ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนในเมืองอันเงียบสงัดแห่งหนึ่ง
บนท้องถนนวังเวงมีเงาร่างมากมายเดินวนเวียนกลับไปกลับมา เงาร่างเหล่านั้นเดินหลบหลีกสิ่งกีดขวางไปเรื่อยๆ ราวไม่มีสติ
ทันใดนั้น พวกมันหันขวับไปมองทิศทางหนึ่งพร้อมกัน ณ ที่ตรงนั้น คือตึกสูงชะลูดฟ้าแห่งหนึ่ง…
“เขายังไม่คิดจะมาหาฉันอีกหรอ…”
เสียงงึมงำหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความมืด เมื่อเสียงดังพูดดังขึ้น เส้นหนวดสีแดงมากมายพลันสั่นไหวเบาๆ
ท่ามกลางความมืด เส้นหนวดเหล่านี้ราวสามารถสะท้อนแสงเงาวับ ทุกการเคลื่อนไหวของพวกมันสร้างกลิ่นอายน่าสะพรึงได้อย่างน่าทึ่ง
และสุดปลายสายของหนวดทุกเส้น ก็เชื่อมต่อไว้กับเงาร่างมากมาย…
เงาร่างเหล่านั้นหลับตาสนิท ตรงท้ายทอยมีหนวดเส้นหนึ่งแทงไว้
เมื่อน้ำเสียงเย็นชานั้นดังขึ้นแต่ละครั้ง เงาร่างเหล่านี้ก็จะกระตุกตามไปด้วย
สิ่งที่ทำให้น่าตกใจมากที่สุดคือ เงาร่างเหล่านั้นล้วนเป็นเพศหญิง และเงาร่างในแต่ละชั้นล้วนมีข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนมากด้วย
“ยังไม่มา…”
เมื่อเสียงพูดนี้ดังขึ้นอีกครั้ง เงาร่างหนึ่งในชั้นเจ็ดก็กระตุกสั่นทันที
“ทำไมยังไม่มาอีกล่ะ…”
เงาร่างนั้นค่อยๆ ลืมตาขึ้น เผยให้เห็นดวงตาสีแดงที่เลื่อนลอยไร้จุดโฟกัสเหมือนตุ๊กตาคู่หนึ่ง
“ถ้าอย่างนั้น…ฉันไปหานายเองแล้วกัน…”
ในที่สุด เสียงนี้ก็แสดงให้เห็นถึงคลื่นอารมณ์ และหลังจากที่เธอพูดจบ เงาร่างที่ดวงตาเลื่อนลอยเหมือนตุ๊กตาตัวนั้นก็พลันร่วงลงมาจากกลางอากาศ
เส้นหนวดสีแดงขาดสะบั้น ในขณะที่ตุ๊กตายืนโงนเงนอยู่กับที่
เสียงกร๊อบแกร๊บดังออกมาจากทุกส่วนในร่างกายเธอไม่หยุด เส้นหนวดที่ขาดนั้นหดกลับเข้าไปในศีรษะด้านหลังของเธออย่างน่าประหลาด
ขณะที่เส้นหนวดหายเข้าไปในสมองของเธอ สายตาของตุ๊กตาตัวนี้ก็ปรากฏแววดุร้าย
“หา…หาเจอ…”
ตุ๊กตาพึมพำด้วยเสียงแหบแห้ง จากนั้นก็หันหน้าไปทางหนึ่งเหมือนเครื่องจักร “หา…”
บนท้องถนน เงาร่างมากมายเหล่านั้นค่อยๆ ละสายตาออกไปอีกครั้ง
ทว่าเงาร่างกลุ่มหนึ่งในนั้นกลับหันไปมองยังกลุ่มอาคารที่อยู่ใกล้ๆ ถ้าหากเวลานี้มีมนุษย์อยู่ที่นี่ พวกเขาก็จะได้ยินเสียงที่ดังออกมาจากอาคารเหล่านั้น…
“แจ๊บๆๆ กรึกๆ…”
ราวกับมีคนใช้เล็บขูดกับผิวกระจกช้าๆ ขณะเดียวกันก็ฟังดูคล้ายเสียงเคี้ยวอาหาร…
ท่ามกลางความมืดสลัว กลุ่มอาคารเหล่านั้นแผ่กลิ่นอายน่ากลัวจากข้างในสู่ข้างนอก ดึงดูดสายตาคนแต่ไม่กล้าย่างกราย…
…………
“เดี๋ยวนะ นี่ยังรออยู่ตรงนั้นอีกหรอ!”
หลิงม่อที่เพิ่งกระโดดออกมาจากห้องน้ำกำลังแนบตัวชิดมุมกำแพงมุมหนึ่ง แล้วจ้องมองแผ่นหลังหญิงสาวที่กำลังแอบอยู่ตรงทางเลี้ยวของเฉลียงทางเดินอย่างหมดคำพูด
“แต่งตัวเหมือนพนักงานออฟฟิส แต่พอต้องรับบทเป็นสุนัขจิ้งจอกสะกดรอยตามกลับคล่องแคล่วไม่เบาเลยนะ…” หลิงม่อจนใจเล็กน้อย ผู้หญิงคนนี้เดินตามเขามาสามนาทีแล้ว บีบบังคับให้เขาต้องใช้อุบายสามด่วนอย่างช่วยไม่ได้ แต่ไม่คิดว่าทำถึงขนาดนี้แล้วเธอก็ยังไม่ยอมแพ้ กลับยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องน้ำอย่างไม่ลดละ
“โชคดีที่มีหน้าต่างอยู่…ถึงแม้สภาพตอนปีนจะน่าอนาถไปหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าถูกเธอเดินตามแล้วกัน สลัดเธอทิ้งตอนนี้ เราจะได้รีบทำเวลาไปค้นหาข้อมูล จะให้ดีที่สุดต้องสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับผู้บัญชาการหวังมาให้ได้…”
หลิงม่อนวดหว่างคิ้ว แล้วหันไปมองผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง เตรียมตัวจะเดินออกไปจากตรงนี้
แต่เขาเพิ่งจะหันหน้าไปอีกทาง ร่างกายก็ต้องชะงักไปทันที
ไม่นาน สัมผัสอันตรายหนึ่งก็ได้แผ่ปกคลุมจิตใจเขาทันที
“ทำไมถึง…”
ขณะที่หลิงม่อกำลังปากอ้าตาค้าง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “บังเอิญจัง”
ผู้พูด ก็คือเลขาหยางคนนั้นนั่นเอง…
แต่ประเด็นสำคัญคือ ตอนนี้เธอกลับกำลังยืนอยู่ตรงหน้าหลิงม่อ และกำลังยื่นมือจับเสยตัวเองด้วยสีหน้าเรียบเฉย ท่าทางสงบนิ่ง…
“บังเอิญกับผีอะไรเล่า!” เวลานี้มีเพียงประโยคนี้ที่ดังก้องอยู่ในสมองหลิงม่อ
แต่ในสายตาของเลขาหยาง การตอบสนองของเขากลับทำให้เธอตะลึง กระทั่งสงสัย
“เขา…ทำไมเขาถึงได้ดูใจเย็นอย่างนี้? อย่าว่าแต่สีหน้าเลย แม้แต่สายตาก็ไม่เปลี่ยนเลยซักนิด!หรือฉันเดาผิดไป? เมื่อกี้เขาไม่เห็นฉัน? แต่ถ้าไม่เห็นฉัน แล้วทำไมเขาต้องรีบเดินหนีออกมาอย่างนี้?”
เลขาหยางมอง “หัวหน้าทีม” คนนี้ด้วยแววตาสับสน และพยายามอ่านสีหน้าของอีกฝ่าย
แต่สิ่งที่ทำให้เธอผิดหวังคือ ไม่มี ไม่มีอะไรเลย หัวหน้าทีมคนนี้สีหน้าดูปกติมาก สายตาไม่หลบเลี่ยง แม้แต่สีหน้าก็ยังเหมือนเดิม…
“เป็นไปไม่ได้…แม้แต่การกระทำของฉันก็ยังไม่อาจทำให้เขามีการตอบสนองอะไรได้เลยงั้นหรอ?” มือของเลขาหยางที่กำลังเสยผมพลันหยุดชะงัก “สายตาอย่างนี้ ไม่ต่างอะไรกับมองผักกาดขาวเลยซักนิด…ถึงฉันจะไม่ได้สวยเป็นพิเศษ แต่ตอนนี้ทั่วโลกกำลังขาดแคลนผู้หญิงนะ! จะไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยซักนิดแบบนี้จริงๆ หรอ…”
เธอเพียงทำอย่างนี้เพื่อกระตุ้นคลื่นอารมณ์ของอีกฝ่าย แต่ว่า…อีกฝ่ายไม่เปลี่ยนสีหน้าเลยด้วยซ้ำ!
ทว่าเลขาหยางที่กำลังตะลึงกลับไม่รู้เลยว่า สาเหตุที่หลิงม่อไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เป็นเพราะเขากำลังอึ้งอยู่!
ส่วนปัญหาเรื่องการเปลี่ยนสีหน้า เป็นปัญหาที่แก้ไขไม่ได้อยู่แล้ว…
แต่ไม่นานหลิงม่อก็ได้สติกลับคืนมา และเขาก็คิดวิธีรับมือออกแล้ว
“บังเอิญมาก เลขาหยาง” เขาพยักหน้าตอบ
“เรียกฉันว่าหยางเหมยก็ได้” อีกฝ่ายข่มความสงสัยไว้ แล้วพูดขึ้น
“อ้อ ท่าทางเหมือนจะคุยด้วยไม่ยาก แสดงว่าเป็นคนที่มีคุณสมบัติใช้ได้เลยคนหนึ่ง…น่าเสียดาย กลับเป็นโรคจิตชอบสะกดรอยตามคนอื่น…” หลิงม่อคิดในใจ แต่สีหน้ากลับยังคงเหมือนเดิม…ความจริงถึงอยากเปลี่ยนสีหน้า เขาก็ทำไม่ได้อยู่ดี “อืม ถ้าอย่างนั้นคุณทำงานต่อเถอะ ผมไปก่อน…”
นี่คือแผนรับมือที่เขาคิดไว้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะไล่บี้ เขาต้องใช้วิธี “พูดมากสองไพรเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง” ไว้ก่อน ถ้าหากอีกฝ่ายคั้นถาม ไม่แน่ เขาอาจต้องงัดอุบายสามด่วนมาใช้อีกครั้ง…เพียงแต่ การทำอย่างนั้นมันเสียเวลาเกินไป!
และยิ่งนานไป ร่างกายร่างนี้ก็จะยิ่งกลายพันธุ์มากขึ้นเรื่อยๆ พอถึงตอนนั้น คงยากที่จะรับประกันได้ว่าเจ้ามาสเตอร์บอลจะยังสามารถควบคุมการแสดงออกทางสายตาได้อีกหรือไม่…ความจริง ที่ตอนนี้ดวงตาเขายังเป็นสีดำอยู่ได้ ก็เป็นเพราะเจ้ามาสเตอร์บอลใช้หนวดแทงลึกเข้าไปในดวงตาทั้งสองข้างของเขา และดูดเชื้อไวรัสออกอย่างต่อเนื่องนั่นเอง ทันทีที่ปริมาณเชื้อไวรัสมีมากเกินกว่าที่เจ้ามาสเตอร์บอลจะดูดออกไหว เขาก็คงจะถูกจับได้
หยางเหมยกำลังตะลึงกับความใจเย็นของหลิงม่อ พอได้ยินเขาพูดอย่างนี้ก็เกือบพยักหน้าโดยสัญชาตญาณ แต่เธอกำลังจะอ้าปาก ก็รีบเปลี่ยนคำพูดทันที “ฉันมีเรื่องหนึ่งอยากถาม…”
“哦……”她话音未落,面前的凌默就突然了然地应了一声,然后在身上翻了起来。
“อ้อ…” เธอเพิ่งจะพูดจบ อยู่ๆ หลิงม่อที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็รับคำกะทันหัน จากนั้นก็เริ่มใช้มือลูบคลำร่างกายตัวเอง
คราวนี้หยางเหมยถึงกับอึ้งไป เธอมองการกระทำของหลิงม่ออย่างตกตะลึง ในใจอดคิดไปไม่ได้ว่า “ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ! นายคิดจะทำอะไรกันแน่!”
หลายวินาทีผ่านไป เธอก็เบิกตากว้างแล้วมองไปที่มือของหลิงม่อ…
“เอาไปสิ” หลิงม่อพูดอย่างจริงใจ
หยางเหมยเงียบไป แล้วมองกระดาษทิชชู่ห่อนั้นที่อยู่ในมือหลิงม่ออย่างงงๆ…
ตอนแรกเธอคิดจะถาม แต่ไม่นาน เธอก็เข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่าย
ก็ข้างหลังมีห้องน้ำอยู่นี่นา!
“แต่ฉันจะมาถามหากระดาษทิชชู่จากนายได้ยังไงกันยะ! นายเอามันออกมายื่นให้ฉันง่ายๆ อย่างนี้ แสดงว่านายคิดว่าฉันจะทำเรื่องน่าอายอย่างนี้ได้ลงจริงๆ น่ะหรอ? ผู้หญิงปกติที่ไหนจะถามเอากระดาษทิชชู่จากเพศตรงข้ามกันเล่า!” อยู่ๆ หยางเหมยก็รู้สึกอ่อนแรง เพราะอีกฝ่ายยังคงทำหน้านิ่งเหมือนเดิม ทำให้รู้สึกเหมือนเขากำลังจริงจังสุดๆ…
“นาย…นายต้องเป็นเกย์แน่ๆ!”
ในที่สุดหยางเหมยก็ตะโกนสิ่งที่คาดเดาออกมา
ทว่าเสียงตะโกนของเธอก็ยังดังก้องอยู่แค่ในใจของเธอ เพราะภายนอก เธอยังคงข่มกลั้นเอาไว้แล้วบอกว่า “ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนี้…”
“อ้อ…ถ้าอย่างนั้นผมไปล่ะ” หลิงม่อเก็บกระดาษทิชชู่แล้วบอก
“…” หยางเหมยพูดไม่ออกอีกครั้ง เธอเริ่มรู้สึกเคืองขึ้นมานิดๆ
หมอนี่…น่ารำคาญชะมัด!
แต่หลิงม่อกลับยังคงทำหน้าไม่แยแสอะไรเหมือนเดิม อย่าว่าแต่ผู้หญิงคนนี้เป็นคนของฟอลคอนเลย ถึงแม้ซูเชี่ยนโหรวจะมายืนอยู่ตรงนี้ด้วยตัวเอง เขาก็จะยังเป็นแบบเดิม เพราะถึงยังไงคนที่พวกเธอเกลียด ก็คือหัวหน้าทีมคนนี้ ไม่ใช่เขา…
“ถึงแม้จะกลายพันธุ์ไปแค่ส่วนหัว แต่ประสาทรับกลิ่นกลับถูกปรับเปลี่ยนโครงสร้างไปแล้ว แต่การปรับเปลี่ยนโครงสร้างแค่ในระดับนี้ทำได้เพียงรู้ว่าเธอสะกดรอยตามมา แต่กลับไม่สามารถรู้ว่าเธอมายืนอยู่หลังเราได้ยังไง อีกอย่างฟังจากที่เธอพูดเมื่อกี้ ก็ไม่เหมือนว่าเธอมีใจให้หัวหน้าทีมคนนี้ ตรงกันข้าม พวกเขาไม่ได้รู้จักกันด้วยซ้ำ…การที่คนคนหนึ่งเกิดสนใจคนที่ไม่เคยสนใจมาก่อน ต้องมีปัญหาอะไรแน่ๆ…”
ขณะที่กำลังแยกกัน สมองของหลิงม่อได้ไตร่ตรองถึงปัญหาเหล่านี้อย่างชัดเจน
และสาเหตุที่ผู้หญิงคนนั้นทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ก็เริ่มโผล่เค้ามาให้เห็นรางๆ
“เธอกำลังจับตามองเรา…”
ขณะที่ก้าวเท้ายาวๆ ออกมา ประโยคนี้ได้ผุดขึ้นมาในสมองของหลิงม่อ…
หยางเหมยยังคงอยู่ที่เดิม ยืนมองหลิงม่อเดินออกไปอย่างขุ่นเคือง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงหยิบเครื่องมือสื่อสารออกมา
“เวรลาดตระเวนในคืนนี้ คือใคร?”
—————————————————————————–