ระหว่างที่หลิงม่อกำลังใช้ความคิด หัวหน้าทีมใหญ่จ้องเขาด้วยสายตาสับสนยุ่งเหยิง…ถึงแม้จะมองเห็นแค่เค้าโครงรางๆ แต่ความรู้สึกเลือนรางนี้กลับยิ่งทำให้เขาหวาดกลัว
“น่าแปลก เรื่องอย่างนี้ไม่ว่าใครก็รู้ทั้งนั้น ทำไมต้องถามอย่างละเอียดขนาดนี้ด้วย? หรือว่า…” หัวหน้าทีมใหญ่ขมวดคิ้วคิด พลางทำหน้าเหมือนตะลึง “ใช่แล้ว! เพื่อหยั่งเชิงเราแน่ๆ! ถึงแม้วิธีการของเขาจะต่ำจนเหนือความคาดหมาย แต่ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นหนึ่งในแผนของเขา!เพื่อเอาเรื่องนี้มาทำให้เราระวังตัวน้อยลง ถ้าเราไม่ตอบให้ดีที่สุด เขาก็จะลงมือฆ่าเรา…”
คิดถึงตรงนี้ หัวหน้าทีมใหญ่หวาดกลัว “คนคนนี้แฝงตัวอยู่ใต้การควบคุมของเราอย่างแนบเนียน ถึงแม้ตอนนี้จะนึกย้อนไป ความทรงจำที่เรามีต่อเขาก็มีแค่สมาชิกระดับที่ต่ำมาก รวมถึงท่าทีเอาใจเท่านั้น…และนี่ก็เป็นสิ่งที่ฉันเค้นสมองนึกได้มากที่สุดแล้ว! คนที่สามารถปลอมตัวได้ถึงขั้นนี้ บอกได้คำเดียวว่าเป็นคนที่โหดร้ายมาก…”
ความจริงแล้ว หากวันนี้เปลี่ยนเป็นร่างจริงของหลิงม่อมาจัดการเขาเอง หัวหน้าทีมใหญ่คนนี้อาจยังคงต่อต้านขัดขืนอยู่บ้าง อย่างน้อยเขาก็จะคิดหาทางแก้เชือกและส่งสัญญาณ ระหว่างที่พูดคุยก็จะปิดบังหลายเรื่อง…แต่คนตรงหน้านี้กลับเป็นหัวหน้าทีมย่อยที่อยู่ใต้การดูแลของเขา เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องมากน้อยแค่ไหน และไม่รู้ว่าคนคนนี้ยังมีพรรคพวกอยู่อีกหรือไม่…
ถ้าหากมี บางทีเรื่องที่อีกฝ่ายรู้อาจไม่ใช่แค่เรื่องที่ระดับหัวหน้าทีมย่อยควรรู้ก็เป็นได้
จากที่เขาดู ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าลงมือ แสดงว่าเขาต้องวางแผนมาอย่างละเอียดรอบคอบ ไม่แน่ว่าคืนนี้ อาจเป็นเวลาที่ฐานทัพที่ 2 ตัดสินใจลงมือก็ได้…
“ยังมีอีกสองคำถามนี่? พูดต่อสิ” หลิงม่อบอก
“ท่าทีของค่ายใหญ่ใช่ไหม? ท่าที…เรื่องนี้ต้องพูดจากสองด้าน เพราะตอนนี้ความเห็นของทางค่ายใหญ่แบ่งเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งมีผู้บัญชาการใหญ่ซูเป็นแกนนำ เธอหวังว่าจะสามารถแก้ปัญหาด้วยการเจรจากันได้ ส่วนอีกฝั่งมีผู้บัญชาการหวังและสมาชิกสำคัญอีกหลายคนเป็นแกนนำ วิธีการของพวกเขารุนแรงกว่าเล็กน้อย ข้อเรียกร้องก็มากกว่า…ถ้าหากฐานทัพที่ 2 ไม่เห็นด้วย อาจมีการต่อสู้เกิดขึ้นก็ได้ อีกอย่างดูจากปัจจุบัน ฝั่งของผู้บัญชาการหวังดูเหมือนจะขึ้นนำกว่ามาก เพราะกำลังป้องกันตัวเองของฐานทัพที่ 2 มีไม่มากพอ แค่จุดนี้ก็มากพอที่จะทำให้หลายๆ คนคันไม้คันมือแล้ว”
หัวหน้าทีมใหญ่ที่ลอบวิเคราะห์แผนการของหลิงม่อเริ่มทำตัวรู้งานไม่น้อย เขาพยายามเค้นสมองเล่าเรื่องที่ตัวเองเคยได้ยินออกมาให้หมด “สิ่งที่ฐานทัพที่ 2 ได้เปรียบมีแต่อำนาจเหนือท้องฟ้า แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับฟอลคอนอำนาจนี้กลับสำแดงอานุภาพได้ไม่มากนัก ไม่ว่าจะเป็นเมือง X หรือเมือง Aผู้บัญชาการหวังได้บุกเบิกและสร้างลานจอดรถใต้ดินสำหรับซ่อนตัวรวมถึงเป็นที่เก็บทรัพยากรเอาไว้แล้ว ถึงแม้พวกเขาจะทุ่มทุนปล่อยระเบิดลงมาจากท้องฟ้าเพื่อระเบิดลานจอดรถใต้ดินเหล่านั้น แต่ก็ต้องหาตำแหน่งลานจอดรถพวกนั้นจนเจอก่อนถึงจะทำอย่างนั้นได้…”
“ถ้าอย่างนั้นอาคารบนดินล่ะ?” หลิงม่อถาม
“เรื่องนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่เลย” หัวหน้าทีมใหญ่มั่นใจ แต่คำพูดถัดมากลับทำให้หลิงม่อรู้สึกเย็นวาบ “ผู้บัญชาการหวังมั่นใจในเรื่องนี้มาก เขาบอกว่า ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้ป้องกันตัว ฐานทัพที่ 2 ก็ไม่กล้าสู้…”
“ไม่กล้าสู้…ไม่น่าจะใช่คำพูดข่มขวัญเฉยๆ” หลิงม่อลอบคิดในใจ
หัวหน้าทีมใหญ่พูดต่ออย่างระมัดระวังว่า “เรื่องเกี่ยวกับท่าทีของฟอลคอนฉันรู้แค่นี้ ส่วนเรื่องสถานการณ์ในตอนนี้…เรื่องนี้ฉันไม่รู้จริงๆ! ดูจากภายนอก เรื่องราวก็เป็นเหมือนในตอนนี้ ทางฝั่งผู้บัญชาการหวังยังถือว่าข่มกลั้น…”
“ข่มกลั้น?” หลิงม่ออดหัวเราะเย็นชาไม่ได้
ถ้าคนคนนี้ข่มกลั้นจริงๆ คงไม่แอบส่งคนไปไล่ล่าเขาลับหลังอย่างนั้นหรอก
ในค่ายแห่งนี้ จะต้องมีสายตาแอบมองคู่หนึ่งซ่อนอยู่ในที่มืดแน่ๆ…เขารับรู้สถานการณ์ของฐานทัพที่ 2 และทำตามแผนการสารพัดรูปแบบของฟอลคอนได้ และคนคนนั้น ก็น่าจะเป็นตะปูตัวที่ซ่อนตัวได้อย่างแนบเนียนที่สุด…
“จะว่าไป เขาแค่คิดจะไล่ล่าเราลับหลังงั้นหรือ? รู้สึกเหมือนเขาไม่ได้ทำเต็มที่…”
หลิงม่อคิด พลางกำหมัดแน่น
“เรื่องที่บอกได้ฉันก็บอกไปหมดแล้ว ช่วย…”
หัวหน้าทีมใหญ่ฝืนฉีกยิ้ม ทันใดนั้นเขาพลันรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่จมูก
เมื่อของเหลวอุ่นๆ พุ่งกระฉูด สายตาของเขาก็พร่ามัวไปด้วย
“สะ…สารเลว…”
หลังจากที่มองดูหัวหน้าทีมใหญ่หมดสติและล้มลงไป หลิงม่อหยิบเทปกาวขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่ปรานี…
“ห้านาทีแล้ว…”
หยางเหมยจ้องประตูที่ปิดสนิทบานนั้นตาไม่กระพริบ สองมือที่ถูกมัดไขว้ไปข้างหลังดิ้นไปมาไม่หยุด
“น่ารำคาญชะมัด ทำไมถึงได้มัดแน่นขนาดนี้! แถมยิ่งดิ้น เชือกก็ยิ่งรัดแน่น…ทั้งที่เป็นแค่เชือกธรรมดาเส้นหนึ่งแท้ๆ! อีกอย่าง…ทำไมเขาต้องมัดอ้อมตรงนั้นแล้วก็ตรงนี้ของฉันด้วย! คนปกติเขามัดเชือกกันอย่างนี้หรอไง! แล้วก็…ทำไมฉันถึงไม่มีแรงเลย? ทุกครั้งที่คิดจะออกแรง ก็จะรู้สึกมึนหัวอย่างไม่รู้สาเหตุ…หมอนั่นเป็นผู้มีความสามารถพิเศษงั้นหรอ?”
หยางเหมยที่อับอายและโกรธแค้น ตั้งแต่ที่เธอเริ่มดิ้นขัดขืน สัมผัสแปลกๆ ก็เกิดขึ้นที่ “ตรงนี้” และ “ตรงนั้น” ไม่หยุด แต่ถึงแม้หยุดดิ้น ความรู้สึกอย่างนั้นก็ยังไม่หายไปอยู่ดี…พอมาคิดดูดีๆ วิธีการมัดที่น่ากลัวอย่างนี้ เขากลับทำมันเสร็จภายในเสล่ไม่ถึงสิบวินาทีด้วยซ้ำ…
“นี่มันไอ้โรคจิตที่มีประสบการณ์การทำงานสูงชัดๆ!” พอคิดถึงตรงนี้ หยางเหมยก็อดตื่นตระหนกไม่ได้ และพฤติกรรมที่หลิงม่อจับเธอกับหัวหน้าทีมใหญ่แยกกัน แล้วพาเขาเข้าไปในห้องข้างใน ก็ทำให้เธอรู้สึกเหมือนเขากำลังบอกว่า “เธอนั่งดื่มด่ำกับความรู้สึกนั้นไปก่อนแล้วกันนะ ฮิฮิฮิฮิฮิ …” อย่างไรอย่างนั้น
พอคิดว่าตัวเองกลับพยายามลองหยั่งเชิงโรคจิตด้วยตัวคนเดียวถึงสองครั้ง หยางเหมยก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว…
“ชะ…ช่วยด้วย…” เธอเปล่งเสียงตะโกนร้องทั้งที่ร่างกายสั่นเทา แต่เสียงนั้นกลับกลายเป็นเสียง “อื้อๆ” เพราะเทปกาวที่ปิดปากอยู่……
แต่เลขาผู้โชคร้ายคนนี้ไม่รู้เลย ว่าหลิงม่อเรียนรู้เทคนิคการมัดเชือกมาจากซอมบี้ชนชั้นสูงตัวหนึ่ง…ถ้าพูดตามซอมบี้ตัวนั้น เธอก็จะบอกว่า “เป็นแค่มนุษย์จะหลุดรอดจากเชือกของฉันไปได้ยังไง! ช่างไร้เดียงสา!”
ทว่าแม้แต่ซอมบี้สาวตัวนั้นก็ยังคิดไม่ถึง ว่าในระหว่างที่หลิงม่อถูกมัดซ้ำๆ ตัวเขากลับเรียนรู้เทคนิคดังกล่าวมาด้วย…
“จิ๊…” หลิงม่อที่หันกายไปเตรียมจะเปิดประตูพลันชะงัก พลางสูดหายใจลึกๆ ไม่นานเขาก็ส่ายหน้าไปมา “จู่ๆ ก็คิดถึงประสบการณ์เลวร้ายขึ้นมา…จิ๊ มนุษย์ย่อมมีวันเอาคืน แค่ถูกข่มเหงช่วงหนึ่งจะเป็นไรไป…”
เพียงแต่เพิ่งจะพูดปลอบตัวเองได้สองประโยค ร่างจริงของหลิงม่อก็อดเบือนหน้าหนีไปอีกทางไม่ได้ และพูดด้วยน้ำตานองหน้า “แต่จะให้ผู้มีความสามารถพิเศษสายควบคุมอย่างเราไปใช้กำลังบังคับซอมบี้สามตัวที่วิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง เป็นเรื่องยากเกินรับมือไปแล้ว!”
แน่นอนว่าอารมณ์อย่างนี้ไม่มีทางแสดงออกทางสีหน้าของหุ่นซอมบี้อยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อหลิงม่อเปิดประตู สิ่งที่หยางเหมยซึ่งคุ้นเคยกับความมืดเห็นก็คือ ใบหน้าที่ยังคงมีสีหน้าแข็งกระด้างเหมือนเดิม…
“อื้อๆ!” หยางเหมยโยกตัวไปข้างหน้าข้างหลังด้วยความหวาดกลัว แต่เธอเพิ่งจะเคลื่อนไหวในท่านั้น สายตาก็ถูกควบคุมให้พร่าเลือนไปชั่วขณะ ไม่นานแรงกระตุ้นอย่างรุนแรงก็เกิดขึ้นอีกครั้ง นั่นทำให้เธอได้สติกลับมาทันที
“อื้อ…” หางตาหยางเหมยรื้นน้ำตา ในฐานะสมาชิกระดับกลางที่มีตำแหน่งไม่เลวคนหนึ่ง ภาพลักษณ์ที่เธอแสดงออกในยามปกติคือสง่างามและสูงส่ง สงบนิ่งและมั่นคง…แต่บุคลิกทั้งหมดนี้กลับถูกทำลายจนป่นปี้เพราะ “โรคจิต” เธอมองหลิงม่อ ในสมองเริ่มมีภาพต่างๆ นานาผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
“เขาจะจับฉันห้อยตัวไหม? เขาจะทรมานฉันจนตายไหม? จะ…กรี๊ดด!!!”
เมื่อหลิงม่อเดินมาหยุดตรงหน้าเธอ เลขาหยางคนนี้ก็ถูกจินตนาการล้ำเลิศของตัวเองทำให้สะดุ้งตกใจ…
“หวัดดี สตอล์คเกอร์”
หลิงม่อนั่งลงตรงหน้าเธอ จากนั้นก็ทักทาย
“อื้อๆๆ!” หยางเหมยหดตัวอย่างหวาดกลัว
“เอิ่ม…” พอเห็นสภาพน้ำตาท่วมหน้า ท่าทางเหมือนตกใจมากของผู้หญิงคนนี้ หลิงม่อก็ถึงกับอึ้งพูดอะไรไม่ออก
“ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ? แต่ก็ช่างเถอะ ตกใจขนาดนี้แล้วฉันคงไม่ต้องหยิบมีดขึ้นมาแล้ว…”
ถึงจะพูดอย่างนี้ แต่หลิงม่อก็ยังแกว่งกริชในมือไปมา แล้วพูดเสียงเย็นชาว่า “มีคำถามนิดหน่อย ถ้าตอบผิด รู้นะว่าผลจะเป็นไง?”
“อื้อ!” หยางเหมยพยักหน้าสุดแรง
“ให้ความร่วมมือดีกว่าที่คิดนะเนี่ย…” หลิงม่อคิดอย่างแปลกใจ
หลายนาทีผ่านไป เมื่อเขาลุกขึ้นยืน ในห้องนี้ก็มีคนหมดสติเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน
“ยืนยันเรื่องเล่าจากทั้งสองคน เพื่อที่จะได้สรุปว่าข้อมูลเหล่านี้เป็นเรื่องจริง แต่ว่า…” หลิงม่อก้มหน้ามองหยางเหมยที่กำลังกระตุกสั่นแม้หมดสติไปแล้ว แล้วคิดอย่างปวดหัวว่า “ไม่ว่าจะถ่วงเวลาอีกแค่ไหน อย่างมากก็คงได้แค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น…ไม่คิดเลยว่าอีกเดี๋ยวเธอต้องไปประชุมแล้ว สถานที่อย่างนั้น…ช่างเถอะ ถ้าเราไปคงเสี่ยงถูกจับได้”
—————————————————————————–