“โหดร้ายจริงๆ” เฉินเล่อเม้มปาก เขาลากเก้าอี้มานั่งด้วยตัวเอง จากนั้นก็ล้วงของบางสิ่งออกมาจากกระเป๋า
อ้ายเฟิงเพิ่งจะเหลือบมองไป ก็ต้องหันหน้ากลับมาอย่างสะอิดสะเอียน
ในมือของเฉินเล่อคือก้อนเนื้อที่ชุ่มไปด้วยเลือดก้อนหนึ่ง เขาผิวปาก แล้วโยนเนื้อก้อนนั้นไปทางประตู
ท่ามกลางความมืดเงาร่างนั้นเพียงโยกกายเล็กน้อย เนื้อก้อนนั้นก็หายวับไปกลางอากาศ ไม่นานเสียงเคี้ยวอาหารก็ดังตามมาติดๆ
“อย่าบอกนะว่าเนื้อนั่นมัน…” อ้ายเฟิงอดถามไม่ได้
“คิกคิก พี่น่าจะทายถูกแล้วล่ะ” เฉินเล่อยิ้มตาหยี
“เชี่ย…” อ้ายเฟิงพ่นคำหยาบออกมา จากนั้นก็มองไปที่ชายคนนั้น
แต่เขายังไม่ทันพูดอะไร ชายคนนั้นก็พูดขึ้นมาก่อนว่า “ไม่ได้ เรื่องนี้คุณจะปฏิเสธไม่ได้ คุณรู้อยู่แล้ว ว่าภารกิจของผมครั้งนี้ก็คือแสดงความสำเร็จครั้งล่าสุดให้พวกคุณได้เห็น แล้วผมขอถามคุณหน่อย มีวิธีไหนที่ดีกว่าการแสดงให้เห็นผ่านการต่อสู้จริงๆ ไหมล่ะ?”
“แต่ปัญหาคือมันเป็นแค่ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปที่ยังไม่สมบูรณ์แบบ…” อ้ายเฟิงยังคงเสนอความเห็นที่ต่างออกไป
“โถ่ ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปอะไรกัน เห็นๆ กันอยู่ว่าสำเร็จไปกว่า 80% แล้วแท้ๆ” ชายคนนั้นกอดอก มือข้างหนึ่งบีบคาง แล้วพูดขึ้นพร้อมดวงตาที่เปล่งประกาย “และเพราะยังไม่สมบูรณ์แบบ มันถึงได้ต้องการผ่านการต่อสู้จริงๆ มากกว่านี้ไงล่ะ! ถ้าหากมันสามารถเติบโตจนกลายเป็นร่างสมบูรณ์อยู่ที่นี่ได้ คุณก็จะมีส่วนร่วมในความสำเร็จนี้เหมือนกันนะ! อ้ายเฟิง คุณหยุดอยู่แค่ระดับนี้มานานเกินไปแล้วนะ คิดให้ดีๆ หากคุณยังเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ช้าก็เร็วจะต้องมีคนมาแทนที่คุณแน่ พอถึงตอนนั้นคนที่จะต้องออกไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอาจกลายเป็นคุณก็ได้ ปมไม่รู้ว่าคุณคิดยังไง แต่ถึงอย่างไรผมคนหนึ่งล่ะที่จะไม่มีวันกลับไปใช้ชีวิตอย่างนั้น”
อ้ายเฟิงเม้มปาก เขาขมวดคิ้วแล้วครุ่นคิด แล้วจู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า “ที่บอกว่าเติบโตจนกลายเป็นร่างสมบูรณ์อยู่ที่นี่ หมายความว่าอย่างไร?”
“พวกเราขาดข้อมูลอีกแค่นิดเดียว และข้อมูลเหล่านี้ไม่ว่าจะผ่านการทดสอบจากภายในอีกซักกี่ครั้ง ผลที่ได้ล้วนไม่เคยแม่นยำ นั่นเป็นเพราะพวกเราขาดตัวทดลองที่เหมาะสมยังไงล่ะ! พวกเราต้องการมนุษย์ ต้องการผู้มีความสามารถพิเศษที่เก่งกาจ! ผมคิดว่า…คนที่มีความกล้าจุดดอกไม้ไฟตอนกลางคืน ถึงจะไม่ใช่คนที่ทำร้ายหมายเลข 0 ในครั้งก่อน ก็ต้องเป็นคนที่มีความสามารถมากแน่นอน”
“นั่นมันตัวทดลองชั้นเยี่ยมชัดๆ” ชายคนนั้นพูดขึ้น สีหน้าของเขากลับยิ่งดูมั่นใจมากขึ้น
ตามคาด ผ่านไปไม่นาน อ้ายเฟิงก็พยักหน้า “ได้ เอาตามที่คุณว่าแล้วกัน”
และในตอนนั้นเฉินเล่อก็หมุนตักลับมาเกาะพนักเก้าอี้ เอาคางเกยข้างบน แล้วเงยหน้ามองอ้ายเฟิงกับชายคนนั้น “ตอนนี้ผมไปฆ่าพวกนั้นได้รึยัง?”
………..
“ทางนี้”
อีกฟากหนึ่งของถนน เงาร่างของคนกลุ่มหนึ่งกำลังพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง
ห่างออกไปจากข้างหลังพวกเขาไม่ไกล คือเหล่าฝูงซอมบี้และอาคารบ้านเรือนที่ถูกไฟเผา แล้วยังมีควันสีตำโขมงที่ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า
“โครม!”
ขณะที่วิ่งไปจนถึงด้านหน้ารถเก๋งคันหนึ่ง เด็กสาวกับเคียวดาบคู่ใจซึ่งวิ่งนำอยู่ด้านหน้าสุดก็กระโจนขึ้นสูง ฟันซอมบี้ที่กระโดดมาจากข้างหลังรถจนมันร่วงลงบนพื้นเสียงดังโครม
“กรร กรร…”
ร่างกายครึ่งท่อนโดนฟันจนเกือบขาด แต่มือทั้งสองข้างของซอมบี้ตัวนั้นกลับยังคงจับเคียวดาบไว้แน่น พร้อมกับอ้าปากคำรามเสียงดัง
การเคลื่อนไหวของเด็กสาวกับเคียวดาบคู่ใจกลับไม่หยุดนิ่งแค่นั้น หลังจากที่ฟันลงไป ตัวดาบพลันบิดหมุนทันใด จากนั้นก็กระชากออกไปอย่างรวดเร็ว นำเอาสายเลือดพุ่งกระฉูดตามออกมาด้วย
ถึงตอนนี้เด็กสาวกับเคียวดาบคู่ใจจึงทิ้งเท้าลงพื้นอย่างสง่างาม แต่ฝีเท้าของเธอกลับไม่คิดจะหยุดเพราะเหตุนี้ หลังจากที่เท้าทั้งสองข้างแตะพื้น เธอก็รีบก้าวเท้าทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วต่อทันที
เด็กสาวสองคนและเด็กหนุ่มอีกหนึ่งคนที่วิ่งตามติดๆ อยู่ข้างหลังก็ทำอย่างเดียวกัน กลับเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่งซึ่งวิ่งรั้งท้ายสุด ที่ดูลังเลอย่างเห็นได้ชัดก่อนที่วิ่งข้ามศพซอมบี้ตัวนั้นไป
ช่วยไม่ได้ ซอมบี้ตัวนั้นทรวงอกถูกฟันจนเหวอะหวะเป็นแผลใหญ่ แต่มันยังคงพยายามที่จะยืดลำตัวท่อนบนขึ้น เพื่อจะคว้าตัวพวกเขา…
“หลิงม่อ มีซอมบี้อีกมากกำลังวิ่งมาทางนี้” มู่เฉินวิ่งตามไปอยู่ข้างหลิงม่อ แล้วพูดขึ้นพร้อมหอบหายใจระรัว
เขามองหน้าหลิงม่ออย่างหงุดหงิดสุดๆ คนคนนี้เป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตแท้ๆ ทำไมถึงไม่เหนื่อยเหมือนหมาหอบล่ะ? การต้องกระโดดข้ามตึกไปมาอย่างนี้เมื่อเทียบกับวิ่งบนพื้นราบ ต้องใช้เรี่ยวแรงมากกว่าหลายเท่าเชียวนะ บวกกับตอนกลางวันก็ไม่ได้พักผ่อนแต่อย่างใด ตกกลางคืนเขาก็ต่อสู้กับซอมบี้เจ้าเมืองสองตัวนั้นอีก ตอนนี้เขาและสวี่ซูหานต่างดูไม่จืดเลยทีเดียว
ตามหลักแล้วหากพวกเขาทั้งสองซึ่งเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกายเหนื่อยจนหอบแฮกๆ อย่างนี้ หลิงม่อซึ่งเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตก็ควรเหนื่อยจนลุกไม่ขึ้นแล้วจึงจะถูก
แต่ถึงแม้เขาจะหอบเหมือนกัน หน้าผากก็มีเหงื่อไหลเหมือนกัน แต่กลับเห็นได้ชัดว่ายังมีแรงเหลืออยู่
ช่างเป็นเรื่องที่เข้าใจยากจริงๆ!
ส่วนเด็กสาวสามคนนั้น…มู่เฉินเพียงแค่มองพวกเธอแวบเดียว แล้วก็ล้มเลิกความคิดที่จะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบอย่างรวดเร็ว
ภายใต้สถานการณ์อย่างนี้ อย่างน้อยเหลือศักดิ์ศรีไว้ให้ตัวเองซักนิดก็ยังดี…
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเขาก็หนีออกมาจากกับดักเปลวเพลิงได้สำเร็จแล้ว แต่เปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำสูงขึ้นเรื่อยๆ กลับเป็นเหมือนไฟสัญญาณที่เรียกให้ซอมบี้มารวมตัวกัน ซอมบี้จากที่ไกลๆ ทยอยวิ่งพุ่งไปรวมตัวกันที่นั่น
“เขาคำนวณเวลาไว้ด้วย ถึงพวกเราจะเก่งอีกแค่ไหนก็คงจะหนีออกมาจากเขตอันตรายได้ในเวลาประมาณนี้ แต่ไฟกลับไหม้แรงขึ้นตอนนี้พอดี” หลิงม่อยันมือสองข้างไว้กับเข่า สูดหายใจลึกๆ มองไปข้างหน้าพร้อมกับพูดขึ้น
“เชี่ย! นี่มันบีบบังคับให้เราเดินเข้าสู่ความตายด้วยทุกวิถีทาง! ตอนนี้ไม่รู้ว่าเขาไปถึงไหนแล้ว!” มู่เฉินกัดฟันกรอด
“ไม่ต้องใจร้อน…” หลิงม่อกลับเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา
มู่เฉินกับสวี่ซูหานมองรอยยิ้มนั้นอย่างอึ้งๆ อีกแล้ว…คนคนนี้ยิ้มได้ทุกสถานการณ์จริงๆ…
ทว่าความมั่นใจนี้ของเขา ไปเอามาจากไหนกันแน่?
ขณะนั้น หลิงม่อพลันตวัดสายตาไปมองยังอีกทางหนึ่ง สิ่งที่เขาเห็น คือถนนที่สกปรกและมีขยะเกลื่อนเต็มไปหมด แต่สิ่งที่ปรากฏใน “ดวงตา” อีกคู่ของเขา กลับเป็นสายเชื่อมทางจิตสีแดงกึ่งโปร่งใสยาวๆ สองเส้น…
เชือกที่เกิดจากการแข็งตัวของพลังงานทางจิตสองเส้นนี้บิดกันเป็นเกลียวหลวมๆ มันประกายแสงสีแดงออกมาเป็นระยะๆ และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อมีการถ่ายเทพลังงานทางจิตออกไป
พวกมันแผ่ออกไปยังอีกฟากของถนนเส้นนั้น พุ่งทะลุผ่านอาคารก่อสร้างและกำแพง และสุดท้ายปลายสายอีกด้านของเชือกเส้นนี้ก็พุ่งทะลุเข้าไปในร่างกายของคนสองคน
เส้นหนึ่งเข้าไปในร่างกายของหมีแพนด้ากลายพันธุ์ ส่วนอีกเส้นก็เข้าไปในผ้าพันคอของเด็กสาวตัวเล็กคนหนึ่ง
ดวงตาของอวี๋ซือหรานประกายแดงอ่อนๆ หน้าอวบอิ่มเหมือนเด็กทารกของเธอกำลังทำแก้มป่อง
เธอยื่นมือออกมาตบหัวหมีแพนด้ากลายพันธุ์เบาๆ จากนั้นก็ปีนขึ้นไปบนตัวมัน “ไปกันเถอะเสี่ยวป๋าย ไปเผชิญหน้ากับโชคชะตาอันโหดร้ายที่ต้องถูกมนุษย์ใช้แรงงานกันต่อเถอะ เหอะ…มนุษย์หน้าโง่…”
“เดี๋ยวก่อน ต้องหลบเลี่ยงเปลวเพลิง มนุษย์กลัวนายจะถูกย่างสด” จู่ๆ อวี๋ซือหรานก็พูดขึ้น
ทันทีที่เงาสีขาวโฉบไหว ไม่นานมันก็หายเข้าไปในซอยเล็กๆ เส้นหนึ่ง…
“พักผ่อนพอรึยัง? เร่งความเร็วกันหน่อย” หลิงม่อหันหน้าไปมองมู่เฉิน แล้วบอกว่า “ดูเหมือนซอมบี้ทางนั้นจะน้อยกว่ามาก ไปทางนั้นกัน”
เขาชี้ไปยังทางแยกเส้นหนึ่ง ซย่าน่าที่อยู่ข้างหน้าสุดรีบพุ่งตัวออกไปโดยไม่หันมามองด้วยซ้ำ
แต่พอได้ยินคำนี้ มู่เฉินก็อดถอนหายใจยาวๆ ไม่ได้ แต่กลับต้องยกมือขึ้นกุมท้องและออกวิ่งตามไปอย่างเสียมิได้
ทว่าขณะที่สวี่ซูหานวิ่งผ่านเขาไป มู่เฉินที่กำลังถอนหายใจยาวๆ กลับได้ยินเธอพูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง “ตอนนี้รู้แล้วสินะว่าวันนั้นของเดือน ผู้หญิงต้องรู้สึกยังไงบ้าง? นายชอบพูดอยู่เสมอไม่ใช่หรอว่าไม่ว่าจะสถานการณ์ก็ต้องอดทนฝึกซ้อมต่อไป? ตอนนี้นายจะได้เจอกับตัวเองซะบ้าง”
มู่เฉินอึ้งไปก่อน จากนั้นก็โมโห “เชี่ย! พวกเธอยังมีความเห็นใจกันอยู่บ้างไหมเนี่ย! อย่าเอาเรื่องเมื่อก่อนมาเป็นอารมณ์สิ! จะว่าไป…มีใครจะช่วยแบกฉันขึ้นหลังหน่อยได้ไหม? นี่! พวกนายเห็นคนใกล้ตายแล้วไม่ยอมช่วยหรอ?”
และในตอนนั้นเอง ซย่าน่าที่พุ่งตัวไปจนถึงทางเลี้ยวพลันกระโดดถอยหลัง แล้วทิ้งตัวลงบนพื้นอย่างสง่างาม
พอเห็นท่วงท่าของเธอ มู่เฉินถึงกับแปลกใจระคนดีใจ “ฉันรู้อยู่แล้วว่าจะต้องมีคนดีๆ เหลืออยู่แน่นอน! เอางี้ฉันจะหากระดานลื่นหรือรถลาก…”
“จะให้ดีหาโลงศพเลยสิ”
จู่ๆ เสียงพูดเคล้าเสียงหัวเราะก็ดังขึ้น ตัดบทมู่เฉินที่กำลังพูด
และเสียงที่เหนือความคาดหมายนี้ ทำให้ทุกคนต่างค่อยๆ หยุดวิ่ง แล้วหันไปมองยังทิศทางที่ซย่าน่ายืนอยู่อย่างระแวดระวัง
ไม่นาน เงาสีดำเงาหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่มุมเลี้ยวของถนน ต่อมาเงาร่างของใครคนหนึ่งก็เดินออกมาจากตรงนั้น
ใต้แสงจันทร์สาดส่อง เงาร่างของคนคนนั้นพาดยาวออกไป ทว่าผู้เป็นเจ้าของเงากลับเป็นเด็กหนุ่มที่ทั้งตัวเล็กและค่อนข้างเตี้ย
เขายืนอยู่ใต้ไฟข้างถนนที่พังไปแล้ว สองมือสอดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ ผมสีแดงเพลิงดูสะดุดตามากกว่าสิ่งใด
ยามเผชิญหน้ากับพวกหลิงม่อ กระทั่งรวมถึงปากปืนสองกระบอกที่เล็งไปยังศีรษะเขา เด็กหนุ่มคนนี้กลับยังคงสงบนิ่งมาก จนถึงขั้นผ่อนคลายเลยด้วยซ้ำ
เบาหรี่ตาเล็กน้อย แล้วหัวเราะคิกคักพูดว่า “ล้อเล่นน่า”
“พวกนายไม่ได้ใช้โลงศพหรอก” เขายังคงพูดพร้อมกับหัวเราะไปด้วย แต่กลับสามารถทำให้คนฟังรู้สึกขนตั้งชันได้
และหลังจากเงียบไปหลายวินาที หลิงม่อก็กระตุกยิ้มมุมปาก แล้วตอบว่า “นายก็เหมือนกัน”
—————————————————————————–