ทุกคนต่างพากันเงียบ
เห็นชัดว่า ไคลี่พูดถูก แต่ใครจะอยู่ที่นี่เป็นเหยื่อล่อต่อไป แล้วใครจะรับผิดชอบมุ่งหน้าไปไล่ล่า?
ทั้งสองหน้าที่นี้ ล้วนมีความเสี่ยงสูงทั้งนั้น…
“ถ้าอย่างนั้น คนที่จะไปไล่ล่าต้องจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุด ดังนั้นต้องส่งสมาชิกที่แข็งแกร่งที่สุดออกไป…” ชายหนุ่มเพิ่งจะเปิดปาก ชายผิวสีคนหนึ่งก็พูดแทรกขึ้น
ชายคนนั้นตะโกนอย่างร้อนใจ “เดี๋ยวก่อน! จะตัดสินใจอย่างนั้นไม่ได้หรือเปล่า? ไม่ว่าจะมองอย่างไร คนที่ต้องอยู่ที่นี่ต่อก็อันตรายกว่า!”
“ใช่แล้ว…” มีคนพยักหน้าเห็นด้วยกับเขา
“ถูกต้อง สัตว์กลายพันธุ์คืออันตรายที่แท้จริง ถึงแม้ทางฝั่งนั้นจะมีมือปืนไรเฟิลเพิ่มมาคนหนึ่ง แต่คนที่เหลือล้วนไม่มีอันตรายนี่นา! อย่างน้อยถ้าเทียบกับสัตว์กลายพันธุ์ พวกนั้นก็อ่อนแอกว่า!” ชายผิวสีพยักหน้าแล้วพูดขึ้น
คนอื่นๆ แม้ไม่พูด แต่การกระทำแสดงให้เห็นว่าเอนเอียงไปทางชายผิวสีมากกว่า
“พวกนาย…” ชายหนุ่มเริ่มโกรธ
แต่โกรธก็ส่วนโกรธ เพราะเขาไม่อาจบังคับอะไรพวกเขาได้
สมาชิกทีมพวกนี้ต่างจากคนธรรมดา พวกเขาล้วนมีความสามารถในการเอาตัวรอดระดับหนึ่ง ดังนั้นไม่ใช่ว่าหากออกจากฟอลคอนไปแล้วจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้
เมื่อมีเงื่อนไขนี้อยู่ เวลาทำงานพวกเขาย่อมไม่มีทางยอมแลกชีวิตด้วยแน่นอน
“ฟู่ว…”
ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกๆ แล้วพูดเสียงเย็นชา “ได้ ถ้าอย่างนั้นพวกนายก็อยู่ที่นี่ต่อแล้วกัน ฉันจะพาไคลี่กับเป่ยเฟิง แล้วก็เจ้าผี นายก็มากับฉันด้วย”
สมาชิกทีมสองคนที่ถูกเขาขานเรียกเดินออกมาพร้อมกัน ไคลี่ยังคงยิ้มร่าเหมือนเดิม และเป่ยเฟิงก็เป็นชายที่มีสายตาเยือกเย็น เขาไม่มีอาวุธติดไม้ติดมือ ท่าทางดูค่อนข้างเอื่อยเฉื่อยไม่สนใจอะไร ต่างจากคนอื่นๆ ที่กำลังตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
คนสุดท้ายที่เดินออกมาคือสมาชิกทีมที่ชื่อ “เจ้าผี” เขามีผิวดำทั้งตัว และเอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่พูดไม่จา
พอเห็นเหมือนชายผิวสียังคิดจะพูดอะไรอีก ชายหนุ่มจ้องเขาเขม็งด้วยสายตาคมปลาบ บอกว่า “หรือนายจะเลือกเดินทางเส้นนี้แทนพวกเราก็ได้นะ แต่ถ้าหากเอาตัวหลิงม่อกลับมาไม่ได้ ก็ไม่ต้องกลับมาที่ฟอลคอนอีกตลอดกาล”
เวลานี้ฝั่งชายหนุ่มมีแค่สี่คนเท่านั้น และฝั่งชายผิวสีก็มีกันทั้งหมดถึงแปดคน
ถึงแม้ด้านพลัง ฝั่งชายหนุ่มจะได้เปรียบ แต่ในสถานที่แบบนี้ เห็นชัดว่าจำนวนคนต่างหากที่ทำให้คนรู้สึกอุ่นใจได้มากกว่า…
“พวกเรารับหน้าที่เป็นเหยื่อล่อ ภาระหน้าที่ไม่ได้น้อยไปกว่าพวกคุณ” สมาชิกคนหนึ่งเปิดปากพูด
ชายผิวสีพยักหน้าเห็นด้วย “ถูกต้อง แต่พวกเราจะไม่รอพวกคุณอยู่ที่ต่อ มีแต่ต้องถอยกลับไปบนถนนเท่านั้น ถึงจะสามารถถ่วงเวลาแล้วก็สู้กับสัตว์กลายพันธุ์ได้”
“ได้” ชายหนุ่มมองเขา สายตาฉายแววคล้ายยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มแวบหนึ่ง
ถูกชายหนุ่มมองอย่างนี้ ชายผิวสีรู้สึกไม่ค่อยสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่ไม่รอให้เขาไตร่ตรองความรู้สึกนี้ให้ดี กลุ่มของชายหนุ่มที่มีกันสี่คนก็ได้เดินจากไปแล้ว…
เมื่อพุ่มหญ้าสูงที่ถูกแหวกออกเบื้องหลังปิดลงช้าๆ อยู่ๆ ไคลี่ก็หันไปมองแปดคนนั้น แล้วหัวเราะบอกว่า “พวกนั้นต้องตายแน่ๆ ใช่ไหม?”
“เธอต้องการจะพูดอะไร?” ชายหนุ่มยกมือดึงคอเสื้อให้คลายออก แล้วถามกลับด้วยเสียงเรียบ
“ไม่มีพลังจิตของนายอยู่ พวกเขาก็จะปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าสัตว์กลายพันธุ์กับหลิงม่อโดยไม่มีกำบังอีก คนอื่นฉันไม่รู้ แต่หลิงม่อจะต้องคว้าโอกาสนี้ไว้แน่นอน หรือพูดอีกอย่างคือ ฝ่ายที่เขาจะจัดการเป็นอันดับแรกไม่ใช่พวกเรา แต่เป็นฝั่งที่มีจำนวนคนมากกว่าอย่างพวกนั้นต่างหาก…” ไคลี่พูดต่อ
เป่ยเฟิงหักนิ้วดังกร๊อบแกร๊บ แล้วพูดด้วยเสียงนุ่มนวล “พูดง่ายๆ ก็คือ พวกเขาเป็นเหยื่อล่อจริงๆ…ฉวยโอกาสนี้ พวกเราสามารถเข้าใกล้เป้าหมายได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย…แต่จะว่าไป พวกเขาก็เข้าใจตัดสินใจนะ เลือกที่จะซ่อนตัวอยู่ในนี้ เพราะถึงแม้เราจะตรวจจับตำแหน่งคร่าวๆ ได้ แต่ก็ไม่สามารถมองเห็นพวกนั้นด้วยตาเปล่าทันที แค่จุดนี้จุดเดียว ก็เป็นการปิดกั้นความสามารถในการตรวจจับของคุณได้มากแล้ว ดังนั้นการลอบโจมตีก่อนหน้านี้ ความจริงเป็นเพียงการหยั่งเชิงเท่านั้น…”
ชายหนุ่มแค่นเสียงเย็น ไม่พูดอะไร
เทียบกับ “เหยื่อล่อ” เหล่านี้ เขาสนใจหลิงม่อมากกว่า
ใช้วิธีการก่อกวนง่ายๆ ก็สามารถทำให้พวกเราแตกกำลังคนได้แล้ว…แต่ไม่ต้องห่วง เพื่อกลืนกินเหยื่อล่อกลุ่มนั้น คนของพวกแกก็ต้องแตกกลุ่มเหมือนกัน…อย่างนี้ก็ถือว่าเท่าเทียมกันแล้วนะ…” ชายหนุ่มก้มหน้า ม่านตาเขาหดตัวเล็กลง
หลายนาทีผ่านไป เสียงกรีดร้องหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางป่าทึบ…
“คนยิ่งเยอะ ความคิดเห็นก็ยิ่งไม่ลงรอยกัน อย่าว่าแต่หมอนี่เป็นรองหัวหน้าทีมย่อมเลย ถึงเขาจะเป็นหัวหน้าของทีมใหญ่ ก็ไม่มีทางบังคับให้คนอื่นรอคิวถูกยิงเรียงตัวได้หรอก…” ท่ามกลางพุ่มหญ้า เงาร่างของใครคนหนึ่งค่อยๆ ลุกขึ้นยืน สายตาเขาฉายแววแปลกไป “ส่วนพวกแก คงจะมากันแล้วสินะ…”
…………
เช้ามืด เวลาตีสาม
เสียงกรีดร้องสุดท้ายดังขึ้นท่ามกลางป่าทึบ และในขณะเดียวกัน ณ ทุ่งหญ้าที่อยู่ลึกเข้าไปอีก…
ต้นหญ้าที่นี่แทบจะกลายเป็นสีแดงดำไปหมดแล้ว ขอบใบหญ้าที่คล้ายใบเลื่อยคายของเหลวเหมือนเลือดออกมาอย่างต่อเนื่อง พื้นที่ทั่วบริเวณถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายประหลาดจางๆ…หากสูดดมเข้าไปมากๆ ก็จะพบว่าคล้ายกลิ่นคาวเลือด
ทว่าในพุ่มหญ้า กลุ่มชายหนุ่มกำลังจ้องเขม็งไปยังเบื้องหน้าด้วยสีหน้าประหลาด
ด้านหน้าคืออาคารหลังหนึ่งที่ดูวังเวงน่ากลัว การปรากฏตัวของมันไม่ได้พิเศษ แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาสนใจ กลับเป็นหน้าต่างชั้นสองที่มีแสงไฟสาดส่องออกมา เพียงแต่แสงไฟตรงนั้นหายไปทันทีที่พวกเขามองมา…
“กำลังท้าทายกันงั้นหรอ?” เป่ยเฟิงพูดเสียงเบา
ชายหนุ่มจ้องไปทางนั้นเล็กน้อย แล้วส่ายหน้า “เป็นโลกมายา หน้าต่างเป็นของจริง แต่ข้างในนั้นเป็นโลกมายา”
“ถ้าอย่างนั้น ที่นี่คือสนามรบที่พวกเขาเตรียมไว้?” ไคลี่เลียริมฝีปากพลางถาม
“น่าจะใช่…” ชายหนุ่มพยักหน้า
ไม่รอให้เขาพูดจบ ไคลี่ก็แบกปืนยิงระเบิดขึ้นมา แล้วเล็งไปยังหน้าต่างบานนั้นโดยตรง “หากไม่ห่วงเรื่องที่จะดึงดูดสัตว์กลายพันธุ์เข้ามา ระเบิดที่นี่ทิ้งไปเลย…”
“ไม่…” ชายหนุ่มกลับพูดขึ้นทันควัน “ที่จริงพวกเราเข้ามาในโลกมายาเรียบร้อยแล้ว”
เป่ยเฟิงกับไคลี่มองไปรอบๆ พร้อมกัน จากนั้นก็ทำหน้าไม่เข้าใจ
ชายหนุ่มชี้ไปที่ใบหญ้าไปหนึ่ง แล้วพูดเสียงขรึมว่า “หญ้าพวกนี้ ไม่ขยับตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว…และเหมือนว่าลมที่นี่ ได้หายไปแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น…”
“ไม่มีประโยชน์ นอกจากว่าเธอจะสามารถเผาหญ้าพวกนี้ทิ้งให้หมด ถ้าไม่อย่างนั้นโลกมายาของเขาก็ยังคงอยู่…” ชายหนุ่มสีหน้าค่อนข้างตึงเครียด “ครั้งนี้ น่าจะไม่มีวิธีกำจัดโลกมายาได้แล้วล่ะ”
วัชพืชเหล่านี้ที่ผ่านการกลายพันธุ์มาแล้วล้วนยากที่จะจุดไฟติด ถึงคิดจะเผาจริงๆ ก็ต้องใช้เชื้อเพลิงจำนวนมาก ไม่ใช่เรื่องที่แค่กระสุนปืนไรเฟิลระเบิดมือไม่กี่นัดจะสามารถจัดการได้
“ดังนั้นพวกเรา…” ขายหนุ่มหมายจะพูดต่อ แต่ทันใดนั้น เขากลับรู้สึกหนังศีรษะตึงชา
เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แล้วมองไปรอบข้างด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ไม่มีใครอยู่แล้ว…
ไม่ว่าจะเป็นไคลี่หรือเป่ยเฟิง ตอนนี้พวกเขาหายตัวไปแล้ว
เจ้าผีเองก็ราวกับกลืนหายเข้าไปในความมืด หลังมองหาอย่างละเอียดก็ไม่พบร่องรอยใดๆ
ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสนิท รอบกายหลงเหลือเพียงทุ่งหญ้ากว้างไร้จุดสิ้นสุด และอาคารเก่าๆ ที่อยู่ตรงหน้าเขาเท่านั้น…
เมื่อเขามองไปยังบ้านหลังนั้นอีกครั้ง แสงไฟที่ดับหายไปก่อนหน้านี้ก็สว่างขึ้นมาอีกครั้ง เงาเปลวเทียนเป็นเส้นไหวระริกสะท้อนอยู่บนบานกระจก ขณะเดียวกัน เงาร่างของใครคนหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น…
นั่นเป็นเงาร่างของหญิงสาวที่ร่างกายถูกเย็บด้วยเศษผ้า เพียงแต่เธอก้มหน้าตลอดเวลา จึงมองไม่เห็นเค้าโครงหน้าตาของเธอ…
“คิดจะดวลพลังจิตกับฉัน?” ชายหนุ่มค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เขายกมือสะบัด ต้นหญ้าด้านหน้าพลันแหวกออก กลายเป็นทางให้เขาเดิน
เขากัดฟันกรอด พลางเผยรอยยิ้มเย็นชา “คิดว่าแน่ก็ลองดู! คนที่สร้างโลกมายาผ่านการเผาผลาญพลังจิตจำนวนมากไปครั้งหนึ่งแล้ว พลังโจมตีที่เหลืออยู่แทบไม่ช่วยอะไรเลย…ดังนั้นคนที่รอฉันอยู่ข้างใน ก็คือแกสินะ? หลิงม่อ…”
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดชายหนุ่มก็เดินเข้าไปในบ้านหลังนั้นช้าๆ
ขณะที่เขาเดินออกจากพุ่มหญ้า สภาพแวดล้อมโดยรอบก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไป
หมอกควันสีดำที่คล้ายมีคล้ายไม่มี ทางเดินเล็กๆ อันวังเวงที่ทอดยาวสู่ตัวบ้าน…
และห่างออกไปไม่ไกลนัก มีตะกร้าสกปรกใบหนึ่งวางอยู่เบื้องหน้าเขา ด้านในเหมือนมีกระดาษแผ่นหนึ่งวางไว้…
ทันใดนั้น ป้ายบอกทางป้ายหนึ่งพลันโผล่ขึ้นมาอย่างไร้ซุ่มเสียง อักษรสีโลหิตค่อยๆ ปรากฏขึ้นทีละบรรทัด
“คนที่เข้าสู่โลกมายามีสี่คน สามในสี่จะหายตัวไป คนที่เหลือจะเดินสู่เส้นทางแห่งความตาย สิ่งของทุกอย่างที่คุณเห็น อาจเป็นกับดักที่อันตรายถึงชีวิตได้ทั้งนั้น…ทุกทางเลือกของคุณ อาจกลายเป็นวิธีการตายสุดท้ายของคุณ”
ชายหนุ่มจ้องมองป้ายบอกทางครู่หนึ่ง แล้วอยู่ๆ ก็ขมวดคิ้ว
“กับดักคำพูดงั้นหรอ…”
—————————————————————————–