แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ – ตอนที่ 881 ถูกมองเป็นอาหารก็ถือเป็นเกียรติ์อย่างหนึ่งเหมือนกัน

“ข้างหน้านี้คือจุดสีแดงจุดแรกบนแผนที่…” ด้านหลังซากรสบัสพังๆ เงาร่างของคนกลุ่มหนึ่งกำลังซ่อนตัวอยู่ตรงนั้นอย่างระมัดระวัง และห่างออกไปข้างหน้าของพวกเขาไม่ไกล ก็คือซอมบี้ฝูงใหญ่ที่กำลังเดินโยกเยกไปมา ตอนนี้เหล่าสัตว์ประหลาดเนื้อตัวมอมแมมยังคงดูสงบเสงี่ยม แต่เมื่อใดที่พวกมันรู้ว่ามีมนุษย์กลุ่มนี้อยู่ใกล้ๆ พวกมันก็จะกลายเป็นเครื่องจักรสังหารในร่างคนทันที

และด้านหลังฝูงซอมบี้ก็คือตึกสูงใหญ่หลังหนึ่ง ดูจากภายนอก ตึกหลังนั้นเก่าและทรุดโทรมมาก แถมยังเอียงกระเท่เร่อีกต่างหาก บวกกับประตูทางเข้าก็มีแต่พืชหน้าตาประหลาดขึ้นเต็มไปหมด ส่งผลให้บรรยากาศโดยรวมดูน่ากลัวและอันตรายมาก

“บริษัทขายอุปกรณ์ทางการแพทย์ลอว์สัน…นี่เป็นกิจการร่วมลงทุน และที่นี่ก็เป็นโซนออฟฟิสกับโซนกักตุนสินค้าของพวกเขา…” มู่เฉินยกกล้องส่องทางไกลขึ้น และส่องลอดช่องแคบไปยังทางตึกสูงหลังนั้นอย่างระแวดระวัง ขณะเดียวกันปากของเขาก็อธิบายไม่หยุด “ไม่รู้ว่าโกดังเก็บของอยู่ส่วนไหนในอาคาร จากตรงนี้มองไม่เห็นอาคารหลังอื่นแล้ว มีความเป็นไปได้น้อยมากที่โกดังจะอยู่นอกตึก…นอกจากนี้บนพื้นที่ว่างมีรถจอดอยู่ไม่น้อย วัดจากสายตาแล้วน่าจะมีซอมบี้ซ่อนอยู่เยอะทีเดียว ระหว่างที่ผ่านทางนั้นต้องระวังตัวให้มาก…”

“เป็นรังกบดานหรอ?” หลิงม่อละสายตาออกมา แล้วถาม

พอเขาถามอย่างนี้ สายตาของคนอื่นๆ ต่างเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกขึ้นมาทันที แม้แต่พวกเย่เลี่ยนก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ดูจากท่าทางที่พวกเธอมองไปทางนั้น เหมือนกับทั้งคันไม้คันมือเต็มที่ ขณะเดียวกันก็เหมือนจะทำตัวไม่ถูกด้วยเช่นกัน

“ไม่รู้สิ…แต่ถ้าหากเป็นรังกบดาน ตรงหน้าประตูไม่น่าจะมีซอมบี้อยู่ น่าเสียดายที่มองจากตรงนี้ไม่เห็น” มู่เฉินเสี่ยงอันตรายโดยการยืดคอยาวออกไปดู จากนั้นก็รีบหดหัวกลับเข้ามาหลังรถบัส และแนบตัวชิดกับยางรถที่แห้งสนิทอย่างระมัดระวัง ขณะเดียวกันก็หอบหายใจถี่ๆ อย่างหวาดเสียว “ฉันเดาว่าเราคงต้องเสี่ยงอันตรายกันหน่อยแล้วล่ะ ต้องเข้าไปใกล้ก่อน ถึงจะรู้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร ถ้าหากเป็นรังกบดานล่ะก็…”

“ถ้าหากเป็นรังกบดาน พวกเราก็เจอเรื่องใหญ่แล้วล่ะ” ยากนักที่จะได้เห็นอวี่เหวินซวนทำหน้าจริงจังกับเขาซักครั้ง ทว่าหลังจากพูดจบ เขาก็อดหัวเราะเบาๆ ขึ้นมาไม่ได้ “แต่พวกเราคงไม่ดวงกุดขนาดนั้นหรอกเนอะ…พวกเรามาที่เมือง X สองวันแล้ว ยังไม่เคยเจอรังกบดานซักครั้งเลยนี่นา…มีพวกหลิงม่ออยู่ พวกเราสามารถเดินเลี่ยงเขตซอมบี้ชุกชุมไปได้อยู่แล้ว”

“แต่ที่นี่เดินเลี่ยงไม่ได้แล้ว” อยู่ๆ หลิงม่อก็ขมวดคิ้ว จากนั้นก็เงยหน้ามองตึกใหญ่หลังนั้น

เย่เลี่ยนขยับเข้ามาสูดดมกลิ่น จากนั้นก็โน้มตัวเข้ามากระซิบข้างหูหลิงม่อเบาๆ “มะ…ไม่ได้ผล กลิ่นแรงมาก…”

แม้แต่เย่เลี่ยนที่ระดับวิวัฒนาการสูงที่สุดก็ยังไม่อาจตัดสินได้ด้วยการดมกลิ่น นั่นทำให้หลิงม่อเริ่มไม่มั่นใจ ส่วนการจะส่งหุ่นซอมบี้เข้าไปนั้น…ไม่รู้ทำไม เมื่อหลิงม่อมองไปทางตึกใหญ่หลังนั้น เขามักรู้สึกเหมือนมีอะไรไม่ชอบมาพากล…มันเป็นสัญชาตญาณล้วนๆ แต่หลังจากที่วิวัฒนาการอีกครั้ง หลิงม่อก็เริ่มเชื่อมั่นในความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น

บางทีนี่อาจไม่ใช่สัญชาตญาณ แต่เกิดจากการที่จิตใต้สำนึกตระหนักได้ถึงบางสิ่ง และทำให้เขารู้สึกอ่อนไหวง่ายขึ้น…ความรู้สึกอย่างนี้สลัดทิ้งไม่ได้จริงๆ บวกกับเสียงที่ดังในสมองซึ่งคอยรบกวนจิตใจ ทำให้เขายากจะตัดสินใจได้

อยู่ในค่ายปาฏิหาริย์ยังดีหน่อย แต่พอมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยซอมบี้และอันตรายทุกซอกมุมอย่างนี้ เสียงนั้นก็ส่งผลกระทบต่อหลิงม่อชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ…บางที อีกฝ่ายอาจหาเขาเจอแล้วจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจกำลังจ้องมองเขาจากที่ไหนซักแห่งด้วยซ้ำ…

และความรู้สึกอันตรายอย่างนี้ก็ทำให้หลิงม่อหลีกเลี่ยงที่จะเข้าไปในสถานที่ปิดตายเหล่านี้ แต่จุดที่เหล่าหลันทำสัญลักษณ์ไว้ ที่นี่กลับเป็นสถานที่ที่อาจหาอุปกรณ์การทดลองสำคัญสามอย่างเจอมากที่สุด

ในเวลากว่าครึ่งปีที่อยู่ในนิพพาน แม้ว่าเหล่าหลันจะไม่เคยก้าวออกจากห้อง แต่เขาก็ได้ทำการศึกษาค้นคว้าเรื่องนี้อย่างละเอียด เพื่อที่นิพพานจะสามารถค้นหาอุปกรณ์เหล่านี้ตามที่เขาต้องการได้ และต้องยอมรับว่านิพพานก็มีอุปกรณ์เหล่านี้จำนวนไม่น้อยจริงๆ ทว่าส่วนมากสภาพก็พอถูไถไปได้เท่านั้น เพราะการตามหาอุปกรณ์พวกนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่การจะขนย้ายกลับไปนั้นกลับเป็นเรื่องยากเกินไป

สิ่งที่เหล่าหลันต้องการไม่ใช่ของประเภทมีดผ่าตัดเล็กๆ อะไรทำนองนั้น แต่เป็นเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่ใช้ในการทดลอง ของเหล่านี้สามารถหาได้ตามมหาวิทยาลัยเหมือนกัน และในแผนที่ เหล่าหลันก็ได้ทำสัญลักษณ์ไว้ในสถานที่ที่คล้ายกันไว้ด้วย ทว่าเมื่อคำนึงถึงระยะทาง พวกหลิงม่อจึงเลือกที่จะมาที่นี่ก่อนเป็นอันดับแรก

“ฮู่ว อย่าเพิ่งไปสนใจผลกระทบจากยัยแม้หม้ายดำดีกว่า ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือต้องตามหาอุปกรณ์พวกนี้ให้เจอ…สถานการณ์ทางโกดังอาหารยังไม่รู้ว่าเป็นยังไง ยิ่งเป็นอย่างนี้ก็ยิ่งต้องทำเวลา…ใจเย็นหน่อย ใจเย็น ลองคิดดูว่าหลังจากหาอุปกรณ์เจอแล้วจะทำอะไรต่อได้บ้าง…”

หลิงม่อลอบสูดหายใจเบาๆ เวลาอยู่ต่อหน้าทุกคนในทีมเขาไม่สามารถแสดงท่าทีกังวลออกมาได้ แต่ก็ไม่สามารถทำตัวผ่อนคลายเกินไปด้วยเช่นกัน เขารู้ว่าถึงแม้อวี่เหวินซวนไม่พูดออกมา แต่ความจริงเจ้าเฟิ้งจื่อคนนี้อยากรีบตามหาโกดังเก็บอาหารให้เจอก่อน เพราะถึงอย่างไรมันก็เป็นเรื่องสำคัญกับค่ายปาฏิหาริย์ที่สุด

แต่หลิงม่อมั่นใจมากว่าจะหาโกดังเก็บอาหารเจอ นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ก่อนที่เขาจะออกมา เหล่าเหลันบอกหลิงม่อว่าหากให้เวลาเขา เขาสามารถวิจัยได้แน่นอนว่าความเข้มข้นของเชื้อไวรัสที่ส่งผลกระทบต่อซอมบี้อยู่ที่สัดส่วนเท่าไหร่ และอ้างอิงจากสิ่งนี้ ไม่แน่ว่าเขาอาจหาวิธีเปลี่ยนซอมบี้ได้…แม้ว่าโอกาสริบหรี่ แต่ก็คุ้มที่จะลองดูซักครั้ง

และเพราะเหตุนี้ หลิงม่อถึงได้กระตือรือร้น และรีบออกมาตามหาทรัพยากร แน่นอนว่าหากพิจารณาจากมุมมองกว้างๆ การออกมาตามหาอุปกรณ์การทดลองก่อนก็ยังเป็นแผนที่ดีที่สุดอยู่ดี แต่ในส่วนลึกของจิตใจ หลิงม่อยังคงรู้สึกร้อนลน ยิ่งเมื่อตระหนักถึงเหตุผลส่วนตัว เขาก็ยิ่งอยากจัดการเรื่องทางนี้ให้เสร็จเร็วที่สุด จะได้ทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับค่ายปาฏิหาริย์ได้สำเร็จ

หากสามารถทำให้ค่ายปาฏิหาริย์ลงหลักปักฐานอย่างมั่นคงภายในเดือนนี้ได้ จึงจะเท่ากับว่าสามารถปกป้องท่าเรือแนวหลังแห่งนี้ได้สำเร็จ…และเมื่อสร้างท่าเรือสำเร็จ ก็หมายความว่าหลิงม่อสามารถใช้ทรัพยากรและวิธีการที่เหมาะสมกว่า มาช่วยให้เหล่าแฟนสาวของเขายืนอยู่บนจุดสูงสุดของวิวัฒนาได้โดยเร็วที่สุด

“ฝั่งเธอเป็นยังไงบ้างแล้ว?” คิดถึงตรงนี้ ใจของหลิงม่อก็สงบลงไม่น้อย เขาจึงพูดขึ้นในใจ

สองสามวินาทีต่อมา ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในสมองเขา ขณะเดียวกันภาพวาดลายเส้นยุ่งเหยิงภาพหนึ่งก็ผุดขึ้นมา “ต่อหน้า” เขา “นี่ไง เห็นแล้วใช่ไหม? ถ้าหากบุกเข้าไปตรงๆ ล่ะก็ เดาว่าคงทำให้ซอมบี้บนถนนแตกตื่นกันหมด พวกฉันน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ทางนายน่ะสิมีมนุษย์อยู่เยอะเกินไป อย่าหวังว่าจะสามารถถอยออกมาได้ครบสามสิบสองประการล่ะ”

“พูดให้มันดีๆ หน่อย…วาดภาพให้มันดีๆ ได้ไหมเนี่ย!” หลิงม่อพูดอย่างโมโหในใจ

เฮยซือเพิ่งจะหัวเราะคิกคัก เสียงของอวี๋ซือหรานก็ดังแทรกขึ้นมา “ตอนนี้บนถนนมีซอมบี้ระดับสูงเพิ่มขึ้นไม่น้อย ถึงแม้ส่วนมากจะเป็นซอมบี้กลายพันธุ์ แต่ถ้ามีจำนวนมากเกินไปแม้แต่ฉันก็ยังเอาไม่อยู่ ฉันยังเดินบนถนนได้ แต่เสี่ยวป๋ายทำไม่ได้ พวกมันเล่นงานเสี่ยวป๋ายเละแน่”

ซอมบี้โลลิฟังพวกเขาคุยกันก็ร้อนใจ ขณะเดียวกันก็พูดอย่างมีเหตุผลเหมือนผู้ใหญ่…และพอฟังข้อสรุปที่มีเหตุผลของเธอ หลิงม่อก็รู้สึกเหมือนจะหัวเราะก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่เชิง “ให้เสี่ยวป๋ายซ่อนตัวไปก่อนดีแล้ว ร้ายดีอย่างไรมันก็เป็นถึงสัตว์ประจำชาติ เรื่องแค่นี้น่าจะทำได้ใช่ไหม? อีกอย่างเธอก็ไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าหากมีปัญหา พวกฉันก็ยังอยู่ในระยะห่างที่เข้าไปช่วยเหลือเธอได้ทัน แล้วนอกจากนี้เธอก็ไม่มีทางกลัวซอมบี้พวกนั้นอยู่แล้วนี่!”

“เฮอะ…ก็ฉันเบื่อนี่นา…” ไม่นานอวี๋ซือหรานก็เผยธาตุแท้ออกมา พอเห็นว่าเล่นละครตบตาหลิงม่อไม่สำเร็จ เธอจึงเลือกที่จะออกจาก “สายโทรศัพท์” ทว่าก่อนที่เธอจะไป หลิงม่อก็ได้ยินเสียงพึมพำอันน่ากลัวทำนองว่า “ย่างไส้กรอก”…

“เตือนเธอด้วยว่าย่างไส้กรอกบนถนนใหญ่ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นของซอมบี้หรือของสัตว์กลายพันธุ์ก็ไม่ได้ทั้งนั้น” พอเฮยซือกลับมา หลิงม่อก็รีบบอกอย่างจริงจังทันที

“ไส้กรอกไม่ได้หมายถึงนายโดยเฉพาะหรอกหรอ?” เฮยซือตอบอย่างรวดเร็ว

“อย่างนั้น…ฉันควรดีใจไหม?”

“น่าจะมั้ง ถูกมองว่าเป็นอาหารจานพิเศษ ก็ถือว่าเป็นเกียรติ์ของมนุษย์อย่างนายแล้วนะ” เฮยซือตอบ

“เป็นแค่หมาตัวเมียอย่ามาพูดจาอวดดีนักนะ…”

“ไหนลองหาหมาที่รูปร่างหน้าตาเหมือนฉันมาให้ดูซักตัวสิ!” หลังจากเถียงกันสองสามประโยค เฮยซือก็พูดต่อ ขณะเดียวกันภาพแผนที่ที่ปรากฏในสมองของหลิงม่อก็มีบางจุดกระพริบขึ้นมา “จุดที่มีไฟกระพริบตอนนี้คือบริเวณที่มีซอมบี้ระดับสูงอยู่ บางที่ก็มีซอมบี้หัวหน้าฝูงอยู่ด้วย และการโจมตีของซอมบี้หัวหน้าฝูงก็รุนแรงมาก ถึงจะเป็นซือหรานแต่ถ้าเข้าไปใกล้ก็อาจถูกรุมโจมตีโดยซอมบี้ฝูงใหญ่ได้…ซึ่งถือเป็นเรื่องอันตรายมากสำหรับเธอ เพราะหลังจากได้รับบาดเจ็บ อาจมีความเป็นไปได้สูงที่จะดึงดูดซอมบี้ที่อยู่ในรังกบดานให้ออกมา ดังนั้น…”

“ประเด็นสำคัญคือ?” หลิงม่อถาม

เฮยซือคล้ายหัวเราะเล็กน้อย บอกว่า “ประเด็นสำคัญคือพวกฉันเดินหน้าต่อไปไม่ได้แล้ว แต่จะเป็นทีมช่วยเหลือโดยการเข้าใกล้จากด้านหลังบริษัทแห่งนั้นอย่างสุดความสามารถ ตามแผนเดิมของนายคือเข้าจากด้านข้าง แต่ตอนนี้คงต้องเปลี่ยนเป็นอย่างนี้แล้วล่ะ”

“เข้าใจล่ะ…”

หลิงม่อเพิ่งจะสื่อสารกับเฮยซือผ่านทางสมองเสร็จ อยู่ๆ ก็มีใครคนหนึ่งคลานออกมาจากใต้ท้องรถบัส

ชายคนนี้รูปร่างผอมแห้งเหมือนลิง แต่สีหน้าท่าทางเซ่อซ่ากว่าเยอะ ยิ่งไปกว่านี้เขากำลังสั่นไปทั้งตัว

“ขะ…ขอโทษนะ ผมกลัวมากจริงๆ…” เจ้าลิงผอมพูดเสียงสั่น

คนที่คลานตามออกมายังมีเย่ไคกับจางซินเฉิง สองคนนี้ คนหนึ่งลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าไร้ความหวาดกลัว ส่วนอีกคนก็หน้าซีดเล็กๆ แต่โดยรวมก็ยังถือว่าสงบนิ่งอยู่

“ไม่เป็นไรหรอก ต้องให้พวกนายค่อยๆ คลานไปใต้ท้องรถทีละคันอย่างนี้ มันก็เป็นงานยากจริงๆ นั่นแหละ” หลิงม่อปลอบใจ

เย่ไคพูดอย่างรำคาญ “ไม่เห็นมีอันตรายอะไร ก็แค่กดดันนิดหน่อยเท่านั้น อีกอย่างพวกพี่ก็บอกแล้ว ว่าถ้าซอมบี้เห็นพวกฉัน พวกพี่จะออกมาล่อพวกมันออกไปทันที”

“ก็ใช่ แต่ว่าผม…ผมกลัวจริงๆ…” เจ้าลิงผอมพูดอย่างอับอาย

“เท่านี้ก็ไม่เลวแล้ว นิสัยขี้กลัวของนายถือว่าพัฒนาขึ้นมาก เมื่อก่อนแค่ให้คลานไปใต้ท้องรถคันเดียวก็ไม่น่าจะรอดแล้วมั้ง…” หลิงม่อบอก

เจ้าลิงผอมเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ จากนั้นก็เกาคางอย่างเขินๆ “ก็จริง…ครั้งนี้คลานผ่านไปได้ตั้งห้าคัน ความจริงก็ไม่ได้ใกล้ขึ้นเท่าไหร่ แต่ผมได้ยินเสียงขึ้นมาบ้างแล้ว เดาว่าซอมบี้ข้างหน้าน่าจะมีอยู่ประมาณห้าสิบหกสิบตัว ร้านค้าสองข้างทางและในซอกซอยก็มีอยู่ไม่น้อย โดยรวมแล้ว ถนนช่วงนี้น่าจะมีซอมบี้อยู่เกือบหนึ่งร้อยห้าสิบตัวนะ จุดที่อยู่ไกลกว่านี้ฉันไม่ได้ยินแล้ว…ส่วนตึกหลังนั้น” เจ้าลิงผอมพูดมาถึงตรงนี้ สีหน้าก็กลับมาเป็นอับอายอีกครั้ง “ผมไม่ได้ยินเลย…”

ตามคาด…

หลิงม่อทำหน้าหนักใจทันที ความรู้สึกไม่ชอบมาพากลนั่น ก็ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นด้วย…

—————————————————————————–

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

เมื่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่อุบัติขึ้นและเกิดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ผู้คนบนโลกก็ต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต จากคนธรรมดาต้องกลายเป็นซอมบี้กระหายเลือด! แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่รอดพ้นจากไวรัสร้ายกาจนี้ หนึ่งในนั้นคือหลิงม่อ หนุ่มเนิร์ดหน้าตาบ้านๆ แน่นอนว่าเขาต้องทุ่มเทพยายามสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอด แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เขายังมีภารกิจสำคัญอีกอย่างที่ต้องทำ คือช่วยแฟนสาวซอมบี้ ให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง สุดท้ายแล้วหลิงม่อหนุ่มธรรมดาคนนี้จะทำภารกิจสำเร็จหรือไม่ เรามาร่วมลุ้นไปด้วยกันเถอะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset