่อเพิ่งจะสำรวจได้ไม่ถึงหนึ่งนาที อยู่ๆ เสียง “ปัง” ของปืนก็ดังมาจากข้างหู เขารีบหดตัวกลับเข้าไปหลังตู้ แล้วไม่นานก็เห็นน้ำขังที่อยู่ไม่ไกลพุ่งกระจายทันที จุดที่กระสุนแตะพื้นอยู่ห่างจากที่ซ่อนตัวของหลิงม่อไม่ถึงสามเมตร นี่มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือการลองยิงสุ่มแน่นอน…

“เจ้าแซ่หลิง ในเมื่อมาแล้วก็ออกมาสิ แกรู้ว่าฉันก็เป็นผู้มีพลังจิตเหมือนกัน พลังจิตสำรวจระดับเท่านี้ไม่ระคายผิวหรอก” ระหว่างที่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ชายสวมแว่นยังลั่นไกออกมาอีกสองนัดติดๆ กัน ซ้ำกระสุนทั้งสองนัดล้วนถูกยิงมายังบริเวณที่ซ่อนตัวของหลิงม่อ

“ฝีมือยิงปืนของไอ้เลวนั่นดีกว่าพี่เยอะเลยนะ…” ซย่าน่าพูดเสียงเบา

ยังพูดไม่ทันจบ เธอก็ยกมือจับหน้าผากแล้วร้อง “โอ๊ย” จากนั้นก็เบะปากมองหลิงม่ออย่างเคืองๆ

“มองอะไร? ไม่อนุญาตให้พูดแขวะผัวตัวเอง” หลิงม่อพูดเสียงเบา

“ชิ…” ซย่าน่าถลึงตาใส่เขา จากนั้นก็ยื่นเคียวดาบออกไป

เมื่อเสียง “เคร้ง” ดังขึ้น ซย่าน่าก็กระตุกมุมปากยิ้มประหลาด “แว่นตาเขาต้องมีอะไรแน่ๆ เขาไม่เพียงสามารถเล็งเป้าผ่านการใช้พลังจิตสำรวจ แต่ยังมองเห็นสิ่งผิดปกติรอบตัวได้อย่างชัดเจนอีกด้วย…ไม่น่าล่ะ เขาถึงต้องเลือกสถานที่อย่างนั้น เพราสภาพแวดล้อมเป็นประโยชน์ต่อเขามากนี่เอง แต่ว่า กรงเหล็กนั่นเอาไว้ใช้ทำอะไรกันแน่นะ?”

วัตถุสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่เห็นเมื่อกี้ก็คือกรงเหล็กนั่นเอง และชายสวมแว่นก็กำลังเดินวนเวียนไปมารอบๆ กรงเหล็ก

หลิงม่อครุ่นคิด แล้วบอกว่า “สิ่งของในนี้เน่าหมดแล้ว แต่กรงเหล็กนั่นกลับเป็นของใหม่ ฉันว่า…เป็นไปได้ว่าอาจใช้ขังพวกเราก็ได้ ถึงยังไงฉันก็เป็นผู้มีพลังจิต ถึงจะจับฉันมัดไว้ ฉันก็มีวิธีหนี แต่ถ้าหากขังฉันไว้ในกรง ก็จะควบคุมได้ง่ายขึ้น…”

“งั้นหรอ? แต่กรงเหล็กนั่นไม่ได้กว้างมากนะ…” จู่ๆ ซย่าน่าก็พูเสียงเย็น

หลิงม่อชะงัก แล้วเขาก็หรี่ตา “พวกนั้นคงคิดจะเก็บไว้แค่ฉันกับรุ่นพี่สินะ…ตามคาด เมื่ออยู่ต่อหน้าผลประโยชน์ ชีวิตคนก็กลายเป็นสิ่งไร้ค่าไปทันที ถึงแม้บทบาทความสำคัญของฉันจะยังไม่ชัดเจนแน่นอน พวกเขาก็คิดแผนอย่างนี้ขึ้นมาได้อย่างไม่ลังเลซักนิด…”

“ทำไมล่ะ? ยังไม่ยอมออกมางั้นหรอ?” ชายสวมแว่นยิงปืนอีกสองนัด แล้วหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “กลัวฉันจะยิงแกตายงั้นหรอ? ก็จริง ฉันมีปืนนี่! แกคงจะคิดไม่ถึงสินะ? ว่าผู้มีพลังจิตอย่างฉัน จะสามารถฝึกฝนการยิงปืนได้ดีขนาดนี้…เริ่มกลัวแล้วใช่ไหมล่ะ?”

ซย่าน่ายกมือกุมหน้าผากบอกว่า “มนุษย์หน้าโง่…”

หลิงม่อกลับกดไหล่เธอไว้ แล้วบอกว่า “เธอยังไม่ต้องออกมา รอให้ฉันออกไปก่อนแล้วค่อยสลับตำแหน่งกัน ฉันทิ้ง ‘ดวงแสงแห่งจิต’ไว้ตรงนั้นอันหนึ่งแล้ว แค่นั้นก็มากพอจะใช้ทดสอบแล้วล่ะ…”

“ทดสอบอะไร?” ซย่าน่าถามอย่างสงสัย

“ตอนนี้ยังไม่แน่ใจ มันเป็นแค่ความรู้สึกอย่างหนึ่ง…” หลิงม่อบอก พลางค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ในมือเขาไม่มีอาวุธ ทว่าหนวดสัมผัสทางจิตนับร้อยเส้นกำลังลอยไหวอยู่ด้านหลังเขาเพื่อรอคำสั่งโจมตีทุกเมื่อ

ชายสวมแว่นเองก็ดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังจิตที่ผิดปกตินี้เล็กน้อย เขานิ่งงันไปเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะชั่วร้ายขึ้นมา “ไม่มีประโยชน์ ไม่ว่าพลังจิตของแกจะแกร่งอีกแค่ไหน แกก็สู้ฉันไม่ได้…อีกอย่าง ฉันจะฆ่าแกด้วยมือของฉันให้ได้” ดวงตาทั้งคู่ของเขาจดจ้องไปยังกองขยะกองโตที่อยู่ไม่ไกล มือข้างที่กำลังยกปืนขึ้นเล็งสั่นเทิ้มเบาๆ ขณะเดียวกันมือข้างที่กำลังถือรีโมทไว้ก็ยิ่งกำแน่นเข้าไปอีก…

“ความจริงแล้ว…ฉันสงสัยมากๆ เลยล่ะ…” เสียงเย้ยหยันหนึ่งดังออกมาจากด้านหลังขยะกองนั้น พร้อมกับเงาร่างของใครคนหนึ่งที่เดินออกมาช้าๆ หลิงม่อจ้องชายสวมแว่นด้วยสายตาเย็นชา แล้วพูดว่า “ว่าแกไปเอาความมั่นใจผิดๆ นี้มาจากไหน?”

“ปัง!”

เสียงปืนลั่นไกดังขึ้นทันที แต่สิ่งที่ทำให้ชายสวมแว่นตกตะลึงก็คือ เขา…กลับยิงพลาด?!

เป็นไปได้ยังไง!

โดยเฉพาะในเวลาอย่างนี้…ที่เขาเพิ่งจะโอ้อวดฝีมือการยิงปืนของตัวเองไป! นี่มันจะหักหน้ากันเร็วเกินไปแล้ว!

ชายสวมแว่นม่านตาหดตัวมันที เขาลั่นไกออกไปอีกสองนัดติดกัน

แต่สองนัดนี้…ก็พลาดเป้าเหมือนกัน!

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ชายสวมแว่นอึ้ง เขาเคยจินตนาการถึงภาพเหตุการณ์ตอนที่ได้เจอหลิงม่ออีกครั้งไปต่างๆ นานา แต่กลับไม่เคยคิดถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ และการที่เขายิงพลาดเป้าอย่างไม่รู้สาเหตุนี้ ก็ทำให้เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาทันที…

หลิงม่อยืนสอดมือทั้งสองข้างเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอยู่ที่เดิม เขาเชิดคางขึ้นเล็กน้อย สีหน้าและแววตาเปี่ยมไปด้วยดูถูก หลังจากกระแอมเบาๆ หนึ่งที เขาก็พูดเสียงราบเรียบว่า “จะลองดูอีกก็ได้นะ”

กล้ามเนื้อบนใบหน้าของชายสวมแว่นกระตุกสั่น เขายกปืนขึ้นอย่างลังเล แต่สุดท้ายกลับลดแขนลง “ฉันก็ไม่คิดว่าจะฆ่าแกได้ง่ายๆ อย่างนี้อยู่แล้ว” เขามองไปรอบกาย แล้วแค่นหัวเราะเย็นชา “ฉลาดมาก แกสั่งให้พรรคพวกกระจายตัวไปรอบๆ แล้วยังสั่งให้เฝ้าใกล้ๆ ปากบันไดไว้อีกหนึ่งคน…เพื่อระวังฉัน?”

“หึหึ…” หลิงม่อไม่พูดอะไร กลับเอาแต่หัวเราะ เขาเพียงจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา

คนคนนี้กล้ารอพวกเขาอยู่ที่ แสดงว่าจะต้องมีแผนอะไรซ่อนอยู่แน่นอน…และสิ่งที่หลิงม่อจะทำ ก็คือรอให้เขาเผยมันออกมาด้วยตัวเอง

ส่วนที่เขายิงปืนเมื่อกี้…ที่หลิงม่อกล้าเดินออกมาโจ่งแจ้งอย่างนี้ เขาย่อมมีความมั่นใจอยู่แล้ว ถึงแม้เขาจะไม่สามารถล็อกเป้าอีกฝ่ายได้ แต่ถ้าหากชายสวมแว่นคิดจะเล็งเป้าเพื่อยิง ยังไงก็ต้องมองมาทางเขา เสี้ยววินาทีที่สายตาของทั้งสองปะทะกัน ก็คือช่วงเวลาที่หลิงม่อใช้ “วิชาจ้องตา” ดำเนินการก่อกวนเขา

กำลังคนทั้งทีม ตอนนี้กลับเหลือแค่ชายสวมแว่นคนเดียว ไม่ว่าเขาจะหวาดกลัว หรือบ้าคลั่ง ขอเพียงถูกหลิงม่อก่อกวน สุดท้ายการเคลื่อนไหวของเขาก็ต้องคลาดเคลื่อนอย่างแน่นอน…

—————————————————————————–

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

เมื่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่อุบัติขึ้นและเกิดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ผู้คนบนโลกก็ต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต จากคนธรรมดาต้องกลายเป็นซอมบี้กระหายเลือด! แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่รอดพ้นจากไวรัสร้ายกาจนี้ หนึ่งในนั้นคือหลิงม่อ หนุ่มเนิร์ดหน้าตาบ้านๆ แน่นอนว่าเขาต้องทุ่มเทพยายามสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอด แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เขายังมีภารกิจสำคัญอีกอย่างที่ต้องทำ คือช่วยแฟนสาวซอมบี้ ให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง สุดท้ายแล้วหลิงม่อหนุ่มธรรมดาคนนี้จะทำภารกิจสำเร็จหรือไม่ เรามาร่วมลุ้นไปด้วยกันเถอะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset