“แต่ก่อนจะคุยเรื่องพวกนี้ สิ่งที่สำคัญกว่าคือจะจัดการปัญหาตรงหน้านี้ยังไง…” เสียงพูดหนึ่งดังแทรกขึ้น
“เอาล่ะ ฉันไล่คนอื่นออกไปหมดแล้ว”
จางอวี่จัดคอเสื้อ หน้าตาดูหมดอาลัยตายอยาก
ตอนนี้ดวงตาทั้งคู่ของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดง เสื้อเชิ้ตสีขาวที่สวมใส่อยู่ดูสกปรกมอมแมม ถ้าหากไม่ใช่ว่าทรงผมเขายังดูเรียบร้อยอยู่ เขาคงมีภาพที่ไม่ต่างอะไรกับอวี่เหวินซวนเลย พอเห็นหลิงม่อมองมา เขาก็โยนบุหรี่ในมือทิ้ง แล้วพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย จากนั้นก็รีบพูดขึ้นทันทีว่า “เอาไว้ค่อยรำลึกความหลังกันทีหลังแล้วกัน สถานการณ์ในตอนนี้ฉุกเฉินมาก”
สิ้นเสียงพูด เขาก็เปิดประตูห้องอย่างร้อนลน “มาคุยกันในนี้”
หลังจากเข้ามาในห้อง เขาก็เทน้ำชาสองถ้วยอย่างรีบร้อน พร้อมกับพูดว่า “บอกตามตรงนะพี่หลิงม่อ พี่เปิดตัวเอิกเกริกเกินไปแล้ว” เขาพูดพลางโยนกระดาษแผ่นหนึ่งลงบนโต๊ะ “ผมแทบหัวใจวาย”
หวังหลิ่นฉวยโอกาสเหลือบมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ฉันหลิงม่อเอง” ข้อความบนกระดาษรวบรัดกระชับได้ใจความ แม้แต่ลายมือก็แสดงออกถึงความไม่สนใจอย่างเห็นได้ชัด
แต่หวังหลิ่นคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ตาหมอนี่ไปเขียนข้อความนั่นตอนไหนกัน?
วิธีการส่งเข้าไปหาอวี่เหวินซวนนั้นมีมากมาย แต่เธอไม่เห็นว่าเขาจะทำอะไรเลยนี่นา…
“ฐานทัพที่ 2 แห่งนี้ ช่างเหมือนเผือกร้อน*เสียจริงๆ” จางอวี่นั่งลงตรงหน้าหลิงม่อ สองมือประสานกันวางบนหน้าตัก โน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย บอกว่า “พี่หลิง มีความคิดอะไรดีๆ บ้างไหม? เรื่องมาถึงขั้นนี้ พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นให้เดินแล้ว คนที่ไม่มีญาตินั้นยังดี เพราะที่นี่ไม่ว่าใครก็ใช้ชีวิตเหมือนกันทั้งนั้น แต่ผมไม่เหมือนกัน ผมยังมีลูกสาว…”
“รับตัวมาแล้ว?” หลิงม่อถาม
“อื่ม เห็นโอกาสต้องรีบคว้าไว้ก่อน…ถึงแม้จะมีอันตรายอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าอยู่ในสายตา ยังไงก็วางใจกว่าหน่อย” จางอวี่ถูฝ่ามือไปมา และถามอีกครั้ง “พี่หลิง ผมรู้ว่าตอนแรกที่พี่ยกฐานทัพที่ 2 ให้พวกเรา คงไม่คิดว่าจะได้เห็นสถานการณ์อย่างในตอนนี้ แต่…”
“ทหารมาก็ต้องใช้ขุนพลต้านรับสิ” หลิงม่อบอก (เป็นสำนวนหมายถึง ไม่ว่าศัตรูจะมาด้วยวิธีไหนก็รับมือได้)
“หา?”
ไม่ใช่แค่จางอวี่ที่งุนงง แม้แต่อวี่เหวินซวนก็ตะลึงไปด้วย
นี่…นี่มันก็พูดง่ายน่ะสิ! ปัญหาคือ จะต้านรับยังไงเล่า?
อวี่เหวินซวนอ้าปากค้างอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ตบหน้าตักดังฉาด “อุวะฮ่าฮ่าฮ่า นายกำลังเล่นมุขใช่ไหม? ใช่สิ น้องสาวฉันล่ะ…”
“หลิงม่อ ช่วยอธิบายให้ละเอียดหน่อยได้ไหม” จางอวี่ยกมือจับคาง พลางถาม
“ถึงแม้จะเป็นไปได้ยากที่พวกเราจะขับเฮลิคอปเตอร์ไปทิ้งระเบิดใส่พวกนั้น…แต่ฝ่ายนั้นส่งทหารมาสู้กับพวกเราแค่กี่คนเอง?” หลิงม่อโบกมือไปมา “เรื่องจิ๊บจ๊อยน่า”
ไหล่ของจางอวี่กระตุกขึ้นลงอย่างไม่รู้ตัว ขณะเดียวกันก็ลุกขึ้นตบโต๊ะดังปัง “พี่หลิง นี่พี่กำลังคิดจะทำบ้าอะไรกัน?! รู้ไหมตอนนี้ฐานทัพที่ 2 มีคนอยู่เท่าไหร่! เกือบสามร้อยคน! บางคนก็เหมือนกับผม ที่มีญาติมาด้วย! การกินอยู่อาศัยของคนสามร้อยคนไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย อาศัยแค่การออกไปค้นหาประปรายเพื่อเติมเต็มส่วนนี้เป็นเรื่องที่ยากมากอยู่แล้ว! ถึงแม้เราจะสามารถร่วมมือกับค่ายกลางก็ตาม” เขาชี้ไปทางหวังหลิ่น แล้วบอกว่า “แต่แหล่งน้ำที่อยู่ไกลไม่สามารถดับความกระหายได้ในทันที” (หมายถึงวิธีที่ล่าช้า ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที)
เหมือนเขาเองก็กำลังพยายามสะกดกลั้นอารมณ์อย่างเต็มที่ เพราะระหว่างพูดเขาก็ยังคงเกรงใจหวังหลิ่นอยู่บ้าง
“เรื่องทรัพยากร ฉันจะหาทางแก้เอง” หลิงม่อพูดขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“นายจะไปมี…” เดิมจางอวี่ยังคิดจะตะคอกต่อ แต่หลังจากสังเกตเห็นสีหน้าของหลิงม่อ เขาก็กล้ำกลืนคำพูดลงไป เพราะท่าทางของหลิงม่อ ถือได้ว่ากำลังจริงจัง…
ส่วนอวี่เหวินซวนนั้นก็ยังคงเอาแต่ตบหน้าตักแล้วหัวเราะร่วน “ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันก็วางใจแล้ว ไอ้เลวพวกนั้นบีบพวกเราไว้ในกำมือได้ก็เพราะเรื่องทรัพยากร ในขณะที่พวกเราให้ข้อมูลได้น้อยลงเรื่อยๆ…เฮ้อ สรุปคือ พวกนั้นไม่พอใจกับสิ่งที่เราให้ ดังนั้นจึงเริ่มไม่พอใจพวกเรา บวกกับค่ายเล็กๆ ที่แยกตัวเป็นอิสระอย่างนี้…”
“ก็ฝีมือนายทั้งนั้น” หลิงม่อพูดแทรกอย่างไม่เกรงใจ
จางอวี่นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “ดูเหมือนว่าพี่หลิงจะคิดดีแล้ว ถึงได้ทำอย่างนี้…แต่ก่อนจะลงมือทำ ทำไมถึงไม่บอกพวกเรา…”
“ใครบอก?” หลิงม่อกระดกคิ้ว
“ห๊ะ?”
“ฉันก็แค่ทำเพราะไม่พอใจพวกนั้น” หลิงม่อบอก “ถูกคนปองร้ายแต่เก็บตัวเงียบ นั่นไม่ใช่สไตล์ของฉัน ในเมื่อการทำลายทีมไล่ฆ่าทีมย่อยของเขายังไม่ทำให้เขารู้สึกอะไร ถ้าอย่างนั้นก็ดึงรากถอนโคนที่เขาฝังเอาไว้ที่นี่ออกให้สิ้นซากซะเลย ไม่ใช่แค่เขาคนเดียว แต่ยังมีไอ้เลวพวกนั้นที่อยู่ฝ่ายเดียวกับเขาด้วย ฉันจะทำให้พวกนั้นได้ลิ้มรสความเจ็บปวดอย่างสาสม…”
“เป็นคำประกาศศึกที่แย่มาก…” หวังหลิ่นแอบคิดในใจ
“แต่ก่อนที่จะปะทะกับพวกนั้นซึ่งๆ หน้า สิ่งแรกที่พวกเราต้องทำก็คือ…” หลิงม่อดื่มชาหนึ่งอึก แล้วลุกขึ้นตบชายเสื้อสองสามที “จัดการขี้ที่พวกนั้นเททิ้งไว้ที่นี่ให้หมดจด!”
“ได้เลย!”
“จะว่าไปทำไมต้องเปรียบเทียบอย่างนี้ด้วย…”
หลิงม่อถามต่อ “สถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
จางอวี่รีบตอบทันที “หลังจากได้รับข่าวว่าเกิดเรื่อง ผมก็รีบออกคำสั่งให้ปิดกั้นที่พักของพวกฟอลคอนซะ รวมถึงสั่งให้ปิดกั้นพื้นที่สำคัญของพวกนั้นด้วย…แต่ปัญหาคือยังมีสมาชิกฟอลคอนอีกมากที่ยังอยู่ในระหว่างเคลื่อนไหว หากจะจัดการพวกนั้นเงียบๆ คงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ถึงแม้จะเป็นผู้มีความสามารถพิเศษ…”
“เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง พวกย่าหลินกำลังจัดการกันอยู่ และฉันก็เชื่อในความสามารถของพวกเธอ” หลิงม่อบอก อาศัยแค่ความสามารถของหุ่นซอมบี้ก็จัดการคนพวกนั้นได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซอมบี้สาวระดับสูงถึงสามตัว…ถึงจะอดห่วงไม่ได้อยู่บ้าง แต่หลังจากการไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน หลิงม่อก็ถือว่าตัดสินใจอย่างดีแล้ว
ความหมายของการดำรงอยู่ของซอมบี้นั้นขึ้นอยู่กับการต่อสู้และวิวัฒนาการ ถ้าหากเขายึดสิทธิ์ในการต่อสู้ของพวกเธอ แล้ววิวัฒนาการของพวกเธอจะพัฒนาได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นคู่ต่อสู้ของพวกเธอเป็นมนุษย์ ซึ่งยังไงก็ถือว่าดีกว่ามีซอมบี้เป็นคู่ต่อสู้มาก…
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเหลือเกิน!” ในที่สุดจางอวี่ก็ยิ้มออก
แต่อวี่เหวินซวนกลับพูดเสียงอ่อยอยู่ข้างหลัง “น้องสาวฉัน…”
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ผมจะพาพี่ไปดูสถานการณ์ข้างล่างแล้วกัน” จางอวี่เสนอ
“ไปสิ อ้อ จริงสิ แล้วลูกสาวนายอายุเท่าไหร่แล้ว?”
“…เธอยังเด็กอยู่ ได้โปรดปล่อยเธอเถอะ”
ก่อนจะออกจากห้อง หลิงม่อยื่นมือไปข้างหลังแล้วแอบกวักมือ
“จิ๊บ!”
เจ้ามาสเตอร์บอลกระโดดเข้ามา และกระโจนเข้าใส่ฝ่ามือของหลิงม่ออย่างแม่นยำ
………..
ในเฉลียงทางเดินเส้นหนึ่งของอาคาร บรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด
คนเกือบยี่สิบคนแบ่งออกเป็นสองกลุ่มยืนหันหน้าประจันกัน พวกเขาต่างเล็งปืนในมือใส่อีกฝ่าย
ชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวออกมาข้างหน้า เขายกปืนขึ้นเล็งแล้วถามอย่างไม่พอใจสุดๆ “พวกนายคิดจะทำอะไรกันแน่? ทำไมไม่ให้พวกฉันออกไป?”
“เป็นแค่คนของค่ายสาขายังกล้าขวางทางพวกเรา? อยากโดนลูกพี่ระเบิดสมองกระจุยหรือไง!”
“ข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่! ถ้าพวกนายไม่บอก ฉันจะไปถามเอาจากเจ้านายพวกนายเอง ถึงเวลานั้นพวกนายจบเห่แน่!”
เสียงเย่อหยิ่งดังเสริมมาจากด้านหลังทันที และยังมีเสียงก่นด่าไม่หยุดผสมด้วย
เทียบกันแล้ว คนอีกกลุ่มกลับดูใจเย็นจนผิดปกติ ไม่เพียงไม่มีท่าทีอยากพูดคุย แต่พวกเขาไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อยด้วยซ้ำ
ปากปืนทุกกระบอกเล็งไปข้างหน้า สายตาที่ไม่ยอมละออกจากเป้าหมายบ่งบอกชัดเจน…พวกเขาไม่ได้มาเล่นๆ
“ทำไงดี?” ชายหนุ่มคนนั้นถอยหลังหนึ่งก้าว แล้วพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “พวกเราท้าทายขนาดนี้พวกมันก็ยังไม่สะทกสะท้าน ดูท่าคงแย่แล้วจริงๆ…”
“ไม่หรอกมั้ง ตอนกลางวันทุกอย่างก็ยังดีๆ อยู่เลยนะ!” คนข้างๆ พูดเสียงเบา
“ใช่แล้ว ถ้าหากเกิดเรื่องจริงๆ เป็นไปไม่ได้ที่พวกเราจะไม่ได้รับข่าวเลยซักนิดน่ะ”
“แต่พวกมันยืนขวางอยู่ที่นี่…”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วกวาดมองพวกเขาหนึ่งรอบ บอกว่า “หุบปากให้หมด! เราต้องไม่ประมาทเด็ดขาด พวกเราจะเสียเวลาอยู่ที่นี่ไม่ได้”
“แล้วนายจะทำยังไง?”
“ทำยังไง…” ชายหนุ่มล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงช้าๆ แต่ในตอนนั้นเอง เขากลับรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นที่ข้อมือทันที
“โอ๊ย!” ชายหนุ่มร้องเสียงหลง เขาเบี่ยงตัวและเซไปด้านข้าง
แต่เขายังไม่ทันล้มลงไป เหตุการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้นก่อน
ในขณะที่เขากำลังร้องเสียงหลง ร่างเขาก็ถูกกระชากไปข้างหน้า และล้มลงตรงหน้าเหล่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของฐานทัพที่ 2
ขณะเดียวกัน เหล่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของฐานทัพที่ 2 พากันแหวกออกเป็นสองฝั่ง เพื่อเปิดทางเดินตรงกลาง
“ระเบิดมือ”
จางอวี่นั่งยองๆ ลงไป และกระชากแขนชายหนุ่มคนนั้นขึ้นมา จากนั้นก็ลูบกระเป๋ากางเกงของเขา
ชายหนุ่มกุมข้อมือร้องครวญเจ็บปวด แต่ยังไม่ทันร้องวิงวอนก็ถูกลากตัวไปก่อนแล้ว
เมื่อเห็นภาพนี้ เหล่าสมาชิกฟอลคอนที่เหลือต่างพากันปิดปากเงียบ ชั่วพริบตา ทางเดินทั้งเส้นมีแต่ความเงียบ
“ว่าไงพี่หลิง นายจะจัดการกับพวกนั้นยังไงล่ะ?” อวี่เหวินซวนหันไปถามอย่างคาดหวัง
ท่าทางอย่างนี้ของเขาทำเอาจางอวี่ต้องรีบก้มหน้าทันที เพื่อหลบเลี่ยงสายตาสงสัยของสมาชิกฐานทัพที่ 2 เหล่านั้น
หลิงม่อเดินเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงเข้ามาอย่างแช่มช้า พลางกวาดสายตามองกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าทีละคนๆ
“พะ…พวกนายได้ยินแล้วใช่ไหม? พวกนั้นจะลงมือแล้ว!” สมาชิกฟอลคอนคนหนึ่งหลบอยู่หลังกลุ่มคนพลางตะโกนขึ้น
แต่ในขณะที่เขาหมายจะก้าวถอยหลัง ม่านตากลับหดเล็กลงทันใด
“เฮ้ยย!”
คนข้างๆ พลันร้องแตกตื่น และรีบพากันแหวกทางออกเพื่อมองดูเขาล้มหงายหลังลงไป
ปากของเขายังคงอ้าค้างอยู่ ทว่าด้านล่างตาซ้ายกลับมีรูแผลลึกๆ รูหนึ่งโผล่ขึ้นมา
เมื่อเลือดไหลทะลักออกมา ใบหน้าครึ่งซีกของเขาก็ถูกย้อมจนกลายเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ก็ทำให้ทุกคนแตกตื่นด้วยความตกใจ
“ถึงฉันจะไม่ค่อยชอบคนที่แอบอยู่หลังคนอื่นและคอยปลุกปั่นสถานการณ์อย่างนี้…แต่เขาก็พูดถูกนะ” ท่ามกลางสีหน้าที่แตกต่างของแต่ละคน หลิงม่อเปิดปากพูดอย่างใจเย็น “ถ้าหากพวกนายทำอะไรส่งเดช ฝั่งพวกเราก็จะลงมืออย่างไม่ลังเลเหมือนกัน ดังนั้นพวกนายควรวางปืนลงก่อนที่ปืนจะลั่นดีกว่านะ ถ้าเป็นอย่างนั้นขึ้นมาจะแย่เอานะ…”
“โอ้! เหมือนมาก! ถ้าสวมถุงน่องสีดำไว้บนหัวด้วยนี่ใช่เลย…” อวี่เหวินซวนพูดชมเสียงเบา
“อย่าเอาฉันไปเปรียบเทียบกับผู้ก่อการร้ายนะ!นายคิดว่าฉันไม่กดดันหรือไงที่ต้องมายืนอยู่ต่อหน้าปืนมากมายขนาดนั้น!” หลิงม่อคำรามเสียงต่ำ
เวลานี้จางอวี่เปิดปากพูดขึ้นได้อย่างถูกเวลา “ทุกคนต่างก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ขอแค่ไม่ทะเลาะกันเอง พวกเราก็จะไม่ทำให้พวกนายลำบากใจ พอถึงเวลานั้นจะจากไป หรืออยู่ต่อ ล้วนสามารถเจรจากันได้ แต่ว่าตอนนี้ ฉันหวังว่าทุกคนจะให้ความร่วมมือกัน อุตส่าห์มีชีวิตรอดอย่างยากลำบากมาจนถึงตอนนี้ ถ้าหากมาตายอยู่ที่นี่ ไม่คิดว่ามันน่าเสียดายกว่าตายเพราะถูกซอมบี้กินหรอ?”
อีกฝ่ายนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่นาน หนึ่งในสมาชิกฟอลคอนก็คลายมือ และทิ้งปืนลงพื้นดัง “แคร่ก”
เสียงทิ้งปืนลงพื้นดังขึ้นเรื่อยๆ และทันทีที่คนพวกนี้ทิ้งปืน คนของฐานทัพที่ 2 ก็กรูกันเข้าไปจับตัวพวกเขามัดไว้
หลิงม่อยืนอยู่ด้านหนึ่ง แล้วหันไปพูดกับสมาชิกฟอลคอนคนหนึ่งในกลุ่ม “ฉันมีคำถามหนึ่ง…”
—————————————————————————–