“หวออ~~~~“
เสียงเตือนภัยที่ดังขึ้นกะทันหันทำลายความเงียบสงบในฐานทัพที่ 2 สนามบินที่กำลังอยู่ในห้วงกึ่งหลับใหลพลันแตกตื่นโกลาหลในพริบตา
“แม่ง เกิดอะไรขึ้นวะ! นี่มันเสียงอะไร!ฐานทัพที่ 2 กำลังทำ…” สมาชิกฟอลคอนคนหนึ่งซึ่งกำลังเดินลาดตระเวนหันไปมองทางอาคารก่อสร้าง แต่เมื่อหันหน้ากลับมา ดวงตาทั้งคู่ของเขากลับเบิกกว้างขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
“พวกแกเป็นใคร!”
ทว่าสิ่งที่ตอบเขา กลับเป็นเลือดที่สาดกระเซ็นไปทั่วทิศ…
“ไป!ทุกคนที่ใส่เสื้อผ้าแบบเดียวกันนี้ห้ามปล่อยให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว ถ้าหากพวกเขายอมจำนนแต่โดยดี ก็ให้มัดตัวไว้ก่อน ถ้าหากกล้าขัดขืน ก็ฆ่าทิ้งได้เลย!” ซย่าน่าลดเคียวดาบลง กวาดสายตามองไปรอบกายและพูดขึ้น
บริเวณรอบๆ มีศพนอนล้มอยู่จำนวนหนึ่ง หลี่ย่าหลินกำลังปล่อยมือออกจากเส้นผมของหนึ่งในนั้น และหันมายิ้มร่าบอกว่า “เข้าใจแล้ว”
เย่เลี่ยนเองก็กำลังเดินเลี่ยงศพที่นอนล้มอยู่บนพื้น จากนั้นก็ยกปืนไรเฟิลขึ้นเล็งไปทางหอสังเกตการณ์
เหล่าทหารที่เดิมทำหน้าที่เฝ้าอยู่ข้างบนนั้น ตอนนี้ล้วนหมอบตัวอยู่บนราวกั้นของหอสังเกตการณ์อย่างไร้เรี่ยวแรง ดวงตาจ้องมองลงมาข้างล่างโดยไม่ขยับเขยื้อนร่างกายอีก…เกรงว่าถึงแม้หลังจากตายไปแล้วพวกเขาก็คงคิดไม่ถึงว่าในค่ำคืนที่มีแสงสว่างไม่เพียงพออย่างนี้ ยังมีคนยิงโจมตีพวกเขาอย่างแม่นยำ ซ้ำยังไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาส่งสัญญาณเตือนภัยเลยแม้แต่น้อย…
นิ้วมือของหนึ่งในทหารวางอยู่ใกล้ปุ่มกดเตือนภัย แต่เขากลับไม่มีโอกาสกดมันอีกแล้ว…
“พวกฉันล่ะ พวกฉันล่ะ!” หวังหลิ่นนั่งยองๆ อยู่หลังพุ่มหญ้า เธอร้องถามอย่างตื่นเต้น
“เธอตามฉันมาแล้วกัน…” หลิงม่อบอกอย่างเอือมๆ
ถ้าเป็นไปได้ เขาเองก็อยากโยนยัยเด็กนี้ไปไว้ข้างหลังเหมือนกัน…
ส่วนอวี๋ซือหรานนั้นไม่อยู่ที่นี่แล้ว นั่นทำให้หูของเขาสงบลงมาก
เวลานี้ เด็กสาวกำลังเดินวนเวียนไปมาตามแนวตาข่ายเหล็ก เธอ เสี่ยวป๋าย และเฮยซือเป็นทีมที่รับหน้าที่เดินลาดตระเวนอยู่รอบนอก หรือพูดอีกอย่างก็คือปิดทางหนีทีไล่ของศัตรูนั่นเอง…และถ้าพูดให้ชัดอีกก็คือ เสี่ยวป๋ายรับผิดชอบเขตป่ารกร้าง ส่วนอวี๋ซือหรานรับผิดชอบเขตสนามบิน
สามสาวซอมบี้รับหน้าที่กำจัดสมาชิกฟอลคอนโดยอาศัยแยกแยะจากชุดเครื่องแบบที่สวมใส่ มีข้อมูลจากหลิงม่อคอยอำนวยความสะดวก งานของพวกเขาจึงไม่ถือว่ายากมาก
ส่วนหลิงม่อ…เขายังคงต้องรับผิดชอบสองเรื่องในเวลาเดียวกัน
หลังจากที่กำจัดอวี๋เสียน ร่างกายหุ่นซอมบี้ของหลิงม่อก็เริ่มเน่าสลายเร็วขึ้น การฝืนฟื้นสภาพร่างกายในเวลาสั้นๆ เร่งการเน่าเปื่อยของร่างกาย เมื่อเป็นอย่างนี้เขาก็ต้องล้มเลิกความตั้งใจที่จะอาศัยหุ่นซอมบี้ไปทำเรื่องอย่างอื่น…ส่วนทางแก้ไขนั้น…
หลิงม่อใช้เวลาคิดเรื่องนี้เพียงหนึ่งวินาที และตัดสินใจทันที—
เขาควบคุมให้หุ่นซอมบี้กลับมาที่ห้องประชุม และกลายเป็นหนึ่งในศพของเหล่าสมาชิกฟอลคอน…
เขาเลือกวิธีนี้เพราะสามารถลดผลกระทบอื่นๆ ที่อาจตามมาได้ ทว่าหลังจากที่กำจัดหุ่นซอมบี้ไป ปัญหามากมายที่ “ไม่อาจแก้ไข” ก็ผุดขึ้นมาตรงหน้าหลิงม่อ…
“ตอนนี้พวกเราจะไปไหน? ทำไมจู่ๆ ที่นี่ถึงได้วุ่นวายอย่างนี้?” หวังหลิ่นเดินๆ หยุดๆ อยู่ข้างหลังหวังหลิ่น และถามขึ้นอย่างสงสัย
ตอนนี้พวกเขาสองคนเดินมาจนถึงด้านข้างของอาคารแล้ว ในความทรงจำของอวี๋เสียน หลิงม่อเหมือนเห็นทางเข้าออกที่อยู่บริเวณนี้รางๆ
“ขอร้องล่ะ หยุดถามซักที…ประตูอยู่ที่นี่!” หลิงม่อพูดอย่างปวดหัว
ทำไมถึงได้วุ่นวาย? ยังต้องถามอีกหรอ!
พนักงานสองคนในห้องเก็บเอกสารหมดสติไปได้ไม่นานมาก พอพวกเธอฟื้นขึ้นมาก็กรีดร้องเสียงแหลม แม้แต่หลิงม่อที่เตรียมจะตัดสายสัมพันธ์ทางจิตก็ยังได้ยิน! ขณะเดียวกัน เสียงอึกทึกครึกโครมบนดาดฟ้าก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ในสถานการณ์อย่างนี้ ไม่ว่าอย่างไรฐานทัพที่ 2 ก็ต้องมีปฏิกิริยาตอบโต้แล้ว …
ทันทีที่พวกเขาออกค้นหาทั่วทิศ เหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้นในห้องประชุมก็จะถูกค้นพบได้ไม่ยาก…
“แต่ฉันไม่รู้อะไรเลยนี่นา!” หวังหลิ่นยังคงยืนหยัด
“ถ้าอย่างนั้นก็อยู่เงียบๆ ต่อไป มันเป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่ผู้หญิงที่ดีควรมีนะ…” หลิงม่อบอก
หวังหลิ่นนิ่งเงียบไปหนึ่งวินาที…
“ฝึกข่มกลั้นไว้มากๆ มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตนะ”
“มีเหตุผล…” น้องเมียพลันถึงบางอ้อ เธอเหลือบมองอวัยวะบางส่วนของหลิงม่ออย่างไม่รู้ตัว “ผู้ชายก็เป็นแบบนี้เหมือนกันหรอ?” ทว่าคำถามนี้เธอกลับไม่กล้าถามออกไป…
“ตรงนั้น! ไปเร็ว!”
หลังจากที่เสียงฝีเท้ามากมายเงียบหายไปในจุดที่ห่างออกไปไม่ไกล หลิงม่อก็เดินออกมาจากด้านหลังประตู
เขาคว้ามือหวังหลิ่นโดยไม่หันไปมองหน้าเธอด้วยซ้ำ จากนั้นก็วิ่งไปทางปากบันไดอย่างรวดเร็ว
“ทำไมพี่ทำตัวเหมือนโจรเลย…” หวังหลิ่นถามเสียงเบา
“เพราะว่าเหตุการณ์วุ่นวายเกินไป ถ้าฉันปรากฏตัวโจ่งแจ้งเกินไป มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจโดนลูกหลง ถึงแม้ว่าตอนนี้ฐานทัพที่ 2 จะเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ใครจะไปรู้ว่าภายในองค์กรของพวกเขาจะมีหนอนบ่อนไส้อยู่หรือเปล่า? อีกอย่างยังมีเธออีก ร้ายดียังไงตอนนี้เธอก็เป็นคนของค่ายกลาง ฉันปล่อยให้เธอมีปัญหาไม่ได้” หลิงม่อตอบรัวเร็ว ขณะเดียวกับที่พูด เขาก็ได้เดินหลบเลี่ยงกลุ่มคนไปได้อีกหลายกลุ่ม
“ชิ…แค่บอกตรงๆ ว่าเป็นห่วงกันจะตายหรือไง? สมแล้วที่เป็นครอบครัวเดียวกับซย่าน่าได้!” หวังหลิ่นพึมพำ
“ทางนี้!”
เมื่อประตูเปิดออก ทั้งสองก็ได้เดินมาถึงในเฉลียงทางเดินเส้นหนึ่ง
หลิงม่อลากหวังหลิ่นเข้ามาหลบในมุมกำแพง และลอบมองออกไปข้างนอกเงียบๆ
“คนเยอะมาก!” หวังหลิ่นเห็นแวบแรก ก็ยกมือปิดปากทันที
เทียบกับที่อื่น คนที่อยู่ที่นี่ดูมีระบบระเบียบกว่ามาก พวกเขายืนเฝ้าอยู่บนเฉลียงทางเดินอย่างเคร่งครัด และมีคนมากมายกำลังเดินเข้าออกอย่างเร่งรีบ
“พวกเราจะเข้าใกล้ได้ยังไง?” หวังหลิ่นถามอย่างกังวล
“เธอรู้จักที่นี่หรอ?” หลิงม่อหันไปมองหน้าเธอแวบหนึ่ง
หวังหลิ่นพยักหน้าบอกว่า “ฉันเคยมาที่นี่ ห้องทำงานของเจ้าเฟิ้งจื่อ…ของผู้สั่งการใช่ไหมล่ะ!”
“อืม…ไม่คิดเลยว่าการรักษาความปลอดภัยของเขาจะรัดกุมอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ก็ฉันก็วางใจแล้ว” หลิงม่อพยักหน้า
“พี่วางใจอะไร?” หวังหลิ่นไม่เข้าใจ
“เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ ถึงอย่างไรก็เป็นความคิดของฉันแค่คนเดียว ไม่ได้แจ้งให้พวกเขารู้ก่อน ถึงแม้ฉันจะเตรียมตัวมาพร้อมที่สุดแล้ว แต่ถ้าหากฐานทัพที่ 2 ไม่สามารถให้ความร่วมมือได้ทันท่วงทีล่ะก็…แต่ดูจากตอนนี้ฉันคงคิดมากไปเอง พวกเขาน่าจะแก้ไขปัญหาฉุกเฉินได้ดีเยี่ยม…” หลิงม่อบอก
“นี่พี่รู้อะไรอีกแล้ว…” หวังหลิ่นไม่เชื่อ
หลิงม่อเองก็ไม่โกรธ เขาหัวเราะเบาๆ แล้วชี้ไปทางเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่ใกล้สุด “คลื่นดวงจิตของพวกเขารุนแรงมาก นั่นบ่งบอกว่าพวกเขาไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเลย ถึงได้ตื่นตระหนกอย่างนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นก็น่าจะคุ้นเคยกับงานเตรียมคุ้มกันอย่างนี้ตั้งนานแล้ว คงไม่เป็นอย่างนี้หรอก ฉันกล้าพูดได้เลย พวกเขาล้วนถูกส่งตัวมากะทันหัน ถ้าหากรู้จักป้องกันตัวเอง แล้วจะไม่เข้าใจเรื่องอื่นได้ยังไงกัน?”
“พูดอยู่ตั้งนานแต่ก็ยังพูดไม่เข้าประเด็นซักที…พวกเราจะเข้าไปได้ยังไงเล่า!” หวังหลิ่นเหลือกตาขาว
เธอจ้องใบหน้าด้านข้างของหลิงม่อ และอดลอบด่าในใจไม่ได้ “เหมือนกันทั้งผัวเมีย! น่าเบื่อ!”
“ไม่ต้องมาแอบด่าฉันในใจเลยนะ…”
“พี่รู้ได้ไง!”
“ดูสีหน้าก็รู้แล้ว…”
หลิงม่อดึงหวังหลิ่นกลับเข้าไปในมุมกำแพงอีกครั้ง พลางพูดเสียงเบา “ไม่ต้องใจร้อนไป อีกไม่นานก็เรียบร้อยแล้ว”
“พี่ทำอะไรถึงได้บอกว่าอีกไม่นานก็…” หวังหลิ่นเพิ่งจะถามอย่างสงสัย ก็ได้ยินเสียง “แกร๊ก” ดังมาจากทางเฉลียงทางเดิน
แล้วเสียงชายคนหนึ่งก็ดังตามมา “รองผู้สั่งการจาง…”
“สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”
“ควบคุมได้หมดแล้วครับ”
“อืม ดีแล้ว ที่นี่ไม่ต้องการพวกเขาแล้ว พาออกไปให้หมด”
“แต่…”
“เร็วเข้า!”
หวังหลิ่นหันไปมองหน้าหลิงม่ออย่างแปลกใจ แต่กลับพบว่าพี่เขยของเธอมีสีหน้าเรียบเฉย…
“กวนประสาทชะมัด…” เธอลอบคิด
เมื่อเสียงฝีเท้ามากมายเงียบหายไป เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง ดูจากทิศ อีกฝ่ายกำลังเดินมาทางพวกเขาตรงๆ…
เมื่อเงาร่างหนึ่งพาดมาบนพื้น สายตาของหลิงม่อกับหวังหลิ่นก็ถูกเงาเส้นหนึ่งบดบัง
อีกฝ่ายหันหลังให้แสงไฟ บนใบหน้าดำมืดเผยให้เห็นฟันขาวเรียงกันสองแถว “โย่ว น้องขะ…อั๊ก!”
ประโยคทักทายยังไม่ทันจบ อวี่เหวินซวนก็ถูกชกท้องเต็มแรง เขางอตัวกุมท้องและกระแอมไออย่างหนัก แต่ในระหว่างนั้นเขาก็ยังไม่ลืมที่จะพูดพล่ามต่อ “แค่กๆ…นี่เป็นการต้อนรับของคนที่ไม่ได้เจอกันมานานหรอ? เสียแรงที่ฉันอุตส่าห์เป็นห่วงนายจนกินนอนไม่ได้ แต่การกลับมาเจอกันอีกครั้งกลับกลายเป็นภาพที่ทำร้ายจิตใจกันขนาดนี้ไปได้ยังไง? อา ฉันปวดใจเหลือเกิน…ปวดกระเพาะปัสสาวะด้วย…”
“ฉันไปต่อยโดนกระเพาะปัสสาวะนายตอนไหน…” หลิงม่อพูดไม่ออก เขาเดินผ่านเจ้าเฟิ่งจื่อไปบนเฉลียงทางเดิน พลางพูดว่า “ตอนที่ยกกองทัพอากาศให้นายฉันก็ไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้ นายนี่มันวอนหาเรื่องจริงๆ…”
“จริงสิเธอคนนี้คือ…” อวี่เหวินซวนหันไปสนใจหวังหลิ่นอย่างรวดเร็ว
แต่เพิ่งจะถามจบ เขาก็ต้องร้องครวญขึ้นมาอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็งอตัวเป็นกุ้งอีกครั้ง
“นายมีปัญหาเรื่องการจำหน้าคนหรือไง!” หวังหลิ่นเคือง
ถูกต่อยสองครั้งติดกัน อวี่เหวินซวนถึงกับต้องยันกำแพงเดินออกมา จากนั้นก็ยืดเอวตรงพูดด้วยสีหน้าขึงขังว่า “เอาล่ะ พูดเรื่องสำคัญเลยแล้วกัน เรื่องในคืนนี้ นายมีส่วนเกี่ยวข้องสินะ?”
“เปลี่ยนอารมณ์เร็วเกินไปไหม…”
—————————————————————————–