เชื้อไวรัสเป็นเรื่องที่ซับซ้อนยากเกินคาดเดาได้มาโดยตลอด แม้แต่เหล่าหลันที่ได้ชื่อว่าเป็นบุคคลระดับผู้เชี่ยวชาญก็ยังอธิบายถึงสาเหตุความเป็นมาของมันไม่ได้ แต่หลังจากที่วิวัฒนาการของเจ้ามาสเตอร์บอลเริ่มชัดเจนขึ้น หลิงม่อก็เริ่มเข้าใจเรื่องนี้ลึกซึ้งขึ้นอีกขั้น ในความคิดของเขา เชื้อไวรัสก็เหมือนกับสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่กำลังวิวัฒนาการอย่างบ้าคลั่ง และมันก็ใช้โลกทั้งใบเป็นพาหะแพร่เชื้อเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ ไม่ว่าซอมบี้และสิ่งมีชีวิตอื่นจะวิวัฒนาการสูงอีกแค่ไหน แต่ก็เป็นเพียงวงจรหนึ่งของแผนการอันยิ่งใหญ่นี้เท่านั้น…แน่นอนว่าหลิงม่อย่อมไม่ยินดีกลายเป็นส่วนหนึ่งของวงจรนี้อยู่แล้ว แต่เขาต้องการกระโดดออกมาจากวงจรนี้ เพียงแต่ในตอนนี้ ความคิดนี้ทั้งห่างไกลและยากเย็นเหลือเกิน…
แต่ติดเชื้อก็ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องร้ายเสมอไป อย่างน้อยสำหรับมนุษย์ การปรากฏตัวของผู้มีความสามารถพิเศษทำให้พวกเขามีกำลังต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดในระดับหนึ่ง เพียงแต่พละกำลังตรงนี้อ่อนแอเกินไปหน่อย…ยกตัวอย่างเช่น คนที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าในเวลานี้ทั้งสามคน
หุ่นซอมบี้เป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้หลิงม่อประสบความสำเร็จ แต่เนื่องจากร่างกายเขาได้ผ่านการปรับโครงสร้างโดยเชื้อไวรัสปริมาณน้อยมาเป็นเวลานาน และยังมีความรู้สึกร่วมกับหุ่นซอมบี้ในบางระดับ ดังนั้นยิ่งวิวัฒนาการของซอมบี้รุนแรง ผลกระทบที่ร่างกายของเขาจะได้รับก็จะมากขึ้นตามไปด้วย และหากพูดถึงสายสัมพันธ์…สถานการณ์ของพวกฉีเทียนอี้แตกต่างจากหลิงม่ออย่างชัดเจน คนหนึ่งถูกกระตุ้นให้ระเบิดพลัง ส่วนอีกคนนั้นค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปทีละนิด
การกระตุ้นของเชื้อไวรัสสามารถทำให้พวกเขาเค้นศักยภาพแฝงในตัวออกมาได้อย่างมหาศาล ทั้งการระเบิดพลังและความเร็วที่เทียบเท่ากับซอมบี้ แต่สำหรับร่างกายของมนุษย์ การระเบิดพลังอย่างนี้มีแต่จะสร้างผลข้างเคียงมากมายเท่านั้น และนี่ก็เป็นสาเหตุที่หลิงม่อบอกว่าฉีเทียนอี้ศึกษาได้ไม่สมบูรณ์แบบ ในความคิดเขา วิธีการกระตุ้นนี้ยังมีจุดที่ต้องปรับปรุงแก้ไขอยู่…แต่เกรงว่ากระบวนการขั้นตอนจริงๆ จะอยู่กับผู้บัญชาการหวังเท่านั้น
“ความจริงแล้วสำหรับเรา วิธีนี้จะมีประโยชน์มากกว่า…เพียงแต่ไม่รู้ว่าเจ้าผู้บัญชาการหวังอะไรนั่น จะเคยใช้วิธีการระเบิดพลังด้วยตัวเองแบบขั้นสุดแล้วหรือยัง…”
หากแค่กระตุ้นอย่างเดียว คงไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อไวรัสซอมบี้ได้…และผลลัพธ์ของการสู้สุดชีวิต ก็นอนอยู่ตรงหน้าแล้ว
ในขณะที่หลิงม่อใช้สมองครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ เลขาฯ สาวคนนั้นก็ตั้งท่าเตรียมพร้อมโจมตีทุกเมื่อมาทางเขา ระหว่างที่เหลือบมองฉีเทียนอี้เป็นระยะ สีหน้าของเธอดูร้อนรนมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนฉีเทียนอี้นั้นเริ่มมีอาการมึนเบลอหลังจากหยุดตัวกระตุกสั่น ถึงแม้จะได้สติแวบหนึ่ง เขาก็ทำได้เพียงพึมพำว่า “ฉัน…” จากนั้นก็แน่นิ่งไป
สำหรับหลิงม่อ เขาคิดว่าฉีเทียนอี้ต้องการจะพูดว่า “ฉันหมดทางเยียวยาแล้ว” แต่สำหรับเลขาฯ สาว คำพูดนั้นไม่ต่างอะไรกับการฉีดเลือดไก่เข้าไปในเส้นเลือดของเธอเลย (ฉีดเลือดไก่ มาจากความเชื่อทางการแพทย์จีนเมื่อยุคปี 60 ว่าการฉีดเลือดไก่เข้าตัวเป็นยารักษาสารพัดโรค (Chicken-blood therapy) กล่าวคือเมื่อฉีดเลือดไก่เข้าเส้น จะมีอาการคึก เลือดลมสูบฉีด หน้าแดง)
ได้ผลตามคาด!
“บอกมาสิ แกต้องการอะไรกันแน่? ลงทุนไปขนาดนี้ อย่าบอกนะว่าแค่ต้องการฆ่าพวกฉัน? แกน่าจะรู้ ถ้าหากพวกฉันขาดประชุม จะต้องมีคนมาตามหาแน่นอน” เลขาฯ สาวถามอีกครั้ง ขณะที่เธอพูด ใบหน้าของเธอก็เริ่มปูดบวมขึ้นพอดี ราวกับมีกำปั้นปูดขึ้นมาจากหน้าผากของเธอ
หลิงม่อหางตากระตุกยิกๆ ขณะเดียวกันก็เกิดความรู้สึกว่า ถึงแม้ฉีเทียนอี้เป็นหัวหน้าทีมในนาม แต่หากวัดกันเรื่องพลัง เขาก็ไม่ได้แกร่งไปกว่าเลขาฯ สาวมากนัก…แน่นอนว่าหากฉีเทียนอี้รู้ความคิดนี้ของเขา เกรงว่าหมอนั่นคงจะโกรธจนฟื้นคืนชีพขึ้นมา เพราะถึงอย่างไร เพราะถึงอย่างไร หากไม่ใช่เพราะได้เปรียบเพราะเป็นซอมบี้ ป่านนี้เขาคงถูกฉีกทึ้งร่างกายจนแหลกคามือฉีเทียนอี้ไปแล้ว…
ถ้าอย่างนั้น ตะปูตัวที่ฝังรากลึกที่สุด คงไม่ใช่ฉีเทียนอี้แล้วล่ะ…เขาเป็นแค่ตัวอำพรางการมีตัวตนอยู่ของตะปูตัวนั้นต่างหาก หรือพูดอีกอย่างก็คือ เขาเป็นแค่หมากบังหน้าตัวหนึ่งเท่านั้น
ทว่าเรื่องที่หลิงม่อถูกลอบโจมตีนั้นยังคงเกี่ยวข้องกับฉีเทียนอี้อย่างหนีไม่พ้นอยู่ดี แต่การที่ตะปูตัวนั้นได้ข้อมูลมาจากฐานทัพที่ 2 คือเรื่องที่อันตรายที่แท้จริงสำหรับหลิงม่อต่างหาก และเป็นอันตรายที่ร้ายแรงมาก…
ในฐานะคนที่ระวังรอบคอบคนหนึ่ง หลิงม่อยึดหลักการถอนหญ้าต้องถอนโคนมาโดยตลอด…ดังนั้นทันทีที่เขาเปิดปาก บรรยากาศตึงเครียดตรงหน้าก็ถูกทำลายลงทันที “ง่ายมาก ฉันต้องการคุยกับตัวการใหญ่”
เขาพูดออกมาอย่างกะทันหัน บวกกับสีหน้าแข็งกระด้างของเขา ทำให้รู้สึกเหมือนเขาต้องการจะสื่อว่า “พวกเธอไม่มีคุณสมบัติพอให้ฉันคุย”
ส่วนเลขาฯ สาว เธออึ้งไปทันทีที่ได้ยิน…เธอจ้องหน้าหลิงม่ออย่างตกตะลึง แต่กลับไม่สามารถคาดเดาอะไรได้จากสีหน้าของอีกฝ่ายเลย
“หมอนี่…รู้อะไรจริงๆ อย่างนั้นหรอ?” เลขาฯ สาวคิดอย่างสองจิตสองใจ
ฉีเทียนอี้ที่นอนอยู่บนพื้นร้องครวญครางขึ้นมาอีกครั้ง แต่น่าเสียดายที่การขยับร่างกายครั้งนี้ของเขา กลับทำให้เลือดไหลเวียนเร็วขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นเขายังไม่ทันลืมตา ร่างกายก็สั่นกระตุกอย่างต่อเนื่องอีกครั้งทันที
หลิงม่อได้ทีฉวยโอกาสพูดเสริมทันที “รีบคิดให้ดี เวลาไม่เคยคอยใครนะ”
เลขาฯ สาวกัดฟันกรอด สุดท้ายก็เค้นเสียงรอดไรฟันถามว่า “แกจะคุยเรื่องอะไร?”
…………
“อื้อๆ!”
ณ ห้องห้องหนึ่งในอาคาร หยางเหมยที่ถูกเชือกมัดไปทั้งตัวกำลังดิ้นรนอย่างยากลำบาก เธอฟื้นค่อนข้างเร็ว แต่หัวหน้าทีมลาดตระเวนที่หมดสติไปพร้อมกับเธอในห้องนี้ ยังคงนอนตัวอ่อนหลับตาอยู่บนเก้าอี้เหมือนเดิม กระทั่งแม้แต่แขนข้างหนึ่งของเขาถูกมัดไว้บนศีรษะ เขาก็ยังไม่รู้สึก…
และปลายอีกด้านหนึ่งของเชือกเส้นนั้นก็มัดติดอยู่กับข้อเท้าของหยางเหมย หากเธอขยับเพียงเล็กน้อย วัตถุหนักๆ บนศีรษะหัวหน้าทีมลาดตระเวนก็จะหล่นลงมาทับเขาอย่างไม่ปรานี…
“ทำไมเขาถึงได้ใช้วิธีการอันโหดร้ายได้คล่องมือขนาดนี้! อาชญากรรมโรคจิตตัวจริงเสียงจริง!” หยางเหมยหงุดหงิด พอถูกพันธนาการไว้อย่างนี้ ก็แสดงว่าเธอต้องเคลื่อนไหวให้น้อยที่สุด และความยากก็จะเพิ่มขึ้นหลายระดับ…ส่วนถ้าจะหวังว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองคนนั้นจะเข้ามาตรวจสอบก่อนล่ะก็…ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าหัวหน้าทีมย่อยคนนั้นไปบอกอะไรพวกเขาไว้ เพราะผ่านไปนานเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว แต่เธอก็ยังไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเลยซักนิด!
ทว่าในตอนนั้นเอง ในห้องอันเงียบสงัดกลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด!”
เสียงริงโทนของเครื่องมือสื่อสารเพิ่งจะดังขึ้น แต่ไม่นานก็เงียบไปราวกับมีคนกดปุ่มรับสาย
เหตุการณ์ประหลาดนี้ ทำให้หยางเหมยชะงักไปทันที
“แซ่ดๆๆๆ…”
ท่ามกลางความเงียบ เสียงสัญญาณขัดข้องของเครื่องมือสื่อสารดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ หยางเหมยได้ยิน และหันหน้าอย่างยากลำบาก เพื่อที่จะมองหาแหล่งกำเนิดเสียง
“คนคนนั้นไม่น่าจะประมาทเลินเล่อได้ขนาดนี้ แต่เขาทิ้งเครื่องมือสื่อสารไว้เพื่ออะไรกัน?” หยางเหมยคาดเดาถึงความเป็นไปได้มากมาย แต่ไม่ว่าเธอจะคิดเก่งแค่ไหน เธอก็ไม่มีทางคิดว่าประโยคแรกที่ดังออกมาจากเครื่องมือสื่อสารจะเป็น “ฮาย~~ หลับสบายไหม?”
“อ่า…” หยางเหมยนิ่งไปหนึ่งวินาที จากนั้นก็เดือดพล่าน
เธอคุ้นเสียงนี้ดี! สไตล์การพูดแบบนี้ เจ้าหน้าตายนั่นแน่นอน!
ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าการที่เขาทิ้งเครื่องมือสื่อสารเอาไว้ไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ แต่การทิ้งมันไว้เพื่อจะโทรมาเยาะเย้ยก็เกินไปหน่อยไหม! ในอีกด้าน ขณะที่เธอจำเสียงนี้ได้ คำถามที่ว่า “เครื่องมือสื่อสารเครื่องนี้กดรับเองได้ยังไง” ก็ถูกเธอลืมไปเสียสนิท และแน่นอนว่าเธอไม่สังเกตเห็นประกายแสงสีแดงที่โฉบออกไปทางช่องหน้าต่างอย่างรวดเร็ว…
บนดาดฟ้า หลิงม่อแกว่งเครื่องมือสื่อในมือไปมาข้างหน้า ซ้ำยังไม่ลืมที่จะเปิดลำโพงเพื่อให้ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวเบาๆ อีกด้วย “ตอนนี้เข้าใจหรือยัง ฉันมีตัวประกันอยู่ในมือไม่น้อยเลยนะ ถ้าหากแค่ชีวิตของหัวหน้าทีมยังไม่พอล่ะก็ ฉันก็อยากจะเพิ่มตัวประกันพวกนี้เข้าไป แค่นี้เบี้ยต่อรองของฉันก็น่าจะมากพอแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าฉันจะคุยอะไร และคุยยังไงนั้น มันขึ้นอยู่กับฉัน เธอไม่มีสิทธิ์ถาม”
“แก…” เลขาฯ สาวโกรธขึ้ง ความจริงเรื่องที่เขาพูดนั้นพิสูจน์ไม่ได้ แต่พอมีฉีเทียนอี้เป็นตัวอย่างความผิดพลาด เธอก็ไม่อาจตั้งคำถามกับการกระทำของหลิงม่อได้ตามใจชอบแล้ว…และถึงแม้เสียงจากเครื่องมือสื่อสารจะเบาและเลือนรางมาก แต่ก็มีเสียงผู้หญิงกำลังร้อง “อื้อๆ” อยู่จริงๆ…
“เวลาอย่างนี้ก็ยังไม่ลืมที่จะใช้ประโยชน์จากฉันให้ได้มากที่สุดอีกนะ!แปลว่าตอนที่โจมตีฉันคงจะวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว!เขารู้แม้กระทั่งว่าฉันจะฟื้นตอนไหน รอก็แต่จังหวะนี้สินะ…” หยางเหมยคิดอย่างเดือดดาลในใจ
แต่หลิงม่อที่ลดเครื่องมือสื่อสารลงกลับคิดอีกแบบ “ไม่คิดเลยว่าจะได้ใช้จริงๆ ด้วย”
ฉีเทียนอี้นับได้ว่าเป็นหนึ่งในเบี้ยต่อรอง แต่การแสดงพลังคุกคามที่เหนือกว่าต่างหาก คืออุบายที่หลิงม่อจะใช้ในการเจรจา ในสถานการณ์ที่ไม่ต้องลงมือตรงๆ เขาก็ไม่ถือสาหากต้องใช้วิธีการที่ยุ่งยากหน่อย เพื่อจะได้มาซึ่งข้อมูลที่ตัวเองต้องการ
—————————————————————————–