แม้ว่าในใจจะเต็มไปด้วยความโมโห ทว่าขณะทำภารกิจ อ้ายเฟิง ชายผู้มีรอยแผลเป็นบนใบหน้ากลับมีท่าทีสงบนิ่งมาก
เขานำสมาชิกหลายคน เดินขึ้นไปข้างบนโดยค่อยๆ เดินเลียบขอบบันไดขึ้นไป
“หัวหน้า พวกเราแยกกันดีไหม? ข้างในนี้กว้างเกินไปแล้ว” สมาชิกทีมคนหนึ่งเสนอแนะเสียงเบา
อ้ายเฟิงตอบด้วยสีหน้าเย็นชา “คนอื่นแยกกันก็พอ พวกเราอยู่ด้วยกันอย่างนี้ดีแล้ว ถ้าพวกนั้นมีปฏิกิริยาอะไร พวกเราถึงจะสามารถเข้าไปช่วยได้ทันที”
อีกฝ่ายหาเรื่องให้ตัวเองลำบากใจ จึงทำได้เพียงกระแอมแห้งๆ สองสามที และส่งสายตาเอือมระอาให้คนข้างๆ
แต่จู่ๆ อ้ายเฟิงกลับพูดขึ้นโดยไม่หันมามอง “อย่าเพิ่งคิดแต่จะเอาหน้าในเวลาอย่างนี้! พวกนายยังไม่เห็นจุดจบของเฉินเล่ออีกหรือ? คิดว่าคนที่วิ่งมาก่อเรื่องถึงถิ่นของพวกเรา แล้วยังฆ่าเฉินเล่อกับสัตว์ประหลาดของสำนักงานใหญ่ตัวนั้นได้ จะรับมือได้ง่ายๆ หรอ? เขาไม่ใช่ผู้มีความสามารถพิเศษทั่วไปแน่นอน ดังนั้นลดความจองหองและหยิ่งทะนงของพวกนายลงซะ!”
สมาชิกต่างพากันนิ่ง จากนั้นก็ลอบมองหน้ากัน
“เวลาอย่างนี้อย่าเพิ่งคิดจะสร้างผลงาน คิดก่อนดีกว่าว่าจะบอกกับสำนักงานใหญ่ว่าอย่างไร ถ้าไม่อย่างนั้นพวกเราทุกคนแย่แน่ๆ” อ้ายเฟิงพูดอย่างฉุนเฉียว “เข้าใจรึยัง?”
“เข้าใจครับ…”
ทุกคนทยอยกันตอบเสียงอ่อย ทว่าเสียงฝีเท้าของพวกเขาในเวลานี้กลับเบาลงมาก สายตาก็ดูจดจ่อมากขึ้นด้วย
ในเมื่ออ้ายเฟิงพูดถึงขนาดนี้แล้ว ก็คงต้องระวังหน่อยแล้วล่ะ…
ในขณะเดียวกัน เหล่าสมาชิกที่แยกย้ายกันค้นหาแต่ละจุดของห้างสรรพสินค้า แต่ละคนกำลังเคลื่อนไหวช้าๆ ท่ามกลางความมืดด้วยความระมัดระวัง
“เรื่องเสี่ยงๆ อย่างการตีทัพหน้า มักจะตกเป็นหน้าที่ของคนระดับล่างอย่างพวกเราเสมอ…”
ในโถงทางเดินอันมืดสลัว ชายคนหนึ่งกำลังเดินมองหน้ามองหลังอย่างระมัดระวัง พร้อมกับบ่นเสียงเบาไปด้วย
รอบด้านเงียบสงัด มีแต่ความมืดปกคลุมไปทุกที่ เสียงพึมพำกับตัวเองที่เบาจนแทบจะไม่ได้ยินนี้ได้เพิ่มความกล้าให้เขาเล็กน้อย
“แต่นี่ก็ถือเป็นโอกาสนะ ขอแค่ฉันหาพวกนั้นเจอก่อน ถึงจะไม่ลงมือกับพวกนั้น แค่ตะโกนเรียก ก็ถือว่าสร้างผลงานแล้ว” ชายคนนี้สูดหายใจลึกๆ สายตาของเขาสะท้อนแววแห่งความหวังขึ้นมา
สร้างผลงานเลื่อนตำแหน่ง ไม่เพียงจะได้รับการถูกปฏิบัติที่ดีขึ้น แต่อนาคตเขายังไม่ต้องตีทัพหน้าอย่างนี้อีกต่อไป…
ไม่แน่บางที อาจจะได้สาวงามมาเคียงกายอีกหนึ่งคนด้วย!
“คิกคิก พอถึงตอนนั้นพวกแกก็อย่าโทษกันล่ะ ฉันก็ทำไปเพื่อจะมีชีวิตอยู่เหมือนกัน สู้ซอมบี้ไม่ได้ แล้วยังจะสู้พวกแกไม่ได้งั้นหรอ?”
ชายคนดังกล่าวเดินไปถึงหน้าประตูบานหนึ่ง เขาหลบด้านข้างของประตูอย่างระวังภัย จากนั้นก็ค่อยผลักออกช้าๆ
แอ๊ด—
เพิ่งจะกลั้นหายใจแล้วมองเข้าไปในเงามืดได้แวบเดียว ทันใดนั้นเงาดำตะคุ่มก็ได้พุ่งผ่านหน้าไป จากนั้นเขาก็เห็นเท้าตัวเองถูกมือข้างหนึ่งคว้าไว้
“ย๊ากกก…”
ชายคนนี้ร้องเสียงเบาออกมาด้วยความตกใจอย่างห้ามไม่อยู่ มือที่ถือมีดอยู่ฟันออกไปมั่วๆ
สิบกว่าวินาทีผ่านไป ในที่สุดเขาก็สงบลง เขาหอบหายใจแรง พลางเหลือบมองเงาดำตะคุ่มข้างเท้าตัวเอง
มือข้างนั้นยังคงวางไว้บนเท้าเขา ทว่าดูเหมือนมันจะเน่าเปื่อยไปนานแล้ว
ภายใต้เสื้อผ้ายุ่งเหยิงที่ถูกฟันจนขาด คือศพเน่าๆ ที่แยกเพศไม่ออก
“ชิบ ที่แท้ก็คนตาย…ไม่รู้ว่าเป็นซอมบี้หรือคน” ชายคนนี้ทำหน้าขยะแขยง จากนั้นก็ก้าวข้ามศพไปอย่างระมัดระวัง แล้วเดินเข้าไปในห้อง
ทว่าหลังจากที่เดินค้นหาในห้องใหญ่ๆ ห้องนี้หนึ่งรอบแล้ว เขากลับไม่พบอะไร
ชายคนดังกล่าวถ่มน้ำลายดัง “ถุย” เพื่อคายฝุ่นที่สูดเข้าไปในลำคอด้วยความผิดหวัง ขณะเดียวกันก็ถอยหลังไปทางประตู
แต่เสี้ยววินาทีที่เขาหมุนกาย เงาร่างดำเงาหนึ่งพลันปรากฏตัวที่หน้าประตู
เขาหันหน้าไป และสบตากับดวงตาคู่นี้เข้าพอดี
เด็กสาวตรงหน้าเขามีหน้าตาที่สะสวยมาก เขากำลังจะแหกปากตะโกน แต่ก็อึ้งค้างไปก่อน
“คะ…โคตรสวยเลย!”
แต่เขายังไม่ทันได้ตั้งตัว ดวงตาที่ดูเหม่อๆ คู่นั้น กลับค่อยๆ หลับตาลง
และเมื่อดวงตาคู่นั้นเปิดขึ้นอีกครั้ง ชายคนนี้ก็มองเห็นเพียงสีเลือด…
“ฉึก!”
กรงเล็บที่คมดังมีดเฉือนคอหอยเขาทันที เขายกมือกุมคอ ส่งเสียงครวญครางอย่างทุกข์ทรมาน พร้อมกับเซไปพิงขอบประตูแล้วค่อยๆ ล้มลงไปนอนทับศพบนพื้น
เมื่อเขาล้มลงไปบนพื้น แล้วลืมตามองโถงทางเดินมืดๆ สิ่งสุดท้ายที่เขาเห็นภายใต้แสงสลัวอันน้อยนิด คือเงาร่างของเด็กสาวคนนั้นที่กำลังเดินจากไปอย่างช้าๆ…
“อึกอึก…”
ชายคนดังกล่าวขยับริมฝีปาก เลือดจำนวนหนึ่งไหลออกมาจากปากเขา และดวงตาของเขาก็ค่อยๆ หม่นแสงลง…
ขณะเดียวกัน ในมุมมืดหนึ่งของห้างสรรพสินค้า จู่ๆ ชายคนหนึ่งซึ่งถือมีดไว้ในมือก็หันขวับไปมองข้างหลังตัวเองอย่างหวาดระแวง
แต่เขาเพิ่งจะหันหน้ากลับไป ด้านหลังก็มีเงาดำตะคุ่มโฉบผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“ใครวะ!”
เขารีบหันกลับไปอีกครั้ง แต่คราวนี้ เงาดำตะคุ่มนั้นกลับโฉบผ่านด้านข้างเขาไป
เขากลอกลูกตามองตามไปติดๆ หางตาจึงเหลือบเห็นเงาร่างอรชรงดงาม
“สาวน้อย หลอกผีกันหรอ…” ชายคนนี้ยกมีดอีโต้ขึ้น พร้อมกลอกตามองซ้ายมองขวาไม่หยุด
ทันใดนั้นเงาดำตะคุ่มก็โฉบผ่านไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาตอบสนองได้เร็วมาก เขาหมุนกาย พลันสับมีดลงไปทางเงาร่างนั้น
เสี้ยววินาทีที่คมมีดสับลงไป ประกายดาบได้ส่องสะท้อนใบหน้าของเงาร่างนั้น
เครื่องหน้าที่มีมิตินั่น แล้วยังดวงตาสวยๆ ที่แฝงแววเย็นชาคู่นั้นอีก ชายคนนี้มองเห็นอย่างชัดเจน
แต่ในใจเขากลับตื่นเต้นขึ้นมา “สาวสวยซะด้วย!”
คมมีดฟันไปยังดวงหน้างามตรงๆ และสีหน้าเย็นชาของอีกฝ่ายก็แข็งกระด้างไป
“คิกคิก…”
ชายคนนี้เพิ่งจะหัวเราะชอบใจได้เสียงเดียว ก็พบว่าเงาร่างตรงหน้าได้หายตัวไปราวกับภาพลวงตาแล้ว
ขณะเดียวกัน ด้านหลังก็มีเงาร่างอีกเงาปรากฏตัวขึ้น
ดวงหน้าที่คล้ายคลึงกันทุกประการ แต่สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกลับเป็นสีหน้าที่เปลี่ยนไป
บนใบหน้าของสาวเลือดผสม มีรอยยิ้มอยู่…
มีดที่ถูกยกสูงของชายคนนี้ค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ ร่างกายของเขาสั่นสะท้านไปเล็กน้อย แล้วเลือดก็ไหลทะลักออกจากปากเขาอย่างต่อเนื่อง
บนลำคอของเขา แผลสีแดงเลือดค่อยๆ แหวกออกช้าๆ…
“ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง…”
สาวเลือดผสมฮัมเพลงด้วยโน้ตเสียงสูง ราวกับว่าเธอกำลังสร้างเพลงประกอบฉากด้วยตัวเอง
……
………..
“หลิงม่อ แค่พวกเธอจะไหวหรอ?” ในห้องบันได มู่เฉินกำลังเดินตามหลังหลิงม่อ จู่ๆ เขาก็ถามขึ้นอย่างกังวล
หลิงม่อหันกลับไปถลึงตาใส่เขาอย่างนึกรำคาญ “วางใจน่า พวกเธอเก่งเรื่องอย่างนี้อยู่แล้ว”
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่! ซย่าน่าต้องค่อยเฝ้าสวี่ซูหาน เด็กโง่กับรุ่นพี่ไปกำจัดพวกที่แยกย้ายกัน พร้อมกับสร้างความวุ่นวายเล็กน้อยไปด้วย ส่วนพวกเราก็ฉวยโอกาสลอบโจมตีอ้ายเฟิง” หลิงม่อขมวดคิ้วพูด “พวกเราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรอ?”
“ตกลง? ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ?” มู่เฉินคำรามเสียงเบา “นายพูดเองเออเองทั้งนั้น จู่ๆ ก็มาบอกว่า ‘เอาตามนี้แล้วกันนะ’ แท้ๆ!”
“เอาน่า ไปเถอะๆ” หลิงม่อตัดบทเขา
แต่จู่ๆ มู่เฉินกลับคว้าแขนเขา แล้วถามด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ “นายรู้ใช่ไหมว่าฉันทำได้มากสุดก็คือให้ข้อมูลกับนาย? ทั้งๆ ที่การลอบโจมตีอ้ายเฟิงมันยากกว่าเห็นๆ นายกลับไม่ให้พวกเธอทำเรื่องนี้ แต่กลับเลือกมากับฉัน…”
หลิงม่อมองหน้าเขา แล้วบอกว่า “เกิดเป็นลูกผู้ชาย จะให้ผู้หญิงของตัวเองเสี่ยงอันตรายอยู่ข้างหน้าได้ยังไงล่ะ”
“ความจริงเรื่องนี้ฉันชื่นชมนายมาก” มู่เฉินปล่อยแขนหลิงม่อ แล้วตบไหล่เขาสองสามที บอกว่า “แต่นายมาลากฉันลงน้ำด้วยทำไมวะ!”
“กลับมานี่ จะหนีไปไหน” หลิงม่อยืนนิ่งๆ อาศัยเพียงหนวดสัมผัสเส้นเดียว เขาก็ดึงขามู่เฉินที่กำลังวิ่งหนีให้ล้มตึงกับพื้นได้อย่างง่ายดาย
มู่เฉินลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก จากนั้นก็ถูกกระชากกลับไปด้วยพลังงานกลุ่มหนึ่ง
“ข้างกายอ้ายเฟิงมีผู้ใช้พลังจิตไหม?” หลิงม่อถามเสียงเบา
“มี…” มู่เฉินเหมือนยอมรับในชะตากรรมแล้ว
“อื่ม อย่างนั้นก็ดีแล้ว” หลิงม่อพยักหน้า
มู่เฉินมองหน้าเขาอย่างตะลึง “นายมีวิธีแล้ว?”
“นายเคยได้ยินคำว่าตกปลาไหม?” หลิงม่อถามด้วยดวงตาเปล่งประกาย
มู่เฉินสบตากับหลิงม่อด้วยสีหน้างุนงง ไม่นาน เขาก็รู้สึกเหมือน “เชือก” ที่มัดตัวเขาไว้ถูกกระตุกหนึ่งที ขณะเดียวกันหลิงม่อก็มองเขาด้วยสายตามีเลศนัย…
“ชิบหาย!”
ไม่นาน เสียงโวยวายที่เหมือนกำลังพยายามข่มกลั้นของมู่เฉินก็หายเข้าไปในความมืด และในเวลานี้ บนบันไดอีกเส้นหนึ่ง พวกอ้ายเฟิงกำลังเดินขึ้นชั้นบนช้าๆ
“พลั่ก!”
ทันใดนั้น เงาดำตะคุ่มเงาหนึ่งตกลงมาจากด้านบน แล้วกลิ้งหลุนๆ ลงมาตามบันได มุ่งหน้ามายังพวกเขา
ทุกคนต่างตกตะลึง แต่ชายคนหนึ่งในนั้นกลับรีบวิ่งโฉบเข้าไป และหยุดเงาตะคุ่มนั้นไว้ได้ทันเวลา
เขาก้มหน้ามอง แล้วหันกลับมาบอกด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “เป็นเจ้าหน้าที่ค้นหาของพวกเรา ตายแล้ว”
ชายอีกคนวิ่งขึ้นไปข้างบน และหลายวินาทีผ่านไปก็วิ่งกลับมาอีกครั้ง เขาส่ายหน้าแล้วบอกว่า “ไม่เห็นใครเลย ดูจากรอยเลือดเหมือนจะคลานออกมา และตายหลังจากตกบันได”
“อวดดีเกินไปแล้ว!” อ้ายเฟิงตรวจสอบศพดูอีกครั้ง แล้วก็คำรามเดือดดาล
“ร้ายกาจมากจริงๆ ถ้าหากพวกมันตกใจแล้วเตลิดหนีไป พวกเราก็ยังถือว่ามีโอกาสชนะสูง แต่ตอนนี้พวกมันอยู่ในที่ลับ เราอยู่ในที่แจ้ง…” สมาชิกอีกคนพูดขึ้นอย่างไม่สบายใจ
“หลัวอวี้หลง!” อ้ายเฟิงตะโกน
ชายตัวเตี้ยคนหนึ่งรีบเดินออกมา แล้วขานรับด้วยเสียงแหลมๆ เหมือนเสียงเป็ดตัวผู้ “ครับ”
ชายคนนี้ความสูงต่ำกว่าเกณฑ์มาก แต่กลับเจริญเติบโตออกด้านข้างจนเกินมาตรฐานไปไม่น้อย เหมือนลูกฟักหม่นที่ถูกวางในแนวนอนอย่างไรอย่างนั้น
“ตามหามันเดี๋ยวนี้ อีกอย่าง ใครก็ได้ลงไปบอกพวกที่เฝ้าประตูข้างล่าง ว่าเฝ้าให้ดี อย่าปล่อยให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว!” อ้ายเฟิงหันกลับไปสั่ง
“ผมเอง…” ชายคนที่หยุดศพกลิ้งพูดขึ้นทันที “ใช่แล้ว ถ้ายังไงหาน้ำมัน…”
“ทำอย่างนั้นเท่ากับบีบให้พวกมันหนีไม่ใช่หรอ? นายคิดว่าไฟจะเอาอยู่รึไง!” อ้ายเฟิงเดือดขึ้นมาอีกครั้ง “ล้อมพวกมันไว้ในนี้แหละ พวกมันอยากเล่น? พวกเราก็เล่นเป็นเพื่อนพวกมันซะ! เมื่อกี้ยังคิดจะเอาหน้าอยู่เลยไม่ใช่หรอ ตอนนี้ก็อย่าได้ขี้ขลาดอีก อีกฝ่ายกำลังมองหาโอกาสอยู่! พวกเราจะถอยไม่ได้ แล้วก็ไม่มีทางให้ถอยอีกแล้ว”
“ก็ได้…” ชายคนนั้นพยักหน้า แล้วหันหน้าวิ่งลงตึกไป
หลัวอวี้หลงที่ยืนอยู่อีกด้านก็ถูกอ้ายเฟิงถลึงตาใส่ เขาสะดุ้งตกใจ แล้วรีบพยักหน้ารัวๆ “ผมจะหาเดี๋ยวนี้”
หลังจากพูดเสร็จ เขาพลันสูดลมหายใจลึกๆ สายตาของเขาดูจดจ่อขึ้นมาทันที
“ใช่แล้ว” อ้ายเฟิงพูดขึ้น “เชื่อมต่อกับหมายเลข 0 ซะ”
หลัวอวี้หลงพยักหน้า หลังจากที่เขาปลดปล่อยพลังจิตออกไปอย่างต่อเนื่อง ใน “ดวงตา” อีกคู่หนึ่งของเขา รอบกายเขาปรากฏร่องรอยคลื่นที่เหมือนคลื่นสัญญาณซึ่งไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
นี่คือคลื่นกระแสไฟฟ้าในสิ่งมีชีวิตที่หลัวอวี้หลง “มองเห็น” หรืออาจจะเป็นคลื่นสมองก็ได้ ความจริงตัวเขาเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน
แต่หากตาม “คลื่นสัญญาณ” นี้ไป เขาก็จะตามหาคนกลุ่มนั้นจนเจอ…
“เอาล่ะ เร็วเข้า ฉันใช้พลังได้ไม่นานนัก” หลัวอวี้หลงพูดอย่างรีบร้อน
เสียงหัวเราะเยาะหนึ่งดังมาจากด้านหลัง “นายใช้พลังได้ไม่นานตลอดนั่นแหละ”
แต่ในเวลาแบบนี้ ไม่มีใครหัวเราะร่วมกับเขา แต่กลับพากันขมวดคิ้วแล้วหันไปถลึงตาใส่เขา
—————————————————————————–