เพิ่งจะพูดจบ ในอาคารก่อสร้างสองข้างทางก็มีคนกลุ่มหนึ่งวิ่งออกมาเป็นโขยง
หลิงม่อนับในใจ หากรวมซ่งจินเซินด้วย ที่มีคนเฝ้าอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 9 คน
“ขบวนรบจัดเต็มดีนี่” หลิงม่อพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยังคงเรียบเฉย
“จัดให้นายเป็นพิเศษเลยล่ะ” ซ่งจินเซินยิ้มอย่างมั่นใจ เหมือนชัยชนะอยู่ในกำมือเขาแล้วอย่างไรอย่างนั้น
หลิงม่อครุ่นคิด แล้วถามขึ้น “ประตูหน้าและหลัง แกจงใจจัดวางกำลังคนไว้อย่างนั้นใช่ไหม?”
ซ่งจินเซินเองก็คร้านจะปิดบัง “ก็ไม่ทั้งหมดหรอก ฉันพาคนมาน้อย แล้วสาขาย่อยแห่งนี้คนที่พอจะใช้ประโยชน์ได้ก็มีไม่มาก แทนที่จะกระจายกำลังคนไปดักประตู สู้เฝ้าตอรอกระต่ายอย่างนี้ไม่ดีกว่าหรอ เพราะถึงพวกนายจะออกทางประตูหน้าหรือประตูหลัง ก็ต้องผ่านทางนี้อยู่ดี” พูดจบ เขายังขยิบตาให้หลิงม่อ แล้วพูดเสริมว่า “เห็นไหมล่ะ ฉันเดาไม่ผิดจริงๆ”
คนคนนี้เวลาพูดจา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจว่าอยู่เหนือกว่า แม้กระทั่งมู่เฉินที่หลบอยู่ด้านหลังกำแพงได้ยินแล้วยังโมโห
“ชิบ! สำนักงานใหญ่แล้วไง เจ๋งนักหรอวะ!” มู่เฉินด่าเสียงเบา
“อย่าพูดสิ” ซย่าน่าถลึงตาใส่เขา “รอคำสั่งจากพี่หลิง”
พูดไป ก็ได้ยินเสียงหลิงม่อพูดขึ้นอีกครั้ง เขาตอกกลับซ่งจินเซินเสียงเรียบ “แต่ว่า อ้ายเฟิงไม่ได้เดาไว้ก่อนเลยนะว่าแกจะไม่ไปช่วยเขา”
“หึหึ…” รอยยิ้มของซ่งจินเซินดูกระด้างขึ้นเล็กน้อยทันที ทว่าไม่นานเขาก็ปรับสีหน้าเป็นปกติ “โทษกันไม่ได้นะ ถึงเขาจะบาดเจ็บหนักก็จะควรหนีออกมาให้ได้สิ อีกอย่างพวกฉันก็เพิ่งจะมาถึง สถานการณ์ข้างในเป็นยังไงยังไม่รู้แน่ชัด บุ่มบ่ามเข้าไปอาจตายฟรีๆ ก็ได้นี่”
“แล้วพวกที่เฝ้าประตูอยู่นั่นล่ะ? แผนการของแกฟังดูดี แต่ความจริงพวกนั้นก็เป็นแค่เหยื่อที่รอเวลาถูกทิ้งไม่ใช่หรอ?” หลิงม่อพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “สิ่งที่ฉันแปลกใจก็คือ ทิ้งคนของสาขาย่อยไม่เท่าไหร่ แต่ทำไมสมาชิกสำนักงานใหญ่ที่มาสังเกตการณ์พร้อมกับแก ถึงได้ถูกสั่งให้เอาชีวิตไปทิ้งง่ายดายนักล่ะ?”
“นายจะพูดอะไร?”
คราวนี้ซ่งจินเซินยิ้มไม่ออกแล้ว เขาไม่คิดว่าในเวลาสั้นๆ หลิงม่อจะเดาเรื่องราวได้มากมายขนาดนี้
ทว่าหลังเหลือบมองคนที่อยู่ข้างหลังแวบหนึ่ง ซ่งจินเซินก็สูบควันบุหรี่เข้าเต็มปอด แล้วบอกว่า “พวกนั้นใช่คนของสำนักงานใหญ่ที่ไหน ก็แค่ตัวสำรอง…”
“พูดอย่างนี้ก็แปลว่ายอมรับแล้วสินะ” หลิงม่อส่ายหน้า
ซ่งจินเซินกัดฟันกรอด ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยเค้นเสียงพูดว่า “ไม่ต้องพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้แล้ว!”
“ปกติไม่เห็นเขาจะพูดเก่งอย่างนี้เลย!” มู่เฉินอดพูดขึ้นเบาๆ อีกครั้งไม่ได้ “แต่คำว่าเอาชีวิตไปทิ้งไม่ถูกต้องนะ เห็นๆ กันอยู่ว่าถูกซอมบี้…”
“หุบ…หุบ…หุบอะไรแล้วนะ?” หลี่ย่าหลินโน้มตัวเข้าไปใกล้หูซย่าน่า เธอแอบมองไปข้างนอกเงียบๆ พลางพูดเสียงเบา
“หุบปากไงเล่า รุ่นพี่ก็” ซย่าน่าพูดเสริมให้เธอ
มู่เฉินน้ำตานองหน้า จะให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไหมเนี่ย…
ถึงแม้จะหยั่งเชิงไม่สำเร็จ แต่ซ่งจินเซินไม่อยากคุยกับหลิงม่ออีกต่อไปแล้ว
นี่มันไม่ใช่การหยั่งเชิงแล้ว!! แต่เป็นการทำให้ความลับของเขาแตกเสียเองต่างหาก!
อีกอย่างสิ่งที่เขาพูด แต่ละประโยคล้วนเต็มไปด้วยความประสงค์ร้าย ที่ฟังแวบแรกเหมือนจะมีเหตุผลมาก
ไม่ว่าสิ่งที่เขาพูดออกมาจะใช่หรือไม่ใช่แผนการที่แท้จริงของซ่งจินเซิน แต่นั่นก็ทำให้อีก 8 คนที่เหลือเชื่อว่ามันเป็นความจริงได้อย่างง่ายดาย!
ซ่งจินเซินไม่อยากเสียเวลากับหลิงม่ออีกต่อไป เขายกมือขึ้นโบก แล้วพูดออกมาเพียงคำเดียว “ลงมือ”
ทั้ง 8 คนมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง หนึ่งในนั้นดูลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายสายตาเขาก็ฉายแววดุดันขึ้นมาทันที
“ลงมือเถอะ นี่ถือว่าเป็นโอกาสในการสร้างผลงานครั้งใหญ่เลยนะ”
“หากไม่ลงมือ แม้แต่สาขาย่อยพวกเราคงไม่มีโอกาสจะกลับไป”
“ชิบ ตอนนี้ยังมีสาขาย่อยอยู่อีกรึไง?”
สิ่งที่หลิงม่อทำในคืนนี้ส่งผลร้ายแรงมาก ไม่เพียงทำลายตัวทดลองสำคัญของสำนักงานใหญ่และชักจูงผู้คน แต่ยังฆ่าหัวหน้าและระบบกลางของสาขาย่อยอีกด้วย
กระทั่งนับตั้งแต่วินาทีที่หมายเลข 0 ตาย นิพพานสาขาย่อยในเมืองตงหมิงก็ได้หมดความหมายไปแล้ว หลิงม่อได้ทำลายศูย์กลางของสาขาย่อยแห่งนี้ไปแล้ว ส่วนที่เหลือก็แค่คนที่อาศัยบารมีเท่านั้น
หากบอกว่าไม่กลัว ก็คงเป็นเรื่องโกหก
แต่สำหรับคนที่อยู่ในเหตุการณ์พวกนี้ หากสู้สุดตัวซักตั้ง ก็จะสามารถไปใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยต่อที่นิพพานสำนักงานใหญ่ได้แล้ว และเรื่องอย่างนี้สำหรับพวกเขา เมื่อก่อนแค่คิดก็ยังไม่กล้าด้วยซ้ำ
แต่ถ้าหากไม่สู้ ก็จะต้องกลับไปใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง และใช้ชีวิตอยู่กับความหวาดกลัวซอมบี้อยู่ทุกลมหายใจอีกครั้ง
คนเหล่านี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นสายตาที่มองมาทางหลิงม่อ ก็เต็มไปด้วยรังสีเข่นฆ่า
หลิงม่อยังคงทำสีหน้าเรียบเฉย เขากวาดมองหน้าของคนกลุ่มนั้นที่กำลังล้อมเข้ามาทีละคนๆ
ขณะเดียวกัน คำสั่งทางจิต ได้ถูกส่งออกไปอย่างรวดเร็ว
“เขามีพวกอยู่ข้างหลัง ระวังด้วย” หนึ่งในนั้นพูดขึ้นเสียงเบา
“ยังไม่ต้องสนใจพวกที่ไม่กล้าออกมา แค่ฆ่าเขาก่อน ที่เหลือก็เสร็จล่ะ” อีกคนหนึ่งพูดขึ้น
สมาชิกนิพพานเหล่านี้เป็นผู้มีความสามารถพิเศษเกือบจะทั้งหมด วิธีการต่อสู้ร่วมกันของพวกเขาแตกต่างจากเหล่าทหารมาก
พวกเขาเกาะกันเป็นกลุ่มสามคนบ้าง สองคนบ้าง แล้วคอยจ้องหาโอกาสอย่างระมัดระวัง
ซ่งจินเซินคาบบุหรี่ไว้ในปาก แอบรู้สึกขัดใจเล็กน้อย
เมื่อกี้เขาตะโกนคำว่า “ลงมือ” อย่างดุดัน แต่ปรากฏว่าไม่มีใครพุ่งเข้าไปจริงๆ ซักคน
ไม่ต้องรอให้หลิงม่อมาพูดเยาะเย้ย แค่นี้เขาก็รู้สึกขายหน้าจะแย่แล้ว
คนพวกนี้อยากสร้างผลงาน แต่ก็ไม่อยากตาย
“สุดท้ายฉันก็ต้องเป็นคนนำทัพ! คนของสาขาย่อยนี่ไม่มีคุณภาพเอาซะเลย” นึกว่าอ้ายเฟิงจะมีความสามารถอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าจะทำให้ผิดหวังได้ขนาดนี้ แม้แต่เฉินเล่อก็ยังเอาแต่สร้างปัญหาเพิ่มให้ฉัน ไม่ฆ่าเจ้าหมอนี่ ฉันก็คงไม่มีหน้ากลับไป” ซ่งจินเซินพึมพำในใจ เขาแหวกเสื้อแจ็คเก็ตออก แล้วชักปืนออกมาจากเอวสองกระบอก
ท่าทางคาบบุหรี่ด้วยปาก และถือปืนไว้ในมือทั้งสองข้างอย่างนี้ของเขาดูดุดันไม่เบา แต่ก็ยังคงไม่อาจปลุกระดมความฮึกเหิมได้
ทุกคนกำลังจ้องมองไปที่เขา นั่นทำให้ซ่งจินเซินอดสงสัยไม่ได้ “คำพูดไร้สาระ” ของหลิงม่อเมื่อกี้ คงจะได้ผลอยู่บ้างสินะ…
“เจ้าพวกโง่เง่า!”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าซ่งจินเซินกระตุก มือทั้งสองข้างยกขึ้นพร้อมกัน ดวงตาพลันหรี่เล็กลงทันใด “วันนี้อย่าคิดว่าจะรอดไปได้เลย!”
เสียงลั่นไกอันแผ่วเบาของปืนเก็บเสียง ถูกเสียงตะโกนคำรามของซ่งจินเซินกลบจนมิด
คนทั่วไปเวลายิงปืนต้องเล็งเป้าก่อน แต่ซ่งจินเซินนั้นกลับลั่นไกทันทีที่ยกมือขึ้น
ในสถานการณ์อย่างนี้ ถึงแม้จะคอยระมัดระวังเขาไว้อย่างดี ก็อาจเป็นไปได้มากว่าจะถูกยิง
ทว่าขณะเดียวกับที่ซ่งจินเซินตะโกนคำนั้นออกมา กลับพบว่าหลิงม่อไม่ได้ยืนอยู่ที่เดิมแล้ว
กระสุนถูกยิงลงบนพื้นรัวๆ เสียงกระทบเบาๆ ดังขึ้นระลอกหนึ่ง ตามมาด้วยสะเก็ดไฟเล็กๆ มากมาย
“ไปไหนแล้ว!”
ซ่งจินเซินกวาดสายตามองหนึ่งรอบ ทันใดนั้นเขากลับได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลัง
ผู้มีความสามารถพิเศษคนหนึ่งที่หลบอยู่ข้างหลังเสาไฟตื่นตระหนก ไม่นานข้อพับเข่าของเขาก็มีรูแผลโผล่ขึ้นมาหนึ่งรู เขางอขาด้วยสีหน้าเจ็บปวดทันที
“อยู่ไหนวะ!”
ซ่งจินเซินลอบสบถด่าเขาว่าโง่เง่า พลางหมุนกายมองหาร่องรอยของหลิงม่ออย่างรวดเร็ว “ตั้งสมาธิให้ดี นี่ต้องเป็นการบิดเบือนการมองเห็นหรือไม่ก็การล่อลวงทางจิตซักอย่างแน่!”
ผู้มีความสามารถพิเศษคนนั้นเจ็บแทบตายขนาดนั้น ต้องไม่ใช่ภาพลวงตาแล้วแน่นอน ดังนั้นขณะที่ซ่งจินเซินตะโกนออกไปอย่างนั้น เขาก็ได้ตัดความเป็นไปได้นี้ออกไป
แต่เสียงพูดของเขาเพิ่งจะจบ ก็ได้ยินเสียงร้องครวญของผู้มีความสามารถพิเศษอีกคนดังขึ้น
ผู้มีความสามารถพิเศษคนนี้เป็นผู้มีพลังจิตเหมือนกัน แต่กลับไล่ตามหลิงม่อไม่ทัน ได้ยินซ่งจินเซินตะโกนพูดอย่างนั้นในใจก็คิดว่ามีเหตุผล เขาจึงหลับตาลง
คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะหลับตา พลังงานทางจิตกลุ่มหนึ่งก็พุ่งเข้ามาทางตัวเองทันที
ผู้มีความสามารถพิเศษคนนี้ลอบยินดีในใจ คิดว่าวิธีนี้ได้ผลตามคาดจริงๆ เขารีบรวบรวมพลังจิตเพื่อเตรียมตัวรับมือ
ถึงจะฆ่าหลิงม่อไม่ได้ แต่ก็ฉุดรั้งเขาไว้ได้ซักนิดก็ยังดี!
อีกอย่างขอเพียงลงมือ ความดีความชอบจะต้องตกเป็นเขาแน่นอน ที่เหลือเขาเพียงต้องรักษาชีวิตเอาไว้ให้ได้ก็เท่านั้น
แม้หลิงม่อจะแกร่งอีกซักเท่าใด แต่เขาจะฆ่าผู้มีความสามารถพิเศษมากขนาดนี้ได้เลยหรือ?
แต่คาดไม่ถึงว่าพอพลังงานทางจิตกลุ่มนั้นพุ่งมาถึงตรงหน้า กลับมลายหายไปทันใด กลับกัน เขาพลันรู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่ใบหน้าขึ้นมาแทน
เขาร้องลั่น แล้วรีบลืมตา ยกมือขึ้นกุมขอบกรามที่เต็มไปด้วยเลือด
ผู้มีความสามารถพิเศษที่อยู่อีกด้านเองก็หน้าซีดเซียว ทว่าเขาตอบสนองได้เร็วกว่า เสี้ยววินาทีที่เขารับรู้ได้ถึงอันตรายที่กำลังเข้ามาใกล้ เขาก็โฉบกายหลบออกไปด้านข้าง
ถ้าไม่อย่างนั้น เขากับผู้มีพลังจิตคนนั้นคงถูกเสียบติดกันจนกลายเป็นขนมถังหูลู่แล้ว
“ถึงขั้นคิดจะยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว!” ผู้มีความสามารถพิเศษคนนี้เหงื่อท่วมกาย พลางลอบคิดในใจ
“ไอ้บ้านี่…” ซ่งจินเซินกัดฟันกรอด จากการโจมตีของหลิงม่อดูออกได้ว่า ในสภาวะอย่างนี้ เขาเพียงโจมตีสร้างความวุ่นวายเท่านั้น
ถึงแม้ไม่มีใครตาย แต่เขากลับทำให้คนพวกนี้ซึ่งหวาดกลัวเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งกลัวเขามากขึ้นไปอีก
และในระหว่างนี้ ก็เหมือนกับเขาถูกหลิงม่อตบหน้าเข้าฉาดใหญ่
พอผู้มีพลังจิตคนนั้นได้รับบาดเจ็บ ทุกคนก็มองมาทางเขาด้วยสายตายุ่งเหยิงเหมือนกำลังพูดว่า “บิดเบือนการมองเห็นบ้านแม่เอ็งน่ะสิ!”
—————————————————————————–