หลิงม่อค้นหาข้อมูลในมือถืออยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานเขาก็หาแอพพลิแคชั่นแผนที่ออฟไลน์เจอ
“ตรงนี้ก็ไม่มีสัญลักษณ์อะไรเลยนี่…” หลิงม่อค้นไปค้นมาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้น
“มา ฉันขอดูหน่อย” ซย่าน่าฉวยมือถือจากมือเขาไป เธอดูไปด้วยถามไปด้วย “พี่ไม่เคยใช้แอพฯ แบบนี้หรอ?”
หลิงม่อรู้สึกเก้อเขินขึ้นมาทันที “ฉันไม่ได้เปลี่ยนมือถือมาหลายปีแล้วน่ะ”
“มือถือที่มีแอพฯ แผนที่ออฟไลน์แบบนี้น่ะ ปกติจะมีระบบนำทางอัตโนมัติอยู่แล้ว ถึงแม้หากไม่อัพเดทก็จะไม่ได้รับข้อมูลเส้นทางล่าสุดก็ตาม แต่ถ้าหากใช้ดูเส้นทางคร่าวๆ ก็พอใช้ได้อยู่” ซย่าน่าบอก “ดูนี่ หลังจากเปิดระบบนำทาง ก็จะเห็นบันทึกข้อมูล…”
“เธอจัดการเถอะ” หลิงม่อเกาหัวแกรกๆ แล้วบอก
ซย่าน่าเงยหน้ามองเขา แล้วส่ายหัวบอกว่า “พี่นี่เอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องมาตลอดสินะ…”
“ก็งานฉันจำเป็นต้องทำงานในห้องนี่!” หลิงม่อพูดอย่างจริงจัง
“เสร็จแล้ว” ซย่าน่ามองข้ามคำอธิบายของหลิงม่อ เธอยื่นมือถือมาตรงหน้าหลิงม่อ “ในนี้บอกไว้ว่าก่อนที่เขาจะถึงเมืองตงหมิง ระหว่างทางเขาผ่านอำเภอซินหลาน เมืองเฮยสุ่ย…”
“เดี๋ยวนะ ซินหลาน?” หลิงม่อรีบมองไปที่หน้าจอมือถืออย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ใช้มือแตะจุดสีดำที่อยู่ใกล้ๆ อำเภอซินหลาน “นี่มันเมืองชุ่ยหูไม่ใช่หรอ?”
“ใช่ ซินหลานคงจะเป็นหนึ่งในอำเภอที่อยู่ใต้การปกครองของเมืองชุ่ยเหอ” ซย่าน่าพยักหน้า
“เฮยสุ่ย…นี่มันออกนอกมณฑลแล้วไม่ใช่หรอ?” หลิงม่อมองตามจุดลงไปเรื่อยๆ แล้วพูดขึ้น
“อืม ตรงนั้นถือว่าเป็นมณฑลใหญ่ซึ่งเป็นศูนย์รวม ประชากรแน่นหนา มณฑลเล็กๆ รอบด้านก็เจริญคับคั่ง ไม่เหมือนที่นี่ที่มีภูเขาเยอะ” ซย่าน่าอธิบาย
หลิงม่อจ้องแผนที่อยู่ครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ เขาก็รู้สึกโชคดีจากก้นบึ้งหัวใจ
โชคดีที่ข้างกายมีเด็กเรียนอยู่ด้วย แถมยังความจำดีสุดๆ ด้วย…
“เป็นยังไงบ้างแล้ว!” เสียงตะโกนของมู่เฉินดังมาจากด้านนอกประตู ในที่สุดเขาก็รอต่อไปไม่ไหวแล้ว
หลิงม่อรีบเก็บไวรัวนางพญา แล้วหันไปโบกมือให้พวกหลี่ย่าหลินทันที
เหล่าซอมบี้สาวรู้งาน รีบควักก้อนเหนียวหนืดของหมายเลข 1 ออกมาทันที จากนั้นก็ลากศพไปไว้อีกทาง
พอกลิ่นเลือดโชยออกมา ลมหายใจของสวี่ซูหานก็พลันกระชั้นถี่ขึ้นมาทันที
ซย่าน่าแบกศพแล้วทำท่าครุ่นคิด โยนศพออกนอกหน้าต่างไปเลยดีกว่า
“โครม!”
เสียงศพกระทบพื้นดังมาแต่ไกล หลิงม่อพลันตกตะลึง “เฮ้ยย!”
ซย่าน่าพยักพเยิดไปทางสวี่ซูหานแล้วบอกว่า “ก็ตรงนั้นมีน้องใหม่ที่ยังควบคุมตัวเองไม่ได้นี่นา เธอกำลังตกมันกับเนื้อคนได้ที่เชียวล่ะ”
“ตกมันอะไรกัน…” หลิงม่อหมายจะบ่น แต่ก็พบว่าสวี่ซูหานกำลังกัดเม้มริมฝีปากอย่างอดกลั้นสุดขีด ร่างกายของเธอดิ้นพล่านอย่างรุนแรงภายใต้การถูกมัดจากหนวดสัมผัส มือทั้งสองข้างตะกุยโซฟาไปทั่ว
“จริงด้วย…” หลิงม่อพยักหน้า แล้วก็ตระหนักได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง
ฟังไปฟังมา ก็เท่ากับว่าเมื่อกี้สวี่ซูหาน “ตกมัน” กับร่างกายเขางั้นหรอ?
“คิดอะไรนะเรา…” หลิงม่อดึงสติกลับมาทันที แล้วเขาก็ยื่นมือไปช่วยสวี่ซูหานดึงเสื้อนอกลงดีๆ
เสียงเคาะประตูรัวๆ ดังมาจากข้างนอกอีกครั้ง “เฮ้ย พวกนายเร็วหน่อย!”
หลิงม่อเพิ่งจะตะโกนกลับไปว่า “เสร็จแล้ว” มู่เฉินก็รีบเปิดประตูเข้ามาอ่างไม่ชักช้า สีหน้าของเขาดูกระวนกระวาย “เร็วเข้า! คนของนิพพานมาแล้ว!”
“หาเจอได้ยังไง?” หลิงม่อตกใจ แล้วจู่ๆ เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ หลิงม่อรีบวิ่งไปที่หน้าต่างแล้วมองออกไปข้างนอก
พอมองออกไป หลิงม่อก็ถึงกับพูดไม่ออก
ศพของหมายเลข 1 กำลังนอนแบ็บอยู่บนพื้น ด้านข้างก็มีคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ และชายคนหนึ่งในกลุ่มกำลังเงยหน้ามองขึ้นมาพอดี
เดาว่าความสามารถในการมองเห็นของคนคนนี้ต้องไม่เลวเลยทีเดียว หลิงม่อเพิ่งจะเผยตัวให้เห็น เขาก็รีบชี้ขึ้นมาข้างบนทันที
“รีบไปเถอะ” หลิงม่อรีบหมุนกาย แล้วตะโกนบอก
ขณะที่เดินผ่านซย่าน่า เขายกมือขึ้นหยิกจมูกเธอเบาๆ แล้วบอกว่า “จำบทเรียนนี้ไว้ดีๆ ล่ะ!”
“เข้าใจแล้ว…ต่อไปฉันจะไม่ทิ้งของเรี่ยราดแล้ว” ซย่าน่าเบะปากพูด
“ช่างเถอะ ถึงอย่างไรก็หนีไม่พ้นอยู่ดี” หลิงม่อประคองสวี่ซูหานขึ้น จากนั้นก็มองซ้ายมองขวารอบหนึ่ง บอกว่า “ไปทางนี้”
คนของนิพพานตั้งใจออกมาตามหา ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องตามหาพวกเขาเจออยู่ดี
ตามหลักแล้ว หลังจากที่ฆ่าเฉินเล่อเขาควรหนีไปให้ไกลที่สุด ยิ่งไกลยิ่งดี แต่เพราะมีเรื่องสวี่ซูหานเข้ามา พวกเขาจึงจำเป็นต้องหาที่พักชั่วคราวแถวๆ นี้ก่อน
ตรงนี้อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุไม่ไกล ตำแหน่งก็อยู่นอกเขตไฟไหม้พอดี จึงไม่แปลกที่จะกลายเป็นสถานที่สำคัญในการค้นหา
“มีใครมาบ้าง?” หลิงม่อพาทุกคนวิ่งไปทางห้องบันได พลางถาม
มู่เฉินกุมท้องแล้ววิ่งตามอยู่อีกข้างหนึ่ง เขาตอบอย่างรวดเร็ว “ไม่รู้ ฉันเห็นคนรู้จักหลายคนวิ่งตามขึ้นมาแล้ว แต่อ้ายเฟิงยังอยู่ข้างล่าง”
“อ้ายเฟิง?” หลิงม่อจำได้ว่ามู่เฉินเคยพูดถึงเขา ขณะเดียวกันก็นึกถึงชายที่คนที่อยู่ข้างล่างตึกเมื่อกี้
“หัวหน้าแผนกย่อย น่าจะถือว่าใช่นะ…” มู่เฉินบอก “แล้วยังมีอีกสามสี่คนนั่น ฝีมือไม่เลวทั้งนั้น”
“การร่วมมือสูญเปล่าแล้วสินะ…” หลิงม่อถอนหายใจ
มู่เฉินกลอกตาขาว “นายยังคิดเรื่องร่วมมืออยู่อีก! เมื่อกี้ยังฆ่าเจ้าหนูนั่นได้อย่างหน้าตาเฉยอยู่เลยไม่ใช่รึไง!”
“เรื่องแบบนี้สำหรับพวกนายแค่หัวเราะกลบเกลื่อนนิดหน่อยก็ปล่อยผ่านไปได้แล้วไม่ใช่หรอ?” หลิงม่อบอก
“เขาไม่ใช่สมาชิกระดับเก้าที่ไร้ความสำคัญอย่างนั้นซักหน่อยนะ!” มู่เฉินคำราม “เขาเป็นคนของสำนักงานใหญ่ อีกอย่างนายก็ฆ่าหนูทดลองตัวสำคัญไปแล้วด้วย”
“อย่างนี้เอง…ถ้างั้นก็ช่วยไม่ได้แล้วล่ะ” หลิงม่อถอนหายใจ
แต่มู่เฉินกลับรู้สึกเสมอ ถึงแม้ความหมายของคำพูดหลิงม่อจะฟังดูเสียดาย แต่น้ำเสียงไม่เห็นจะเสียดายตรงไหนเลยนี่?
เขาครุ่นคิด แล้วก็ตะโกนออกมาอย่างตกใจ “นี่นายมีแผนในใจแต่แรกแล้วสินะ!”
พอเห็นหลิงม่อไม่ตอบ มู่เฉินก็ทำได้แค่ข้ามหัวข้อนี้ไป เขาหันไปมองสวี่ซูหาน แล้วถามอย่างร้อนรน “เธอเป็นไงบ้าง?”
“ยังไม่แน่ใจ อย่างน้อยก็จะยังไม่เน่าเปื่อยทันที” หลิงม่อบอก
“ก็ดีแล้ว แต่ว่า นายทำได้ไง? นี่นายเป็นใครมาจากไหนกันแน่!” มู่เฉินวิ่งตามอยู่ข้างหลัง คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจจึงอดถามขึ้นไม่ได้
สถานที่ที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้ก็เป็นห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งเช่นกัน นอกจากลิฟท์ที่ใช้งานไม่ได้ ก็มีบันไดขึ้นลงมากถึงสามเส้นด้วยกัน
หลิงม่อใช้พลังสำรวจทางจิตตรวจสอบสถานการณ์ข้างหน้า พลางพาพวกเขาเดินอ้อมไปอ้อมมาอยู่ในห้างฯ
ตอนนี้มู่เฉินได้รับบาดเจ็บและสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ สวี่ซูหานก็กลายเป็นปัจจัยที่ไม่แน่นอน หลิงม่อไม่อยากปะทะหน้ากับพวกนั้นตรงๆ ในสถานการณ์อย่างนี้
ทว่าจะวิ่งหนีไปตลอดก็ไม่ใช่วิธีที่ดี ที่นี่คือถิ่นของนิพพานสาขาย่อย ไม่ว่าจะเป็นลักษณะพื้นที่หรือจำนวนคน พวกนั้นล้วนอยู่เหนือกว่า
“ดูสถานการณ์ก่อน” หลิงม่อ “มัด” สวี่ซูหานที่ประชิดเข้าใกล้เขาอีกครั้ง ปากก็พูดขึ้น
“ฉันเดาว่าทางออกถูกดักไว้แล้ว” มู่เฉินบอก “ถ้าเกิดพวกเขาจุดไฟเผาต้องแย่แน่ๆ”
“จุดไฟเปาก็ไม่ต้องกลัว” หลิงม่อครุ่นคิด แล้วจู่ๆ ก็ถาม “แต่ว่า นายมีวิธีที่พอจะถ่วงเวลาพวกนั้นไว้ได้ซักเดี๋ยวไหม? อย่างเช่น…แสดงบทบาทของนายในฐานะสมาชิกเก่าของนิพพาน?”
มู่เฉินเบิกตากว้างทันที…
………..
“ผู้ชายคนเมื่อกี้ นายเห็นแล้วหรือยัง?” ด้านล่างอาคาร ผู้ชายคนหนึ่งกำลังละสายตาจากด้านบนลงมา พร้อมพูดขึ้น
ภายใต้แสงจันทร์ รอยแผลเป็นบนใบหน้าของเขาดูเหี้ยมโหมเป็นพิเศษ ราวกับตะขาบที่สามารถเคลื่อนไหวได้
กลุ่มคนที่ยืนอยู่รอบข้างพากันส่ายหน้า “ไม่ได้สังเกต…”
“ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเขาคนนั้น…” อ้ายเฟิง ชายหน้ารอยแผลเป็นก้มหน้าลงมา และมองศพที่นอนอยู่แทบเท้า
หมายเลข 1 ร่วงลงมาจากฟ้า ถึงแม้เขาจะอยู่ห่างออกไประยะหนึ่ง แต่เขากลับตกใจมาก
พอเข้ามาดูใกล้ๆ เขาก็เริ่มมีความคิดที่อยากจะวิ่งชนกำแพง
ถึงเขาจะรังเกียจเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้มาก แต่เจ้าหนูทดลองตัวนี้กลับถูกฆ่าในถิ่นของเขา!!
คราวนี้อย่าว่าแต่เลื่อนขั้นเลย ไม่แน่สำนักงานใหญ่อาจสั่งให้เขาตายตกไปตามกันเลยก็ได้!
เมื่อเทียบกับหนูทดลองมี่ประสบผลสำเร็จ สมาชิกระดับสูงของแผนกย่อยอย่างเขาจะไปมีค่าอะไร?
เรื่องที่หมายเลข 0 ได้รับบาดเจ็บยังไม่ทันได้แก้ไข พริบตาเดียวลูกสุดรักอีกตัวก็มาตายอยู่คามือเขา…
“ไป พวกนายรีบตามไป! ดักทางเข้าออกทั้งหมดไว้ให้แน่นหนา! ต้องจับคนคนนั้นให้ได้! จะเป็นหรือตายก็ได้ทั้งนั้น!” อ้ายเฟิงกำหมัดแน่น พลันตะคอกเสียงดุดัน
คนที่เหลือต่างพากันมองหน้ากัน หลังจากพยักหน้า พวกเขาก็รีบวิ่งไปทางตึกใหญ่
อ้ายเฟิงหอบหายใจกระชั้นชิด จากนั้นก็เงยหน้ามองไปที่หน้าต่างบานนั้นอย่างเย็นชา
ถึงแม้จะเห็นแค่เพียงชั่วแวบเดียว แต่ใบหน้าเยาว์วัยนั่น กลับถูกฝังลึกในสมองของเขา
“เดี๋ยวก่อน นายกลับมานี่”
อ้ายเฟิงตะโกนเรียกหนึ่งในคนกลุ่มนั้น แล้วพูดอย่างเยือกเย็น “กลับไปรายงานคนของสำนักงานใหญ่ อีกอย่าง…ให้หมายเลข 0 ร่วมปฏิบัติภารกิจด้วย ถ้าฉันตามจับเขาไม่ได้ ปกป้องมันไปก็ไม่มีประโยชน์ ถึงเวลาที่มันควรเสี่ยงชีวิตเพื่อฉันซักครั้งแล้วล่ะ”
ชายคนนั้นมองหน้าอ้ายเฟิงอย่างตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็พบักหน้าอย่างรีบร้อย “ได้ครับ ผมจะรีบไป”
อ้ายเฟิงมองส่งสมาชิกคนนั้นจากไป จากนั้นก็ชักมีดคมกริบประกายวาววับออกมาจากสีข้าง “ครั้งนี้ไม่ใครก็ใครต้องตายกันไปข้างหนึ่งจริงๆ แล้วล่ะ”
พูดไป เขาก็กระชับมีดแล้วย่างสามขุมไปทางตึกใหญ่ จากนั้นก็เดินเข้าไปในประตูใหญ่อันมืดมิดนั่น……
………..
“แกร๊ก”
ท่ามกลางความมืด แสงไฟฉายเส้นหนึ่งส่องเข้ามา ขณะเดียวกันก็มีเสียงดังขึ้นเบาๆ
สมาชิกคนนี้ตกใจ จากนั้นก็ก้มหน้ามองลงไปใต้เท้า
หลังจากดึงขาออก เขาก็มองเห็นเศษชิ้นส่วนพลาสติกอยู่ใต้เท้า
หลังจากถอนหายใจเบาๆ สมาชิกคนนี้ก็มองไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังอีกครั้ง พลางส่องไปฉายในมือไปทั่ว
ด้านหน้าดูเหมือนจะเป็นแผนกขายเครื่องประดับเงินทอง พอสาดแสงไฟฉายเข้าไป ก็มีแสงสะท้อนระยิบระยับเล็กน้อย
ทว่าสิ่งที่เขาสนใจคือมุมมืดๆ เหล่านั้น แล้วยังมีพื้นที่ใต้เคาน์เตอร์ที่มองไม่เห็นเหล่านั้นด้วย
หลังจากที่กระชับท่อนเหล็กแหลมในมือ เขาก็ค่อยๆ ย่างเท้า เดินออกไปข้างหน้า
“ตึง”
ทันใดนั้น มีเสียงดังออกมาจากมุมมืด ทำให้สมาชิกคนนี้ขนลุกซู่ทันที เขาปิดไฟฉายโดยอัตโนมัติ แล้วโฉบร่างไปประชิดตัวกับกำแพงด้านหนึ่งอย่างรวดเร็ว
เมื่อสายตาเริ่มคุ้นชินกับความมืดช้าๆ ภาพรอบข้างก็เริ่มปรากฏเลือนรางสู่สายตาเขา
เขาเบิกตาโพลง แนบกายติดกับกำแพงแล้วค่อยๆ เคลื่อนไหวไปทางเสียงนั้น ท่อนเหล็กในมือถูกยกขึ้นสูง
“ตึง”
เสียงดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้เสียงที่ดังมาพร้อมกัน ยังมีเสียงหายใจหนักหน่วงของใครคนหนึ่งอีกด้วย
ท่ามกลางความเงียบสงัด เสียงนี้ทั้งชัดเจน และน่ากลัว
สมาชิกคนนี้รีบกลั้นหายใจ แล้วค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปใกล้อย่างเงียบที่สุด
ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ แล้ว…
เขาค่อยๆ ขยับไปยืนด้านหน้าเคาน์เตอร์ตัวหนึ่ง จากนั้นก็ยื่นหน้าออกไปช้าๆ
เสี้ยววินาทีที่มองเห็นศีรษะของใครคนหนึ่ง คนคนนี้ก็ฟาดท่อนเหล็กลงไปดัง “ปั๊ก” อย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
เสียงกระจกแต่งเป็นเสี่ยงๆ ศีรษะของใครคนนั้นสั่นสะเทือนไปหนึ่งครั้ง จากนั้นก็ล้มกระแทกพื้นดัง “พลั่ก”
สมาชิกคนนี้รีบเปิดไฟฉาย แล้วส่องไปยังด้านหลังเคาน์เตอร์
แต่จุดที่แสงไฟซีดขาวส่องไปกระทบ กลับเป็นหุ่นพลาสติกที่ถูกฟาดจนเบี้ยว กำลังเบิกตากลวงโบ๋มองมายังเขา
ขณะเดียวกัน เงาร่างดำเงาหนึ่ง พลันกระโจนมาจากด้านหลัง…
—————————————————————————–