ความโกลาหล…จบฉากลงในห้านาทีต่อมา
หลิงม่อควบคุมหุ่นซอมบี้ลุกขึ้นตบมือสองสามที…เวลานี้ มือที่ใช้เป็นเครื่องจักรสังหารคู่นี้ถูกย้อมจนแดงฉานด้วยเลือด แม้กระทั่งระหว่างนิ้วมือก็ยังมีก้อนเลือด กระทั่งสิ่งที่ชวนให้สยดสยองห้อยติดอยู่ด้วย…กอปรกับกลิ่นคาวเลือดที่ฉุนแสบจมูก จนหลิงม่ออดคิดไม่ได้ว่า : “อย่างกับหนังเรื่องอาพาร์ทเมนต์สุดบ้า กับการล่าเนื้อคนสุดเพียนเลยแฮะ…”
ส่วนกริชที่เขาใช้เป็นอาวุธเมื่อกี้ ตอนนี้ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว เดาว่าไม่ปักอยู่กลางอกของศพใดศพหนึ่ง ก็คงจมอยู่ในกองเลือดตรงไหนซักที่
ทว่าไม่นานเขาก็มองเยื้องไปข้างหลังของตัวเอง ด้านหลังศพจำนวนหนึ่ง ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่กำยำคนหนึ่งกำลังนั่งกอดขาโต๊ะด้วยใบหน้านองน้ำตา…เขาดูตกใจสุดขีด แต่ถ้าใครได้เห็นความร้ายกาจของหุ่นซอมบี้ รวมถึงภาพน่าเอนจอนาถเต็มพื้นอย่างตอนนี้ ก็คงจะมีอาการไม่ต่างกัน
ในฐานะกองหน้าของฟอลคอน คนเหล่านี้ไม่ใช่ว่ามีฝีมือการต่อสู้ยอดเยี่ยมกันทุกคน แต่อย่างน้อยก็ยังมีทักษะการเอาตัวรอดที่แข็งแกร่งในระดับหนึ่ง แต่การที่อยู่ๆ ต้องมาเจอกับ “สัตว์ประหลาด” ฆ่าเปิดทางเข้ามาในระหว่างการประชุมซึ่งแต่ละคนไม่ได้พกอาวุธติดมืออย่างนี้ เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือขอบเขตการรับมือของพวกเขา โดยเฉพาะเมื่อแขนข้างหนึ่งของหลิงม่อถูกตีจนเละ แต่เขากลับยังคงดุดันราวกับซอมบี้นั้น แรงฮึดสู้และต่อต้านในใจของคนส่วนใหญ่ก็ถดถอยจนถึงจุดต่ำสุดทันที
แต่หากเทียบเรื่องความเร็ว…ห้องด้านในมีประตูอยู่แค่บานเดียว หนึ่งซอมบี้เฝ้าด่าน มนุษย์สิบกว่าคนมิอาจกรายผ่าน
เพียงแต่ หลังจากเหตุการณ์ลอบโจมตีในห้องประชุมครั้งนี้ผ่านไป อายุการใช้งานของหุ่นซอมบี้ตัวนี้ก็ใกล้หมดลงเต็มทีแล้ว ถึงแม้บาดแผลบนร่างกายสามารถฟื้นฟูได้ แต่ความเสียหายภายในกลับไม่สามารถยับยั้งได้แล้ว เปรียบเทียบกับซอมบี้ทั่วไป หุ่นซอมบี้ตัวนี้เป็นเหมือนระเบิดใช้แล้วทิ้งมากกว่า…และยังเป็นประเภทที่ไม่ทำลายศพเพื่อปกปิดเรื่องที่เกิดอีกด้วย
“แกอย่าเข้ามานะ…” ชายฉกรรจ์ร่างกายสมส่วน แต่ขาข้างหนึ่งของเขากลับบิดเบี้ยวผิดรูปไปแล้ว ตอนนี้เขากำลังพยายามลากร่างกายท่อนล่างมุดเข้าไปหลบใต้โต๊ะอย่างยากลำบาก “แกเป็นตัวอะไรกันแน่!” อยู่ๆ เขาก็ตะโกนออกมาอย่างเสียสติ “คนก็ไม่ใช่ ซอมบี้ก็ไม่เชิง แกเป็นตัวอะไรกันแน่!หรือแกเป็นสัตว์ประหลาดที่ฐานทัพที่ 2 สร้างขึ้นมา? แกคิดว่าฆ่าพวกฉันแล้วจะมีประโยชน์หรอ? ฉันจะบอกให้เอาบุญ ฐานทัพที่ 2…”
เขาตะคอกเสียงดังไปพลาง คลานหนีไปพลาง ขณะที่ตะคอกไปได้ครึ่งหนึ่งเขาก็เตะเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆ เข้ามา จากนั้นก็คว้าโต๊ะพยุงตัวลุกขึ้นโดยไม่หันกลับมามอง และกลิ้งตัวพุ่งไปทางประตูห้องหลายตลบ ทั้งที่ขาหักหนึ่งข้างแต่ก็ยังระเบิดความเร็วได้ขนาดนี้ เห็นชัดว่ามีความปรารถนาในการมีชีวิตรอดนั้นรุนแรงแค่ไหน
แต่หลิงม่อเพียงไหวร่างเบาๆ ก็หลบเก้าอี้ตัวนั้นพ้นแล้ว
“ขอแค่หนีออกไปได้…”
ชายฉกรรจ์ตะเกียกตะกายยันศพที่อยู่ด้านล่างตัวเอง จากนั้นก็ยื่นมือไปคว้ากลอนประตู
แต่ในตอนนั้นเอง ร่างกายเขากลับแข็งทื่อไปทั้งตัว สายตาก็ดูหม่นหมองลงในพริบตา
มือชุ่มเลือดของหุ่นซอมบี้เอื้อมไปจับกลอนประตูก่อนเขา จากนั้นเสียงพูดแข็งๆ ก็ดังขึ้นบนหัวเขา “จะรีบไปไหนกัน”
“…” ชายฉกรรจ์ไม่ขยับตัว เพียงแต่บนใบหน้าที่เดิมก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ กลับยิ่งมีเหงื่อผุดขึ้นมาอีกหนึ่งชั้น
“ถ้าพวกแกสู้กับฐานทัพที่ 2 ขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าพวกแกก็คงไม่มีทางออมมือให้กับเหล่าสหายเก่าที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาหรอกใช่ไหม? พวกที่เป็นลูกน้อง ไม่มีตำแหน่งฉันยังพอเข้าใจ เพราะถึงยังไงพวกเขาก็ต้องทำตามคำสั่ง แต่พวกแกน่ะ…มีอำนาจในการลงมติกันทุกคน”
ชายฉกรรจ์ถามเสียงสั่น “แกจะทำอะไร?”
“ความจริงเรื่องที่อยากรู้ฉันก็รู้หมดแล้ว เรื่องเดียวที่ฉันจะถามแกก็คือ ทำไมพวกแกถึงคิดว่าจะบีบอวี่เหวินซวนจนมุมได้?” หลิงม่อถาม
ชายผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายนี้ คือหนึ่งในสองคนที่คุยกันในห้องด้านนอกเมื่อกี้นั่นเอง และเป็นเขาเองที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา
ขณะเดียวกัน ชายฉกรรจ์ก็เข้าใจเหตุผลที่ตัวเองยังมีชีวิตรอดอยู่จนถึงตอนนี้ทันที เขาชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็อารมณืพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่ มีทางรอดแล้ว! ในเมื่อเรายังมีประโยชน์อยู่ ถ้าอย่างนั้นอีกฝ่าย…
“ให้เวลาคิดหนึ่งวินาที ไม่พูดก็ตายซะ” หลิงม่อกดฝ่ามือลงบนศีรษะของอีกฝ่ายอย่างไม่ลังเล
เลือดเหนียวหนืดที่ไหลลงมาตามหน้าผาก ทำลายความหวังที่เพิ่งผุดขึ้นมาในสมองของชายฉกรรจ์จนสิ้น
“พูดแล้วๆ!อย่าฆ่าฉัน!” ชายฉกรรจ์ร้องลั่นอย่างหวาดกลัว เขาถอยกรูดจนร่างแนบชิดประตูอย่างไม่รู้ตัว ทว่าด้วยประสิทธิภาพกำแพงเก็บเสียงอันยอดเยี่ยมถึงสองชั้น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่นอกห้องจึงไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวในห้องเลยแม้แต่น้อย หรือถึงพวกเขาจะได้ยินเสียงดังเป็นบางครั้ง พวกเขาก็จะหลีกเลี่ยงออกไปอย่างรู้หน้าที่ ไม่เข้ามาเงี่ยหูฟังอย่างแน่นอน…
“นี่คือผลลัพธ์ของการริอาจทำตัวเป็นโจรในบ้านของคนอื่น…” หลิงม่อคิดในใจ พลางตบหัวอีกฝ่ายหนึ่งที “รีบบอกมา”
“เรื่องนี้…เกี่ยวข้องกับหลิงม่อ…”
ชายฉกรรจ์เพิ่งจะเปิดปก หลิงม่อก็ชะงักทันที เรื่องนี้มาเกี่ยวกับตัวเขาได้อย่างไร?
หากพูดกันตามจริง เขาเอาตัวรอดด้วยตัวเองอย่างสุดความสามารถแล้ว ไม่เพียงเท่านี้ เขายังสร้างความเสียหายให้ผู้บัญชาการหวังไม่น้อยเลยด้วย…ทว่าเมื่อชายฉกรรจ์เริ่มเล่าเรื่อง สีหน้าของหลิงม่อก็ค่อยๆ ตึงเครียดขึ้นมา
“ตอนนี้…ตอนนี้ถึงแม้ว่าหลิงม่อจะหนีไปแล้ว…แต่พวกเราก็ยังมีร่องรอยของเขาอยู่ในกำมือ…ในขณะที่คนของฟอลคอนที่ 2 กลับไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน…ดังนั้นพวกเราก็ถือว่าเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่ พวกเราจะประกาศออกไปก็ได้ว่าพวกเราจับตัวหลิงม่อได้แล้ว…สองวันมานี้ มีครั้งหนึ่งที่คนของฟอลคอนที่ 2 หาข้ออ้างเพื่อไปคลังเก็บน้ำมันแห่งหนึ่ง พอกลับมาก็ได้ยินว่าอวี่เหวินซวนโมโหมาก จนเกือบมาหาเรื่องหัวหน้าทีมฉีเลยทีเดียว…” หลังเล่าเรื่องเสียงขาดๆ หายๆ มาจนถึงตรงนี้ ชายฉกรรจ์ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วเหงื่อก็ไหลอาบลงมาอีกครั้ง
หรือว่า…หรือว่านี่เป็นการแก้แค้นของอวี่เหวินซวน? เป็นไปไม่ได้! หมอนั่นยังไม่รู้ว่าหลิงม่ออยู่ที่ไหนนี่…
ชายฉกรรจ์ถือว่าเป็นคนมีไหวพริบมองสถานการณ์ออก เขารู้ว่านอกจากหลิงม่อแล้ว คนที่อวี่เหวินซวนเป็นห่วงที่สุดย่อมต้องเป็นญาติเพียงคนเดียวของเขา ผู้หญิงคนนั้นอยู่ข้างกายหลิงม่อไม่ยอมห่าง สถานการณ์ของเธอน่าจะไม่ต่างจากหลิงม่ออยู่แล้ว ดังนั้นเขาควรห่วงหน้าพะวงหลังสิ!ไม่น่าทำอะไรบ้าๆ อย่างนี้นี่นา!
หลิงม่อนิ่งเงียบไปทันที โดยไม่สนว่าชายฉกรรจ์กำลังคิดอะไรอยู่ในหัวบ้าง
หมายความว่าการที่เราหนีออกมาได้ ก็เป็นส่วนหนึ่งในแผนการของพวกมันงั้นหรอ…ไม่น่าล่ะเจ้าผู้บัญชาการหวังถึงได้ดูไม่เอาจริงอย่างนั้น นอกจากต้องการเก็บแรงเอาไว้แล้ว นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลหนึ่งสินะ…”
ชายฉกรรจ์ที่ลอบตัวสั่นเงียบๆ เห็นหลิงม่อไม่พูดอะไรเป็นเวลานาน ฝ่ามือบนหัวตัวเองก็ไม่ขยับเขยื้อน ในที่สุดเขาจึงรวบรวมความกล้าอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป ถามหลิงม่อว่า “ได้โปรด…ได้โปรดอย่าฆ่าฉันเลย ขอร้องล่ะ! เรื่องที่ฉันรู้ฉันก็บอกแกไปหมดแล้ว ถ้าแกยังอยากรู้เรื่องอื่นอีก…”
“เรื่องวางแผนเกี่ยวกับหลิงม่อ แกรู้?” หลิงม่อพูดตัดบทน้ำเสียงละล่ำละลักของชายฉกรรจ์อย่างเย็นชา
“กะ…ก็ไม่ค่อยรู้มากนัก…” ชายฉกรรจ์ตอบอย่างยากลำบาก
“แต่น่าเสียดายที่ปฏิกิริยาทางจิตของแกบอกว่าแกรู้เรื่องดีนะ”
หลิงม่อแค่นเสียงขึ้นจมูก แล้วเสียง “กร๊อบ” ก็ดังมาจากลำคอของชายฉกรรจ์ เขาเบิกตากว้าง อ้าปากพยายามกรีดร้องแต่ก็ไร้เสียง เมื่อหลิงม่อปล่อยมือร่างกายเขาก็ล้มลงไปนอนทับบนศพอีกศพอย่างแรง
“เจ้าแซ่หวัง และบุคคลสำคัญทุกคนของฟอลคอน…นี่คือของขวัญใหญ่ชิ้นแรกที่ฉันส่งกลับคืนให้พวกแก”
หลิงม่อหันกลับไปมองห้องประชุมนองเลือด และก้มลงหยิบมีดเล่มเล็กที่หล่นอยู่ข้างกำแพงขึ้นมาเช็ดแขนเสื้อ จากนั้นก็พลิกมือเปิดประตูห้อง…
ขณะเดียวกัน ท่ามกลางป่ารกร้างนอกสนามบิน พวกเย่เลี่ยนได้วางกับดักไว้พร้อมแล้ว
ถึงแม้จะดูเหมือนเป็นแค่กิ่งไม้บางๆ ชั้นหนึ่ง แต่แค่ดูท่าทางการโยนของพวกเธอ ก็รู้แล้วว่าความเหนียวและทนทานไม่ธรรมดาแน่นอน
“เอาไง ใครจะเป็นคนตัดริบบิ้นเปิดงาน?” หวังหลิ่นพูดอย่างคันไม้คันมือเต็มที่ ถึงแม้เธอไม่ได้เข้าร่วม แต่เธอก็เป็นกลุ่มคนดูที่อยู่ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ จึงอดรู้สึกตื่นเต้นด้วยไม่ได้
ประโยคนี้ทำให้เธอถูกอวี๋ซือหรานถลึงตาขาวใส่อีกครั้ง ทว่าหลังจากรู้ว่าเด็กสาวชอบพึมพำคุยกับตัวเอง เธอก็เลือกที่จะปลอบใจตัวเองแทน
จะไปมีเรื่องกับยัยเด็กประสาทกลับนั่นทำไม…ในเมื่อเธอบ้า เราก็ไม่จำเป็นต้องบ้าตามนี่!
คนที่ตอบกลับเป็นคนอื่น ซย่าน่าเหล่มองเธอเล็กน้อย บอกว่า “รีบอะไร รอให้ทีมลาดตระเวนเปลี่ยนเวรกันก่อน”
“ต้องรอจนถึงเมื่อไหร่เล่า…” หวังหลิ่นใจร้อน
แต่หลิงม่อที่นั่งอยู่ข้างหลังเงียบๆ มาโดยตลอดกลับพูดขึ้น “ความจริง เริ่มไปตั้งนานแล้ว…”
พูดจบ เขาก็หลุบเปลือกตาปิด ทำท่ารวบรวมสมาธิอีกครั้ง
“แสร้งทำเป็นลึกลับไปได้…” หวังหลิ่นพึมพำอย่างหมั่นไส้
หลิงม่อที่หลับตาลงปวดหัวกับเธอ เขาแสร้งที่ไหนกัน ทุ่มกายทุ่มใจควบคุมหุ่นซอมบี้มานานกว่าครึ่งวัน ถึงร่างกายจะทำจากเหล็กก็ยังเหนื่อยเลย! เหนื่อยใจ ไม่เหนื่อยกาย…
ทว่าสิ่งที่น่าแปลกคือ ช่วงนี้เสียงที่ดังก้องอยู่ในสมอง ดูเหมือนจะอยู่ใกล้กว่าที่ผ่านมา…
“นายอยู่ที่ไหน…”
—————————————————————————–