ทันทีที่เสียงกรีดร้องนั้นดัง คำพูดที่สวี่ซูหานตั้งใจพูดก็ถูกกลืนลงไป
“เร็วเข้า!” อวี่เหวินซวนชะงักไปชั่วขณะ พลันเร่งเธออย่างรีบร้อน
สวี่ซูหานจึงเร่งความเร็วก่อนที่หลิงม่อจะเปิดปาก พาทั้งสองวิ่งไปยังทิศที่เสียงกรีดร้องดังอย่างรวดเร็ว
ไอหมอกมืดที่ป่วนพล่านถูกพวกเขาวิ่งแหวกผ่านอย่างต่อเนื่อง แต่ด้านหน้ากลับยังคงมืดมิด หลังจากเสียงกรีดร้องนั้นหยุดหายไป เสียงฝีเท้านั้นก็หายตามไปทันที
“เสียงนั้นล่ะ?” สวี่ซูหานถามอย่างอึ้งงันทันที
หลิงม่อกลับตอบเสียงเรียบ “คงจะเร่งความเร็วล่ะมั้ง…”
“เร่งความเร็ว?” คราวนี้คนที่ถามกลับเป็นอวี่เหวินซวน
“ใช่…จากเสียงฝีเท้าเมื่อกี้ก็ฟังออกแล้ว ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่รูปร่างเล็กเตี้ย หรือไม่ก็ซูบผอมมาก สิ่งมีชีวิตประเภทนั้นหากเร่งความเร็วในการวิ่ง เสียงฝีเท้าก็ย่อมเบาลงตามไปด้วย พิจารณาจากที่ตอนนี้เราไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าแล้ว แสดงว่าอีกฝ่ายต้องมีข้อได้เปรียบที่เหนือกว่าพวกเรามากแน่ๆ ถึงได้สลัดพวกรทิ้งชั่วคราวแบบนี้” หลิงม่อผ่อนลมหายใจเป็นจังหวะ พลางพูดขึ้น “ฉันพูดแบบนี้ พวกเธอเข้าใจไหม?”
“เอ่อคือ…”
“ไม่เข้าใจอ่ะ” อวี่เหวินซวนตอบอย่างไม่ลังเล
สวี่ซูหานหางตากระตุกยิกๆ “ยอมรับหน้าตาเฉยงี้เลย…” เป็นเธอคงไม่กล้าพูดออกไปง่ายๆ…
“ไม่เข้าใจตั้งแต่ประโยคแรกแล้วอ่ะ” อวี่เหวินซวนตั้งคำถามต่อ “นายได้ข้อสันนิษฐานนี้มาได้ยังไง? ถึงแม้เสียงฝีเท้ามีเบามีหนัก แต่มาตรฐานประเภทนี้ไม่น่าจะใช้ได้กับสัตว์ประหลาดที่เป็นตัวอะไรไม่รู้พวกนี้หรือเปล่า? ไม่แน่ว่าอาจเป็นสัตว์ประหลาดอีกประเภทหนึ่งก็ได้ ยังไงที่นี่สำหรับพวกเราก็แทบไม่ต่างอะไรจากโลกใบใหม่เลย กฎเกณฑ์ที่ใช้กันบนดิน อาจไม่เหมาะสมกับที่นี่…อุวะฮ่าฮ่าฮ่า คิดว่าไง ฉันพูดถูกใช่ไหมล่ะ?”
“เอ๋? เหมือนเขาจะพูด…เหมือนจะพูดถูกมาก!” สวี่ซูหานรู้สึกไม่ค่อยชอบมาพากล…หลิงม่อจะตอบยังไง? เมื่อกี้เธอยังไม่ได้คิดมากขนาดนี้ แต่ตอนนี้พได้ยินอวี่เหวินซวนพูดอย่างนี้ ในใจเธอก็เริ่มลังเล นับสัตว์ประหลาดเหยื่อล่อตัวนั้นด้วยแล้ว ตอนนี้พวกเขาเจอสัตว์ประหลาดใต้ดินที่แตกต่างกันถึงห้าประเภทแล้ว ใครจะบอกได้ว่าจะเจอประเภทที่หกหรือไม่
เสียงกรีดร้อง เสียงฝีเท้าที่จู่ๆ ก็เงียบหายไป บวกกับรอบข้างที่เริ่มเงียบงัน…ภายใต้สถานการณ์อย่างนี้ คำตอบที่คลาดเคลื่อนไปเพียงเล็กน้อยอาจนำมาซึ่งจุดจบถึงแก่ชีวิต ดังนั้นอวี่เหวินซวนจึงได้ตั้งคำถาม และเธอถึงได้ตั้งใจฟังขนาดนี้
“ถูกบ้าอะไรเล่า!” หลิงม่อกลับอ้าปากอย่างเอือมระอา “ฉันต้องมีเหตุผลแน่นอนถึงได้พูดอย่างนี้ เอาเป็นว่า…เชื่อฉันเถอะ หลังจากที่ฉันพบว่าที่นี่มีแต่ไอหมอกมืด ฉันก็เริ่มแยกแยะเสียงต่างๆ ของสัตว์ประหลาดพวกนี้แล้ว และในฐานะผู้มีพลังจิต…” เขายกนิ้วชี้ขมับตัวเอง บอกว่า “ฉันมีประสบการณ์ด้านการสัมผัสต่อการเปลี่ยนแปลงอันน้อยนิดมากกว่าพวกนาย”
“อย่างนั้นหรอ…” สวี่ซูหานคล้ายเชื่อระคนสงสัย เธอรู้สึกว่าหลิงม่อกำลังปิดบังอะไรพวกเธออยู่แน่ๆ…อย่างน้อยท่าทีสงบนิ่งยามเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดของหลิงม่อ ก็ทำให้เธอรู้สึกว่าผิดปกติมากแล้ว เธอเข้าใจหากเขาสามารถข่มความกวาดกลัวไว้ได้ แต่ที่เขาสามารถข่มความฉงนสงงสัยไว้ได้ทั้งหมดต่างหาก ที่ทำให้เธอรู้สึกแปลก…ตอนที่กำลังเกิดเรื่องขึ้นเธอไม่ได้ฉุกคิดถึงจุดนี้ แต่ตอนนี้พอนึกย้อนกลับไป สวี่ซูหานตระหนักได้ว่าตัวเองพลาดอะไรไปหลายอย่าง…
“เชื่อฉันก็พอแล้ว” หลิงม่อพูดขึ้นอีกครั้ง
ความหมายชัดเจนตรงตัว…ถึงแม้พวกเธอถาม เขาก็ไม่มีทางบอก
“น่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับพวกเย่เลี่ยนล่ะมั้ง? แต่ทั้งที่เขาอยู่ตรงนี้ ทำไมถึงได้รู้จักสัตว์ประหลาดพวกนั้นดีนักล่ะ? ทำไมเขาถึงมั่นใจว่าที่เสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายเบาเป็นเพราะรูปร่างหรือน้ำหนักของมัน เขาเคยไปเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาจากที่ไหนงั้นหรอ?” สวี่ซูหานอดคิดไม่ได้
ความจริงแล้ว…เธอเดาถูกจริงๆ ที่หลิงม่อมั่นใจขนาดนี้ เพราะหุ่นซอมบี้ของเขาก็กำลังเคลื่อนไหวไปพร้อมกันเหมือนกัน และถึงแม้สัตว์ประหลาดใต้ดินจะมีมาก แต่พวกมันกลับให้ความรู้สึกสมดุลอย่างหนึ่ง…นั่นก็คือสัตว์ประหลาดที่แตกต่างกัน แทบจะอาศัยอยู่ใรเขตพื้นที่เดียวกัน และสัตว์ประหลาดแต่ละประเภทก็มีความต่างกัน รวมถึง “ลักษณะนิสัยเฉพาะตัว” ที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ตอนนี้สัตว์ประหลาดที่สามารถรักษา “ความเงียบ” ในขณะวิ่งได้ ก็มีแต่ “มนุษย์หน้าอืด” พวกนั้น แต่ “มนุษย์หน้าอืด” ทั้งหมดยังวิ่งอยู่ข้างหน้าหุ่นซอมบี้ของเขาอยู่เลย ไม่มีทางที่จาะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้แน่ และในขณะที่เสียงฝีเท้านั้นปรากฏขึ้น ความจริงพวกหลิงม่อได้ทำผิดพลาดมหันต์อย่างหนึ่ง…
พวกเขาไม่ได้กลั้นหายใจให้ทันเวลา
เดิมทีหลิงม่อนึกว่าอีกฝ่ายจะต้องเดินคลำทางมาทางพวกเขาแน่ แต่จนกระทั่งตอนที่สัตว์ประหลาดตัวนั้นหมุนตัวเปลี่ยนทิศกะทันหันหลิงม่อจึงเพิ่งเข้าใจ อีกฝ่ายไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ตรงนั้นจริงๆ…แต่ว่าสัตว์ประหลาดใต้ดินทั่วไป กลับมีสัมผัสที่ว่องไวกันมากนี่นา…
แต่คำพูดพวกนี้ หลิงม่อกลับไม่สามารถพูดออกมาได้
“ถ้าเชื่อนายแล้วจะเติมเลือดคืนชีพ (ศัพท์เกม) ได้หรือเปล่า…” วินาทีถัดมา คำพูดของอวี่เหวินซวนก็ทำลายบรรยากาศชวนอึดอัดลงทันที…
“ลองไหมล่ะ?”
“อ๋อหรอ…รับประกันสามอย่างด้วยไหม?” (รับประกันสามอย่าง คือรับประกันซ่อม เปลี่ยน คืน)
“รับประกันสิ นายลองสิฉันมีบริการหลังการขายด้วยนะ”
ทั้งสองคุยไร้สาระกันสองสามประโยค แต่ในระหว่างนั้นพวกเขาก็ได้วิ่งออกไปไกลระยะหนึ่งแล้ว
ตอนนี้หลิงม่อสัมผัสได้อย่างชัดเจน สภาพแวดล้อมรอบข้างเปลี่ยนไปแล้ว…
ที่นี่ไม่เหมือน “ลาน” ที่โล่งกว้างอีกต่อไปแล้ว แต่กลับเหมือนสถานที่ที่แคบลงเรื่อยๆ…
“ผู้ประกาศข่าวสวี่ พอดูออกไหมว่าที่นี่คือที่ไหน?” หลิงม่อถาม
“มองไม่เห็นเลย ไอหมอกมืดที่นี่หนาแน่นมาก…แต่ว่า ฉันคิดว่าพวกเราน่าจะเข้ามาในช่องทางเดินอะไรซักอย่างแล้วล่ะ” สวี่ซูหานบอก
“ช่องทางเดิน…”
“อื้ม! รู้สึกอึดอัดขึ้น” สวี่ซูหานสูดหายใจ
นั่นหมายความว่า พวกเขาวิ่งมาดักทางสัตว์ประหลาดจริงๆ…ดีที่ข้างหลังพวกเขายังมีทางถอย ดังนั้นถึงแม้ทั้งสามจะตื่นตระหนก แต่กลับยังคงไล่ตามไปข้างหน้าไม่หยุด
ในอีกด้าน เสียงกรีดร้องอยู่ที่นี่ แล้วเสียงฝีเท้าล่ะ? ในช่องทางเดินเส้นนี้ นอกจากพวกเขาแล้วยังมีเงาร่างอยู่อีกมากน้อยแค่ไหน…
“ฮืออออ…” เสียงร้องไห้เลื่อนลอยหนึ่งพลันดังขึ้น
“อ๊ะ…” สวี่ซูหานพลันชะงักเท้า
เสียงนี้ เหมือนอยู่ใกล้พวกเขามาก…
หลิงม่อยกมือชี้ไปข้างนอก จากนั้นก็ทำท่าไปทางที่เสียงร้องไห้ดังมา
พอเห็นเขาวาดสัญลักษณ์เท่ากับ สวี่ซูหานก็เข้าใจทันที
เสียงร้องไห้นี้กับเสียงกรีดร้องก่อนหน้านี้ ดังออกมาจากปากอันเดียวกัน…
ได้ยินเสียงร้องไห้ที่สะท้อนอยู่ในท่อน้ำทิ้งใต้ดินแบบนี้ ทั้งสามพลันขนลุกซู่ไปทั้งตัว…
หลังจากตัวสั่น สวี่ซูหานรีบพาพวกเขาไปข้างหน้าทันที…
ใครจะไปรู้ เสียงนี้อาจเงียบหายไปอีกก็ได้…
ถึงแม้หลิงม่อกับอวี่เหวินซวนไม่รู้สึก แต่สวี่ซูหานกลับมีความรู้สึกแปลกๆ บางอย่าง ตำแหน่งของเสียงร้องไห้นี้ เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย…นั่นก็หมายความว่า เจ้าของเสียงร้องไห้เคยเคลื่อนไหวเปลี่ยนตำแหน่งมาก่อน…
ตั้งใจเป็นฝ่ายเข้าใกล้พวกเขางั้นหรอ? หรือว่า…
————————-
Related