พอหลิงม่อพูดออกไปอย่างนี้ อีกสองคนที่เหลือก็อึ้งไปทันที
คำพูดนี้…หมายความว่ายังไง?
กลับเป็นตัวอ้ายเฟิงเองที่ดูไม่ประหลาดใจซักนิด “กึ๊กๆ” เขาหันคอกลับมาให้ตรง จากนั้นก็มองหลิงม่อด้วยสีหน้าแปลกๆ แล้วอ้าปากหัวเราะเอื่อยๆ “คิก…คิกคิก…”
เสียงหัวเราะนี้ชวนให้รู้สึกขนพองสยองเกล้า ราวกับมีคนเอาเล็บขูดกระดาษทรายอย่างไรอย่างนั้น ไม่เพียงน่ารำคาญ แต่มันยังดังฝังลึกเข้าไปในสมองอีกด้วย
หลิงม่อขมวดคิ้วเล็กน้อย สองคนนั้นรู้สึกเพียงว่าเสียงนั้นน่ารำคาญ แต่กลับไม่รู้ว่าเสียงหัวเราะนี้แฝงไว้ด้วยพลังโจมตีทางจิต…
ทำได้ถึงขั้นนี้ แสดงว่าเป็นผู้มีพลังจิตที่แข็งแกร่งมาก
ทว่าถึงแม้เป็นอย่างนี้ สายตาที่สองคนนั้นมองอ้ายเฟิงก็แปลกออกไป
การที่อ้ายเฟิงเงียบ ก็แสดงว่าที่หลิงม่อพูดมาเป็นความจริง
ทว่าเข้าใจก็ส่วนเข้าใจ แต่สถานการณ์อย่างนี้สำหรับพวกเขานั้นยากเกินรับไหว!
ที่บอกว่าเข้าร่วม คือการเปิดตัวที่น่าสะพรึงอย่างนี้น่ะหรอ?! เข้าร่วมได้สมบูรณ์แบบจริงๆ!
“ดูเหมือนว่าแกจะเป็นหมายเลข 0 สินะ” หลิงม่อสอดมือเข้าไปในกระเป๋า แล้วพูดขึ้น
เสี้ยววินาทีเมื่อกี้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังจิตอันรุนแรงระลอกหนึ่ง
และตอนที่อ้ายเฟิงตะโกนเรียกเขาให้ออกมา หลิงม่อก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่ามีพลังจิตสายหนึ่งพุ่งมาที่ตัวเอง
มาถึงตอนนี้ การซ่อนตัวก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงเดินออกมาเผชิญหน้าตรงๆ เสียเลย
แต่พลังจิตที่แข็งแกร่งขนาดนี้ ไม่น่าใช่สิ่งที่อ้ายเฟิงมีมาแต่แรก สถานการณ์อย่างนี้ของเขา หลิงม่อเองก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
แต่คิดไปคิดมา ในนิพพานสาขาย่อย คนที่จะสามารถทำอย่างนี้ได้ก็มีเพียงหมายเลข 0 เท่านั้น
หลิงม่อลองเสี่ยงดวงคาดเดาออกไป แต่อีกฝ่ายกลับยอมรับอย่างตรงไปตรงมา
“แกร้ายกาจ…กว่าครั้งก่อน…ทำฉัน…ประหลาดใจเลย” อ้ายเฟิงพูดอีกครั้ง
เขาไม่ได้พูดติดอ่างหรือลิ้นแข็งแต่อย่างใด แต่เหมือนร่างกายและประสาทการตอบสนองไม่ตรงกันมากกว่า
“ฉันก็ประหลาดใจเหมือนกันนะ แกพูดภาษาคนก็ได้ด้วย” หลิงม่อบอก “ฉันนึกว่าแกเป็นแค่เครื่องจักรมีชีวิตที่มีไว้เพื่อรวบรวมการแลกเปลี่ยนข้อมูลมาโดยตลอด”
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังมาจากด้านหลังพวกอ้ายเฟิง “ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”
สองคนนั้นหันหลังขวับอย่างตื่นตระหนก แล้วก็ตะโกนออกมาอย่างตกใจพร้อมกัน “มู่เฉิน / หัวหน้าทีมมู่?!”
“เรียกฉันว่ามู่เฉินเถอะ” มู่เฉินพูดหยันตัวเองเล็กน้อย “มาถึงขั้นนี้แล้ว ฉันคงกลายเป็นศัตรูกับนิพพานของพวกนายแล้วล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเมื่อกี้…” หนึ่งในสองคนนั้นมองหน้ามู่เฉิน แล้วหันไปมองหลิงม่อ
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว ที่แท้ก็เป็นฝีมือของสองคนนี้นี่เองที่ปั่นหัวพวกเขา…
หลิงม่อล้มเลิกการลอบทำร้าย มู่เฉินจึงคิดว่าเหยื่อล่ออย่างตัวเองก็ไม่จำเป็นต้องหลบๆ ซ่อนๆ อีกต่อไปแล้ว
โดยเฉพาะเมื่อมีเรื่องไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน…
“แผนการตกปลา” ราบรื่นมาโดยตลอด!
หลิงม่อเป็นคนเสนอแผนการนี้ แต่เขาก็มีส่วนร่วมด้วยเหมือนกัน
เป็นมู่เฉินเองที่บอกข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะนิสัยและจุดเด่นของผู้สั่งการอ้ายเฟิง รวมถึงสถานการณ์จริงในสาขาย่อยให้กับหลิงม่อได้รู้…
อย่างเช่นเรื่องที่ว่าทำไมอ้ายเฟิงถึงได้มีปฏิกิริยารุนแรง จนถึงขั้นสูญเสียสติยั้งคิดไปขนาดนี้ เหตุผลหลักเป็นเพราะว่า ในสายตาของสำนักงานใหญ่ สาขาย่อยแห่งนี้ยังมีความสำคัญไม่มากพอ
ตัวสาขาย่อยเองยังไม่ได้รับการยอมรับ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหัวหน้าที่คุมสาขาย่อยนี้เลย
ในสายตาของสำนักงานใหญ่ อ้ายเฟิงสำคัญไม่เท่าหมายเลข 1 ด้วยซ้ำ
เดิมฐานะต่ำต้อย คำพูดไร้ความหมาย แล้วยังทำความผิดใหญ่หลวงขนาดนี้ บอกได้เลยว่าอนาคตของอ้ายเฟิงหลงเหลือแต่ความมืดมด เขาย่อมต้องสติแตกเป็นธรรมดา
ทว่าตอนที่หลิงม่อได้ยินเรื่องพวกนี้ กลับรู้สึกประหลาดใจมาก “สาขาย่อยสาขาเดียวสามารถยึดครองเมืองทั้งเมืองได้ ก็โคตรเจ๋งแล้วนะ…”
“คนที่เจ๋งจริงถูกย้ายไปที่สำนักงานใหญ่หมดแล้ว” มู่เฉินบอก “ไม่อย่างนั้นจะถึงมืออ้ายเฟิงหรอ? แค่เพราะมีหมายเลข 0 อยู่ สาขาย่อยเลยยังสามารถรวบรวมข้อมูลข่าวสารรวมถึงข้อมูลการทดลองส่งให้สำนักงานใหญ่ได้ ดังนั้นเลยยังสามารถอยู่ต่อมาได้ บอกว่าเป็นสาขาย่อย แต่ความจริงความสำคัญทั้งหมดอยู่ที่หมายเลข 0 เพียงคนเดียวเท่านั้น คราวนี้นายน่าจะรู้แล้วนะ ว่าหมายเลข 0 ที่นายทำร้ายน่ะ มีความสำคัญกับสาขาย่อยมากมายขนาดไหน”
“แล้วทำไมไม่ย้ายหมายเลข 0 ไปที่สำนักงานใหญ่ด้วยซะเลยล่ะ?” จู่ๆ หลิงม่อก็ถาม
มู่เฉินทำได้เพียงส่ายหัวกับคำถามนี้ “ฉันจะไปรู้ได้ไง…”
“แต่ว่ากันตามจริงแล้ว หมายเลข 0 ก็เป็นแค่เครื่องโทรเลขพลังงานสูงรึเปล่า?” หลิงม่อครุ่นคิด และถามอีกครั้ง
มู่เฉินขมวดคิ้วคิดตาม แล้วพยักหน้าตอบ “ก็…น่าจะใช่มั้ง…”
………..
ใช่บ้าอะไรล่ะ!
ตอนนี้มู่เฉินสับสนไปหมดแล้ว เขาอยู่ในสาขาย่อยมานานขนาดนี้ รู้จักกับอ้ายเฟิงมาก็ไม่ใช่วันสองวัน แต่เขากลับไม่เคยรู้เลยว่านี่คือวิธีการใช้หมายเลข 0 ที่แท้จริง!
ตามคาด คนเป็นหัวหน้า มักจะมีไพ่ลับซ่อนอยู่เสมอ!
ทว่าอ้ายเฟิงกลับไม่สนใจมู่เฉินซักนิด เขายังคงจ้องไปที่หลิงม่อ “เครื่องจักร? ไม่…นายพูดถูก…แค่ครึ่งเดียว”
นึกไม่ถึงว่าเขาจะแก้ตัวให้ตัวเองอย่างจริงจัง “นั่นคือ…ภาชนะ”
“หมายความว่าไง?” หลิงม่อขมวดคิ้วถาม
“ฉัน…” อ้ายเฟิงสะบัดหัวไปมา แล้วเขาก็พูดคล่องขึ้น “ฉัน…ถูกสร้างขึ้น…จากความทรงจำมากมาย…”
แต่ทันใดนั้น น้ำเสียงของเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นเล็กแหลมขึ้นทันที “หุบปาก! ความทรงจำอะไรกัน นั่นเรียกว่าร่างจิตใต้สำนึกต่างหาก! เจ้าโง่!”
“ก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ ไม่ต้องทะเลาะกัน ให้เขาพูดต่อ!”
“เรื่องแค่นี้ ฉันอธิบายเอง ก็แค่ร่างจิตใต้สำนึกมากมายมารวมตัวกัน จากนั้นมันก็บีบคั้นจนเจ้าของร่างระเบิด สุดท้ายก็เปลี่ยนไปอยู่ในร่างอีกคนเท่านั้นเอง!”
“ฮ่าฮ่า ขอเสริมหน่อยละกัน สุดท้ายก็เปลี่ยนไปอยู่ในร่างที่ไร้สติรู้คิดยังไงล่ะ!”
“เมื่อกี้…ใครบอกว่าเป็นร่างจิตใต้สำนึก? นั่นมันความทรงจำต่างหาก…”
อ้ายเฟิงสะบัดหัวไปมาอีกครั้ง และแล้วสายตาสับสนยุ่งเหยิงของเขาก็กลับคืนสู่สภาพเดิม น้ำเสียงก็กลับไปเป็นปกติเช่นกัน “ภาชนะไม่มีพันธนาการ…ฉันสามารถ…เข้ามาอยู่ในตัวเขาได้ อย่างตอนนี้”
“เชี่ยย…” ทุกคนถึงกับตะลึงค้างไป
เหตุการณ์เมื่อครู่ เหมือนกับอ้ายเฟิงคนเดียวกำลังแสดงหลายบทบาท และทะเลาะกับตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
กลับเป็นหลิงม่อที่ได้สติกลับคืนมาเป็นคนแรก แต่สีหน้าของเขาก็ยังดูยากจะเชื่อ
ตอนแรกที่เขาเจอหมายเลข 0 ถึงแม้จะมองเห็นแค่ภาพเลือนรางไม่ชัดเจนบางส่วน แต่หลิงม่อกลับคิดมาโดยตลอด ว่านี่คือผู้มีความสามารถพิเศษที่ถูกเลี้ยงดูเป็นพิเศษ ซึ่งไม่มีความสามารถในการเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง และไม่ใช่ผู้มีความสามารถพิเศษ 100%…
แต่ความเป็นจริง กลับน่าตกใจกว่าที่เขาจินตนาการไว้มาก…
เมื่อกี้ถึงอ้ายเฟิงจะทะเลาะกับตัวเองเสียงดังเอะอะ แต่หลิงม่อกลับเข้าใจความหมายที่เขาต้องการจะบอก
ตัวตนแรกสุดของหมายเลข 0 อาจเป็นไปได้ว่าเป็นผู้มีความสามารถพิเศษธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
พวกเขาได้เคลื่อนย้ายพลังจิตของคนอื่นๆ มายังสมองของคนคนนี้ผ่านวิธีการมากมาย แต่นั่นไม่เหมือนกับพลังกลืนกินของหลิงม่อ พลังจิตเหล่านี้ไม่ได้กลายเป็นพลังงานทางจิตบริสุทธิ์ที่ถูกดูดกลืนมา แต่มันเกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของความทรงจำและจิตใต้สำนึก พอเจ้าของร่างคนแรกทนรับไม่ไหว พวกเขาก็ได้นำสิ่งยุงเหยิงนี้ ยัดใส่ “ภาชนะ” ชิ้นใหม่
ถึงแม้หลิงม่อจะไม่แน่ใจว่าเจ้าของร่างคนแรก “ระเบิด” อย่างไร แต่พอลองนึกดูว่าเมื่อสมองของคนคนหนึ่งถูกความทรงจำและความคิดที่ไม่เหมือนกันมากมายมหาศาลยัดใส่พร้อมๆ กัน คงเหมือนกับต้องยืนอยู่ในลานกว้าง แล้วฟังเสียงของผู้คนมากมายทะเลาะเบาะแว้งกันทุกวันทุกคืน เวลาผ่านไป หากไม่ฆ่าตัวตาย ก็คงเป็นบ้า
วิธีการอย่างนี้ พวกเขาก็ช่างคิดออกมาได้…
แต่ “ร่างกายที่ยังไม่มีสติรู้คิด” คืออะไรกันแน่? หรือจะเป็นซอมบี้ธรรมดา?
ไม่รอให้หลิงม่อถามออกไป เขาก็ได้ยินเสียงมู่เฉินพูดออกมาว่า “เด็ก…ทารกนั่น…”
“หา?”
จู่ๆ ก็พูดอะไรของเขาน่ะ…
มู่เฉินพูดด้วยสีหน้าช็อกสุดขีด “ฉันบอกว่าเด็กทารกนั่น! หมายเลข 0 อยู่ในร่างของเด็กทารกในตู้อบมาตั้งแต่แรกแล้ว! แต่ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเด็กทารกนั่นเกิดมาได้อย่างไร…ฉันก็นึกว่า…”
เขาพูดไป ก็ถอยหลังไปสองก้างอย่างไม่รู้ตัว บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเรื่องนี้ทำให้เขาช็อกสุดๆ
แม้แต่สมาชิกอีกสองคนก็ต้องผงะถอยหลังไปอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้เหมือนกัน จิตใต้สำนึกที่สามารถ “เคลื่อนย้าย” ได้อย่างนี้ ช่างน่ากลัวเหลือเกิน…
หลิงม่อกลับพยักหน้าอย่างเข้าใจ คำตอบนี้เมื่อนำมาประกอบกับเหตุการณ์ที่เขา “มองเห็น” ในตอนนั้น ก็สมเหตุสมผลพอดี…
“พวกนายไม่ต้อง…” อ้ายเฟิงหัวเราะคิกคิก แล้วหมุนคอดัง “กร๊อบแกร๊บ” อีกครั้ง “ฉันถูก…ขังให้อยู่ ที่นี่”
“นอกจากนี้ การเคลื่อนย้ายของนายก็มีเงื่อนไขด้วย” หลิงม่อจุดประเด็นสำคัญขึ้นมา
อ้ายเฟิงเงียบ เขากำหมัดแน่นอย่างขุ่นเคือง
“เป็นอย่างที่คิดจริงๆ สินะ…”
ตอนนี้หลิงม่อรู้แล้วว่าทำไมหมายเลข 0 ถึงต้องอยู่ที่นี่ ดูเหมือนว่าเพื่อจะรักษาตำแหน่งไว้ อ้ายเฟิงคงไม่ได้ซ่อนไพ่ลับไว้แค่ใบเดียว
เดาว่าวิธีการใช้อย่างนี้ มีเพียงอ้ายเฟิงเท่านั้นที่จะสามารถทำได้ นั่นก็เท่ากับว่าร่างกายของเขาคือภาชนะสำรองใช้ที่มีไว้เพื่อหมายเลข 0
“ที่แท้หมายเลข 0 ก็เป็นดั่งเจ้าชีวิตของเขานี่เอง ไม่น่าล่ะเขาถึงได้เป็นเดือดเป็นร้อนขนาดนั้น” หลิงม่อคิดในใจ
อ้ายเฟิงในตอนนี้ เทียบเท่ากับผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่ง ในเมื่อหมายเลข 0 ไม่ได้เป็นเพียง “เครื่องโทรเลข” นั่นแสดงว่ามันจะต้องมีความสามารถอื่นซ่อนอยู่อีกแน่
หลิงม่อกับมู่เฉินสบตากัน จากนั้นก็สื่อความหมายผ่านสายตากัน
ถึงแม้มู่เฉินจะยังไม่ตื่นจากความช็อกดี แต่เขาก็รู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมัวมาสับสน
เขากระชับมีดแน่น แล้วหันไปมองสมาชิกสองคนนั้น
ส่วนหลิงม่อนั้นพุ่งเป้าความสนใจไปที่อ้ายเฟิง ทั้งสองตะโกนเสียงดังออกมาพร้อมกัน “ลุยเลย!”
มู่เฉินยกเท้าเตะชุดเครื่องชาที่อยู่ข้างๆ ให้พุ่งไปทางหนึ่งในสองคนนั้น ขณะเดียวกันก็พุ่งเข้าไปโจมตีชายอีกคนหนึ่ง
หลิงม่อแผ่หนวดสัมผัสทางจิตหลายสิบเส้นออกมาจากดวงแสงแห่งจิต เพื่อปิดกั้นด้านหน้าของอ้ายเฟิงอย่างแน่นหนา
แต่ขณะที่สมาชิกทีมสองคนนั้นยังคงอยู่ในภวังค์ตะลึงค้าง อ้ายเฟิงกลับโต้ตอบการจู่โจมอย่างกะทันหันของหลิงม่อทันที
คลื่นดวงจิตอันรุนแรงพลันปรากฏอยู่รอบทิศ ป้องกันพลังหนวดสัมผัสทางจิตของหลิงม่อไว้ได้อย่างหมดจด
พลังงานทางจิตสองกลุ่มปะทะกันอย่างแรง หนวดสัมผัสทยอยสลายไปทันที แต่ก็ยังมีบางส่วนที่กลายสภาพเป็นสสารทันทีที่ปะทะเข้ากับคลื่นดวงจิตเหล่านั้น
การจู่โจมทางจิตพลันแปรเปลี่ยนเป็นการจู่โจมทางกายภาพทันใด การเปลี่ยนแปลงอย่างนี้คนทั่วไปไม่มีใครคาดถึง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะรับมือได้
แต่ในขณะที่อ้ายเฟิงใกล้จะถูกหนวดสัมผัสทิ่มแทงจนร่างพรุน ทันใดนั้น เขากลับเปล่งเสียงหัวเราะน่าเกลียดออกมาดังๆ
ขณะเดียวกัน ร่างกายของเขาโน้มเอียงไปด้านหลัง หลบการโจมตีจากหนวดสัมผัสทางจิตรูปสสารของหลิงม่อได้อย่างน่าประหลาด
แล้วเขาก็เคลื่อนไหวไปมาในบริเวณแคบๆ อย่างต่อเนื่อง แถมยังหลบการโจมตีได้ทุกครั้ง
ในระหว่างนี้ คลื่นพลังจิตแนวป้องกันของเขาก็ไม่ได้หายไปแต่อย่างใด แต่กลับป้องกันการโจมตีทางพลังจิตและการโจมตีทางกายได้อย่างแน่นหนาไม่มีเล็ดลอด
รอยยิ้มมุมปากของหลิงม่อค่อยๆ เลือนหายไป เขาดึงสองมือออกมาจากกระเป๋ากางเกง สายตาเริ่มฉายแววหนักอึ้ง
“บ้าเอ๊ย…”
—————————————————————————–