ครู่ต่อมา หลิงม่อยืนตัวตรง แล้วบอกว่า “โชคดี ที่ไม่มีใครแอบติดต่อฐานทัพฟอลคอนแบบลับๆ ต่อไปก็แค่ต้องควบคุมคนที่เหลือให้เร็วที่สุด แค่นี้เราก็จะกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบกว่า กว่าทางฟอลคอนจะรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล ขอนไม้ก็ได้กลายเป็นเรือ*ไปแล้ว พวกเขาทำได้เพียงลิ้มรสชาติของการเป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างไม่มีทางเลือก” (ขอนไม้กลายเป็นเรือ หมายถึง เรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว และไม่อาจกลับมาแก้ไขอะไรได้อีก)
“นี่ อยู่ๆ ก็พูดซะเหมือนการกระทำของพวกเราคล้ายพวกโจรโรคจิตเลยนะ!” จางอวี่อดพูดขึ้นจากอีกด้านไม่ได้
แต่ถึงแม้จะพูดอย่างนี้ เขากลับถ่ายทอดคำสั่งตามแผนการของหลิงม่ออย่างรวดเร็ว เชลยกลุ่มนี้ถูกยกเป็นกลุ่มตัวอย่างของคนที่ถูกเกลี้ยกล่อมจนยอมจำนน และบทพูดเกร่อๆ ที่มักใช้พูดกับเชลยในเวลาอย่างนี้ก็คือ : วางอาวุธ และห้ามติดต่อใครทั้งสิ้น
ดูจากสถานการณ์ในปัจจุบัน ยิ่งฟอลคอนรู้ช้าเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นประโยชน์กับฐานทัพที่ 2 มากเท่านั้น…
“อ้อ ใช่สิ เรื่องในคืนนี้…”
อวี่เหวินซวนหันไป แต่กลับพบว่าหลิงม่อไม่อยู่ตรงนี้แล้ว…
“บ้าจริง!” เขาสบถอย่างหัวเสีย
…ความโกลาหลในฐานทัพที่ 2 ดำเนินต่อเนื่องไปถึงสองชั่วโมงเต็มๆ เนื่องจาก “เบื้องบน” ต่างยอมศิโรราบกันหมดแล้ว ดังนั้นสมาชิกฟอลคอนที่ถูกกักขังส่วนใหญ่จึงเลิกขัดขืน และเลือกยอกจำนน
ส่วนบางคนที่เลือกจะถือปืนต่อต้าน…กระทั่งพยายามหลบหนีนั้น ล้วนถูกคร่าชีวิตไปโดยเงาร่างที่โฉบเฉี่ยวไปมาอยู่ใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน
“เจอศพอีกแล้ว!”
ในมุมมืดๆ แห่งหนึ่งด้านนอกอาคาร คนกลุ่มหนึ่งรีบรุดเข้าไปตรวจสอบศพที่อยู่บนพื้น
ชายร่างกำยำคนหนึ่งในกลุ่มโบกมือบอกว่า “ไม่ต้องดูแล้ว!” เขากำเครื่องมือสื่อสารของตัวเองแน่น พลางฉีกยิ้มกว้าง แล้วพูดเสียงกลั้วหัวเราะอย่างลิงโลด “เพื่อนของฉันมาถึงแล้ว”
“เพื่อนของครูฝึกโทมัส…”
“ถ้าอย่างนั้นนี่ก็เป็นฝีมือของเพื่อนคุณ?”
“เอ่อ…น่าจะเป็นฝีมือแฟนเพื่อน”
ทุกคนต่างพากันรุมล้อมรอบศพเงียบๆ “ร้ายกาจมาก…”
“จริงๆ แล้วลักษณะเด่นของพวกเธอคือสวยมากต่างหาก…” โทมัสบอก
แค่จัดการคน ความจริงใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วโมง แต่ฐานทัพที่ 2 ที่ดูเหมือนเก็บกดมานานได้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วดั่งพายุเฮอริเคน พวกเขาจัดการสมาชิกฟอลคอนทั้งหมดที่ถูกย้ายมาที่นี่เพื่อแทรกแซงอำนาจได้ภายในชั่วอึดใจ
จางอวี่สั่งการไปด้วย และตะโกนระบายอารมณ์ไปด้วย การที่เขาทำงานได้อย่างหมดจดอย่างนี้ จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องน่าเศร้าเหมือนกัน…เพราะนั่นหมายความว่าเขารู้ทุกอย่างมาโดยตลอด! ไม่มีอะไรน่าขมขื่นมากไปกว่าการต้องมองดูคนอื่นวิ่งเข้ามาสร้างความวุ่นวายในบ้านตัวเองอีกแล้ว และทั้งที่รู้ดีแต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้เลย เดิมเขานึกว่าเรื่องนี้คงมีแต่ฐานทัพที่ 2 ที่ต้องทนเป็นฝ่ายถูกกระทำ แต่ไม่คิดว่าเรื่องจะพลิกผันเร็วขนาดนี้
ถึงแม้จะรู้สึกว่าหลิงม่อทำอะไรตามใจตัวเอง แต่ตอนนี้จางอวี่ก็อดคิดอย่างสะใจไม่ได้ “เปิดฉากโต้กลับก่อนก็ดี! แทนที่จะมัวแต่กลัวว่าอีกฝ่ายจะลงมือเมื่อไหร่ สู้ชิงลงมือก่อนกว่า! เฮ้อ จะว่าไปแล้ว เป็นเพราะพวกเราขาดความกล้าแท้ๆ…”
นับตั้งแต่ที่ถูกเหล่าคนสำคัญเพ่งเล็ง จางอวี่ก็มักท่องคำว่า “อดทน” ไว้ในสมองตลอดมา เขาไม่เพียงอดทนคนเดียว แต่ยังลากอวี่เหวินซวนให้อดทนไปพร้อมกันด้วย และเหตุผลที่เป็นอย่างนั้น ความจริงก็เพราะว่ามีห่วงมากเกินไป
เขาต้องรับผิดชอบสมาชิกกว่าสามร้อยชีวิต และไม่อาจพาลูกสาวออกไปเร่ร่อนอยู่ข้างนอก แพ้ไม่ได้ ไม่กล้าสู้ ถึงแม้จะถูกบีบให้จนมุมทีละก้าวๆ สิ่งที่จางอวี่คิดได้ก็ยังคงเป็นการขอความช่วยเหลือ
ความจริงแล้วหลิงม่อจะมีพละกำลังมากมายแค่ไหนกัน? จางอวี่ไม่รู้หรอก
ยิ่งไปกว่านั้น เขาเป็นแค่คนคนหนึ่ง จะต่อกรกับฐานทัพฟอลคอนที่ยิ่งใหญ่ได้ยังไงกัน?
แต่พอคิดว่าเมื่อก่อนเจ้าเฟิ้งจื่อผู้ใจเย็นคนนี้เคยยึดกองทัพอากาศมาได้ ใจเขาก็เริ่มมีความหวังขึ้นมา
ส่วนการทำอย่างนี้จะเป็นเหมือนคนป่วยหนักที่หันไปพึ่งหมอเถื่อนหรือไม่นั้น จางอวี่เองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
แต่ตอนนี้ จู่ๆ เขาก็ตัดสินใจได้แล้ว ความเชื่อมั่นไม่ใช่สิ่งที่สามารถสร้างขึ้นได้จากจินตนาการ อย่างน้อยหลิงม่อ ก็กล้าหาญกว่าพวกเขา…ถ้าหากเขารู้ว่าก่อนหน้านี้หลิงม่อมีเรื่องกับนิพพานมาด้วย เดาว่าเขาคงจะช็อกจนพูดไม่ออก…
“หมอนั่น…จะสะบัดตูดหนีไปเมื่อไหร่ก็ได้สินะ” อวี่เหวินซวนพึมพำกับตัวเองอยู่ด้านหนึ่ง
จางอวี่ที่กำลังใช้ความคิดชะงักไป และในเวลาเกือบหนึ่งนาทีต่อมา เขาก็ค้างอยู่ในท่านั้นตลอด…
“พี่หลิง!”
ในอาคาร หลิงม่อเพิ่งจะเดินเลี้ยว ก็มีเงาร่างสามเส้นพุ่งเข้ามาหา
เขากระโดดถอยอย่างคล่องแคล่ว ขณะเดียวกับที่หลบอุ้งมือทั้งหกข้าง เขายังยื่นมือไปปิดอวัยวะส่วนสำคัญของตัวเองไว้มิดชิด “จัดการเสร็จหมดแล้วหรอ?”
ซย่าน่าที่ลอบโจมตีไม่สำเร็จยังคงรอยยิ้มไว้บนใบหน้า “เรื่องจิ๊บจ๊อยน่า!”
เย่เลี่ยนและหลี่ย่าหลินที่ยืนอยู่ข้างหลังพลันรีบพยักหน้าเสริมอย่างว่าง่าย
หวังหลิ่นเองก็พูดอย่างเห็นด้วย “ใช่ เป็นคนมอบหมายงานให้คนอื่นทำเองแท้ๆ”
“ทำไมคนของค่ายกลางต้องกระตือรือร้นกับเขาขนาดนี้ด้วย…”
หลังจากสมทบกัน หลิงม่อก็พาพวกเธอกลับไปยังบริเวณห้องเก็บเอกสารอีกครั้ง
พนักงานที่ถูกทำให้ตกใจกลัวสองคนนั้นถูกพาตัวออกไปจากที่นี่แล้ว ตอนนี้ที่นี่ไม่มีใครอยู่
“หน่อนบ่อนไส้หญิงคนนั้นมีพื้นที่ลับอยู่ในนี้ แต่ในความทรงจำของเธอไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับวิธีเปิดมัน” ระหว่างทาง หลิงม่อพูดเสียงเบา
เย่เลี่ยนเหวี่ยงหมัดบอบบางของเธอหนึ่งที เป็นเชิงบอกว่าเรื่องแบบนี้สามารถใช้กำลังแก้ไขปัญหาได้…
แต่หลิงม่อกลับส่ายหน้า “เกรงว่าจะไม่ได้ เธอติดตั้งกลไกทำลายตัวเองอัตโนมัติไว้ในนั้น ถ้าหากไม่เปิดประตูด้วยวิธีที่ถูกต้อง พวกเราก็คงไม่มีวันได้เห็นว่ามีอะไรอยู่ข้างในนั้น ผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนอ่อนแอ แต่เมื่อก่อนเธอเป็นถึงนักเรียนเกียรตินิยมของภาควิชาเคมีเชียวนะ”
“เคมีงั้นหรอ…” ซย่าน่าบีบคางทำท่าครุ่นคิด “ผลีผลามพังประตูเข้าไป ปรากฏว่าในช้องนั้นมีแต่ฟอสฟอรัสขาวอะไรทำนองนั้น?” พอเห็นหลิงม่อมองมา เธอก็โบกมือไปมา “ฉันก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อย ถึงจะเป็นเด็กเรียนแต่ฉันก็เป็นแค่นักเรียนมอปลายนะ ถ้ายังไม่เห็นของจริง ก็ยากที่จะจินตนาการได้นี่นา”
“ตอนที่เปิดโหมดร้อยแปดวิธีไม่เห็นเธอจะเคยยกเรื่องนักเรียนมอปลายมาอ้างเลยนะ…”
ในขณะที่ทุกคนเริ่มออกทะเลไปไกล อยู่ๆ หวังหลิ่นกลับถามแทรกขึ้นมา “อะไรคือร้อยแปดวิธี?”
“ถึงแล้ว ที่นี่แหละ”
หลิงม่อเองหน้ามองประตูแวบหนึ่ง จากนั้นก็ตัดสินใจบิดกลอนประตูตรงๆ
“เฮ้ย! ไหนบอกว่าเปิดสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ไม่ใช่หรอ?” หวังหลิ่นร้องตกใจ!
เทียบกับเธอ พวกเย่เลี่ยนกลับดูใจเย็นจนผิดปกติ…หลี่ย่าหลินกระทั่งเหลือกตามองบน พลางพึมพำเสียงเบาๆ “พวกอ่อนแอ…”
“ใครเขาจะสร้างพื้นที่ลับให้อยู่ในห้องน้ำทั้งหมดอย่างนี้กันเล่า! ช่วยใช้สมองหน่อยได้ไหมเนี่ย!” หลิงม่อพูดอย่างเอือมๆ
ทว่าในใจของเขาก็แอบลอบสบถเช่นกัน ผู้หญิงที่ชื่อวี๋เสียนช่างเป็นหนอนบ่อนไส้มือดีจริงๆ ไม่น่าล่ะถึงได้ไม่ใช้พรสวรรค์ด้านเคมี แต่กลับถูกส่งตัวมาที่นี่แทน เธอใช้ห้องน้ำเป็นพื้นที่ลับ ทำอย่างนี้ถึงแม้เข้าออกทุกวันก็ไม่มีใครสงสัย…และนอกจากเพื่อนร่วมงานสองคนนั้นแล้ว ความเป็นไปได้ที่คนอื่นจะลอบบุกเข้ามาค้นห้องน้ำหญิงอย่างละเอียดนั้นแทบจะเท่ากับศูนย์…ฉลาดมาก!
หลังจากที่เข้าไป หลิงม่อก็ได้เดินตรงไปยังห้องน้ำห้องสุดท้าย
บนประตูห้องน้ำห้องนี้มีป้าย “ห้ามใช้” แขวนอยู่ แล้วยังมีเส้นลวดห้อยอยู่ด้วย ดูจากที่เส้นลวดขึ้นสนิม ประตูบานนี้คงไม่ได้ถูกเปิดมานานมากแล้ว
เย่เลี่ยนเดินเข้าไปในห้องน้ำห้องข้างๆ เงยหน้ามองข้างบน จากนั้นก็ลองเคาะผนังห้องข้างๆ ดู แล้วบอกว่า “เธอน่าจะ…เดินเข้าไป…จากตรงนี้”
หลี่ย่าหลินเองก็พูดเสริม “อืม ผนังตรงนี้ดูเอียงกว่าอีกด้านเล็กน้อย! เธอน่าจะขี่มันอยู่บ่อยๆ…”
“พี่ต้องเข้าใจอะไรผิดไปแน่ๆ…”
หลิงม่อบิดเส้นลวดออก จากนั้นก็ดันประตูให้เปิดออก
“อันนั้นแหละ” เขาชี้ไปทางถังพักน้ำชักโครก แล้วบอก
“ในนั้นจะใส่ของได้แค่ไหนกัน…” หวังหลิ่นชะโงกหน้าเข้ามาถามอย่างสงสัย
ซย่าน่าวางเคียวดาบลง แล้วบอกว่า “ฉันจะดูให้เอง”
ตอนนี้เธอเข้าใจความหมายของหลิงม่อแล้ว ในพื้นที่แบบปิดแคบๆ อย่างนี้ คงจะมีแต่ซอมบี้ระดับสูงอย่างพวกเธอเท่านั้น ที่จะสามารถอาศัยประสาทรับกลิ่นเพื่อบอกว่าข้างในมีอะไรอยู่บ้าง
ทว่าก่อนเริ่ม เธอยังพูดอย่างรู้สึกโชคดีเล็กน้อย “ยังดีที่เธอไม่ได้ติดตั้งมันไว้ในโถชักโครก”
“คงไม่มีใครอยากล้วงชักโครกทุกวันๆ หรอกมั้ง…” หลิงม่อเหงื่อตก
ซย่าน่าก้มหน้าสังเกตดูหนึ่งรอบ บอกว่า “มีกลิ่นของวัตถุเคมีอยู่เยอะมาก…ในนี้ไม่เพียงมีกับดัก แต่ยังถูกดัดแปลงไปมากด้วย…” เธอยกมือขึ้นเคาะ “ถ้าหากผลีผลามเปิดฝา อาจเกิดการระเบิดหรือไม่ก็ไฟไหม้ แต่สำหรับพวกเรา มันเป็นเรื่องเล็กนี่…”
สองสามนาทีผ่านไป อยู่ๆ ซย่าน่าก็ร้องตะโกนอย่างดีใจ “เจอแล้ว! จุดที่กลิ่นอ่อนที่สุด ถ้าหากพังเข้าไปจากจุดนี้ต้องไม่มีปัญหาแน่ๆ!”
มีหวังหลิ่นอยู่ด้วย เธอจึงไม่สะดวกพังถังพักน้ำด้วยมือเปล่า ดังนั้นหน้าที่นี้จึงตกเป็นของหลี่ย่าหลินแทน
จูบอสรพิษอันแหลมคมแทงเข้าไปข้างในเบาๆ ไม่นานทุกคนก็ได้ยินเสียง “เคร้ง” ดังขึ้นเบาๆ
“มีช่องอยู่จริงๆ ด้วย!” หลิงม่อพูดขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกาย
หลี่ย่าหลินออกแรงต่อไป แล้วไม่นานเธอก็งัดขอบฝาถังขึ้นช้าๆ
เมื่อเสียง “แกร่กๆๆ” ดัง ฝาพลาสติกชั้นนอกสุดก็เริ่มแตกร้าว เผยให้เห็นผิวเหล็กด้านใน
“อย่างนั้นแหละ…” ซย่าน่าบอก “จุดที่รุ่นพี่ออกแรงเป็นจุดเชื่อมต่อพอดี ถ้าหากว่าคนคนนั้นมีเทคนิคการเชื่อมเหล็กที่ยอดเยี่ยมด้วยล่ะก็ พวกเราคงไม่มีทางเปิดถังพักน้ำนี้ได้โดยไม่เสียหายแล้ว”
“แคร๊ก!”
หลังจากที่หลี่ย่าหลินงัดฝาเปิดช่องว่างให้กว้างขึ้นอย่างใจเย็น เธอก็บิดข้อมือออกทันที
เมื่อถังพักน้ำแตกออกเป็นสองส่วน กล่องเหล็กกล่องหนึ่งก็ปรากฏสู่สายตาของทุกคน
“นั่นอะไรน่ะ?” ซย่าน่าค่อยๆ หยิบมันออกมาอย่างระมัดระวัง แล้ววางลงบนอ่างล้างมือ
“ไม่มีกลิ่นเคมีแล้ว” เธอทำการตรวจสอบอีกครั้ง แล้วค่อยดันมันไปให้หลิงม่อ
บนกล่องไม่มีตัวล็อค หลิงม่อปลดเบาๆ ฝากล่องก็ถูกเปิดออกทันที
ทว่าสิ่งที่อยู่ในกล่อง กลับทำให้เขาผิดคาดมากจริงๆ…
กระดาษหนึ่งแผ่น รูปหนึ่งใบ และเครื่องมือสื่อสารอีกหนึ่งเครื่อง…
“นี่มัน…เบอร์ติดต่อหรอ?” หลิงม่อมองกระดาษแผ่นนั้น แล้วพูดขึ้น
เขาหยิบรูปขึ้นมาดู แล้วก็ชะงักไป
มันเป็นรูปที่ถูกปริ๊นท์สีออกมา อาจดูแปลกๆ ไปบ้าง แต่ภาพก็ยังถือว่าชัดดี
ฉากหลังดูเหมือนจะเป็นริมแม่น้ำซักแห่งในเมือง X ในภาพมีชายหญิงยืนอยู่คู่หนึ่ง ซึ่งฝ่ายหญิงก็คืออวี่เสียน แต่ฝ่ายชายกลับดูเป็นคนอ่อนโยนและสุภาพเรียบร้อย…
“เป็นเหมือนในความทรงจำตามคาด” หลิงม่อจ้องมองอยู่ไม่นาน จากนั้นก็ยัดเก็บในกระเป๋าอย่างไม่เกรงใจ
“พี่จะเอารูปคนอื่นไปทำไม?” หวังหลิ่นถาม
“เอาไว้ยืนยันหน้าคนไง…”
พูดจบ หลิงม่อก็หันไปมองเครื่องมือสื่อสารเครื่องนั้น…
—————————————————————————–