แต่ท่าทางของซ่งจินเซินก็ไม่เหมือนคนที่จงใจปกปิดอะไรไว้ ถึงจะเค้นถามต่อไปอีก ก็คงไม่ได้อะไรเพิ่มเติมแน่นอน
ทุกคนเกรียบกริบ บรรยากาศก็ตึงเครียดตามไปด้วย
ซ่งจินเซินเหงื่อท่วมศีรษะ แขนของเขากระตุกสั่นเบาๆ ราวกับว่ารับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาอ้าปากพูด “อย่า…”
เสียงพูดยังไม่ทันจบ สีหน้าของเขาก็ค้างเติ่งไปทันที
เมื่อรูแผลปรากฏขึ้นกลางหว่างคิ้วของเขา ร่างของเขาก็ล้มหงายหลังลงไปกับพื้น
พลั่ก!
เห็นศพของซ่งจินเซินล้มลงมาข้างเท้าตัวเอง มู่เฉินถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว
เขามองหน้าหลิงม่ออย่างตะลึงเล็กน้อย แล้วถามว่า “ทำไมจู่ๆ ก็…”
หลิงม่อนั่งยองๆ ลงไปโดยไม่พูดอะไร เขาคว้าแขนของซ่งจินเซินพลิกออกมาไปด้านนอก เผยให้เห็นนิ้วมือที่วางอยู่บนไกปืน “เขาไม่ได้ซื่อตรงจริงๆ”
“สันดานโจรจริงๆ” มู่เฉินมุมปากกระตุก
“เขาก็รู้ตัวว่าจะไม่รอด ไม่อยากนั่งรอความตายอยู่เฉยๆ ก็เป็นเรื่องปกติ” หลิงม่อพูดไป ก็ลูบคลำค้นตามร่างกายศพไปด้วย
พอเขาเริ่มค้น ก็ได้สิ่งของที่ไม่สำคัญออกมาเป็นกอง
สิ่งที่ดูเหมือนพอจะมีประโยชน์มากที่สุด ก็คือยุหรี่สองซอง และกระดาษเนื้อแข็งที่ดูเหมือนเป็นของประเภทนามบัตรหนึ่งแผ่น
“มีระดับจริงๆ…”
มู่เฉินจ้องบุหรี่สองซองนั่นตาเป็นมัน “ยี่ห้อที่เมื่อก่อนแพงๆ นั่นใช่ไหม? นึกไม่ถึงว่าคนคนนี้จะมีของอย่างนี้ด้วย…ถ้าอย่างนั้นสมาชิกระดับที่สูงกว่าในสำนักงานใหญ่ จะได้รับอะไรบ้างนะ…”
แวบหนึ่ง เขาคิดว่าตัวเองเข้าใจความรู้สึกของซ่งจินเซิน แต่ไหนแต่ไรคนเราก็ไม่รู้จักพออยู่แล้ว ในสภาพแวดล้อมอย่างนี้ ก็มีแต่จะทำให้เกิดความปรารถนาที่แรงกล้ากว่าเดิม จากนั้นก็เริ่มต่อสู้สุดชีวิตเพื่อเติมเต็มความปรารถนานั้น
อาจฟังดูไม่มีความหมาย แต่กลับมีคนไม่น้อยที่รู้สึกยินดีกับสิ่งนี้
“รับไว้” หลิงม่อโยนหนึ่งในบุหรี่สองซองนั้นให้เขา แล้วตัวเองก็ยัดอีกหนึ่งซองใส่กระเป๋ากางเกง
มู่เฉินยกมือรับไว้ สีหน้าดูตื่นเต้นดีใจมาก “นี่นายให้ฉันจริงหรอ?”
“ฉันไม่ได้อยากได้บุหรี่ มีก็ดี ไม่มีก็ได้” หลิงม่อตอบอย่างไม่ยี่หระนัก “อีกอย่างถ้าสูบเยอะกลิ่นจะติดตัว จะเป็นการล่อซอมบี้”
“เอาน่า ตอนนี้นอกจากมีชีวิตอยู่แล้วก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป อย่างไรก็ต้องมีความต้องการกันบ้างแหละน่า” มู่เฉินดึงบุหรี่ออกมาสูบหนึ่งมวนอย่างไม่ชักช้า จากนั้นเขาก็ลังเลไปเล็กน้อย แล้วพูดเสริมว่า “ขอบใจมากนะลูกพี่”
“เรียกหัวหน้าก็พอแล้ว” หลิงม่อหันไปสนใจกระดาษแข็งแผ่นนั้นแทน
“โอเค…” มู่เฉินพยักหน้า
พอพลิกด้าน ตัวหนังสือบรรทัดหนึ่งบนกระดาษแข็งแผ่นนั้นก็ปรากฏสู่สายตา
หลี่ย่าหลินยืนมองอยู่ข้างหลัง เธออ่านอย่างติดๆ ขัดๆ “ระดับภารกิจ : S รายละเอียดภารกิจ : ช่วยให้หมายเลข 1 กลายเป็นร่างสมบูรณ์ ภายใต้เงื่อนไขที่จะไม่ทำให้ร่างกายของมันเสียหาย หมายเหตุ : มาตรฐานของร่างสมบูรณ์—ระดับความแกร่งของร่างกายเทียบเท่ากับระดับสูงสุดของซอมบี้ธรรมดา แต่ต้องใช้ความสามารถพิเศษตามคำสั่งเท่านั้น หากภารกิจไม่สำเร็จ ไม่ต้องรับบทลงโทษ”
“นี่มันอะไรกัน ฟังดูแปลกชะมัด” ซน่าน่าถามอย่างสงสัย
เย่เลี่ยนดึงสวี่ซูหานไว้ พร้อมกับขยับเข้าไปใกล้ด้วย
“ภารกิจที่นิพพานสำนักงานใหญ่มอบหมายให้” หลิงม่อบอก
เมื่อกี้แค่ได้ยินซ่งจินเซินพูด แต่ตอนนี้พอได้มาเห็นกับตาอย่างนี้ สัมผัสสมจริงขึ้นมากทีเดียว
กลไกการแข่งขันอันสมบูรณ์แบบ บวกกับระบบโคจรอย่างมีประสิทธิภาพที่ได้จากการประกาศภารกิจ รวมถึงการผลัดเปลี่ยนสมาชิกที่มีความกระตือรือร้น…สิ่งเหล่านี้ทำให้หลิงม่อสนใจในตัวหัวหน้าใหญ่ของนิพพานมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ถึงได้สร้างกองกำลังอย่างนี้ขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว
หากพูดถึงเรื่องการรวมกำลังคนเพื่อตั้งกลุ่ม นิพพานสู้ฐานทัพฟอลคอนซึ่งมีภูมิหลังเป็นกองทัพมาก่อนไม่ได้ แต่หากวัดกันเรื่องความเป็นระเบียบและการแข่งขัน นิพพานกลับเหนือชั้นกว่าฟอลคอนไปไกลโข
สองสถานที่นี้คือค่ายผู้รอดชีวิตที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่หลิงม่อเคยเห็นมาจนถึงปัจจุบัน ทว่าหากเทียบกันแล้ว นิพพานกลับเหนือกว่าหนึ่งขั้น
อย่างน้อยหากมีกลไกอย่างนี้ ก็สามารถมั่นใจเรื่องพัฒนาการของนิพพานในอนาคตได้แล้ว
“หากเป็นอย่างนี้ ก็แสดงว่าไม่มีใครบอกได้ว่าที่นี่เกิดอะไรขึ้นบ้าง” หลิงม่อยืดตัวตรง แล้วพูดขึ้น
เขาเบนสายตาไปทางมู่เฉิน “แล้วก็จะไม่มีใครเปิดโปงนายได้ด้วย”
“เรื่องที่นายจะให้ฉันไปทำ…” มู่เฉินทำหน้ายุ่ง เขาเดาได้รางๆ แล้ว
แต่ต้องเป็นคนบ้าขนาดไหน ถึงจะคิดเรื่องอย่างนี้ออกมาได้กัน…
“หลังจากที่นายหนีไปที่สำนักงานใหญ่โดยใช้ตัวตนของนาย ก็ไม่น่าจะมีปัญหาไปซักพัก ถึงแม้พวกเขาจะสงสัยนาย แต่กว่าจะทำเรื่องสอบสวน ก็ต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง ซึ่งในระหว่างนี้ พวกนั้นจะไม่ทำอะไรนายแน่นอน” หลิงม่อบอก
มู่เฉินเกาหัว แล้วบอกว่า “แต่คนของสาขาย่อยก็ไม่ได้ตายทุกคน…”
“แค่ทำเสียงโครมครามนิดหน่อยให้พวกนั้นตกใจ พวกนั้นก็คงจะหนีเตลิดไปไกลแล้ว ถึงแม้จะซ่อนตัวอยู่แค่ในเมืองนี้ก็ตาม” หลิงม่อพูดอย่างใจเย็น “พวกเขาไม่รู้ว่าสำนักงานใหญ่อยู่ที่ไหน ถึงแม้อยากตามหา แต่ก็คงทำไม่สำเร็จ”
มู่เฉินได้ยินกลับสับสน “ไอ้นิดหน่อยของนายนี่หมายถึงระดับไหนกันแน่…”
“สรุปคือ นายแค่ต้องซื้อเวลาให้พวกฉันนิดหน่อย แค่นั้นก็พอ นอกเหนือจากนี้นายก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว” หลิงม่อพูดอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย อย่าทำเป็นเมินคำถามฉันไปเฉยๆ นะเว้ย!” มู่เฉินโวยวาย
“คืนนี้พักผ่อนก่อน พรุ่งนี้ค่อยออกเดินทางแล้วกัน” หลังพูดจบ หลิงม่อก็หันไปมองสวี่ซูหาน
สถานการณ์ของเธอในตอนนี้ยังคงอยู่ในระหว่างกลายพันธุ์ หรือก็คืออยู่ในช่วงก้ำกึ่งที่จะกลายร่างก็ไม่กลายร่าง
เวลาส่วนมากเธอจะอยู่ในสภาวะดวงจิตสับสนยุ่งเหยิง นานๆ ครั้งจึงจะได้สติขึ้นมา
เมื่อใดที่เชื้อไวรัสในร่างกายขึ้นเป็นฝ่ายเหนือกว่า หรือไม่ก็รวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว สวี่ซูหานก็จะกลายร่างโดยสมบูรณ์
และสิ่งที่หลิงม่อพอจะทำให้เธอได้ในเวลาสั้นๆ นี้ ก็คือสังเกตความเปลี่ยนแปลงทางด้านดวงจิตของเธอไว้ ทันทีที่มันเกิดปัญหา ก็รีบเอาเชื้อไวรัสเพิ่มเติมให้เธอ เพื่อทำลายสมดุลอีกครั้ง
ทว่าวิธีนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะได้ผลเสมอไป สวี่ซูหานยังคงมีเปอร์เซ็นต์กลายร่างได้ตลอดเวลา
แต่มีการเฝ้าระวังจากพวกเย่เลี่ยนอยู่ ถึงแม้เธอจะคลุ้มคลั่งกะทันหัน ก็ไม่ต้องกลัวว่าเธอจะไปทำร้ายใคร
เปลวเพลิงลุกลามใกล้เข้ามาเรื่อยๆ กลิ่นเหม็นไหม้ยากจะต้านทานลอยตลบอบอวลไปทั่ว หลิงม่อเร่งให้ทุกคนไปจากที่นี่โดยเร็ว
ก่อนจะออกเดินทาง มู่เฉินถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์นัก “นายจะทำให้พวกนั้นตกใจไม่ใช่หรอ?”
ปรากฏว่าหลิงม่อเพียงยิ้มเบาๆ แล้วบอกว่า “ทำไปแล้ว”
“หา?” มู่เฉินงง หมายความว่าไงอีกล่ะเนี่ย?
………..
“ว๊ากกกกก! ช่วยด้วย!”
ในถนนเส้นหนึ่งบริเวณประตูหลังของตึกใหญ่ มีคนสองคนกำลังวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต
สองคนนี้สีหน้าซีดเผือด เหมือนกำลังตกใจมาก
หนึ่งในสองคนนั้นวิ่งหนีไปด้วย พลางหันหลังไปมองด้วย ส่วนอีกคนก็ถามอย่างหวาดกลัว “เป็นไง ตามมารึเปล่า?”
“มะ…ไม่มั้ง!”
สุดสายถนนฝั่งนั้นโล่งเปล่า แม้แต่เงาคนก็ไม่มีให้เห็น
สองคนนี้พลันโล่งใจ แล้วพากันชะลอฝีเท้าลงช้าๆ
“พักแป๊บ ฉันจะขาดใจตายอยู่แล้ว” หนึ่งในนั้นค่อมเอวลง ชันฝ่ามือกับเข่า พร้อมหอบหายใจแรง
ส่วนอีกคนหลับหันซ้ายหันขวาอย่างกังวล แล้วถามว่า “มันเป็นตัวอะไรกันแน่วะ?”
“ฉันจะไปรู้ได้ไงวะ เอาเป็นว่าพวกเรารับมือไม่ไหวหรอก…” คนคนนั้นยังคงหอบหายใจแรง แล้วบอกว่า “อีกอย่างเมื่อกี้ได้ยินเสียงไหม? ดูเหมือนสถานการณ์ฝั่งนั้นก็ไม่ค่อยสู้ดีเหมือนกัน เดาว่าพวกนั้นคงลำบากมากแน่”
“ก็จริง” ชายคนที่หันซ้ายมองขวาเพิ่งจะหันหน้ากลับไป แต่ทันใดนั้นเขาก็ต้องเบิกตากว้าง
เขาอ้าปากกว้าง แล้วมองไปข้างหลังของชายอีกคนด้วยสีหน้าตื่นกลัว ขาทั้งสองข้างเหมือนไร้เรี่ยวแรงไปทันที
ชายคนนั้นเองก็กลั้นหายใจโดยอัตโนมัติ ลูกตาของเขากลอกไปด้านข้างช้าๆ เพื่อพยายามเหลือบมองด้านหลังตัวเองด้วยหางตา
หางตาเขาเหลือยเห็นอะไรบางอย่างสีขาวๆ ขณะเดียวกันเงาดำขนาดใหญ่ ก็ได้ทาบทับเงาร่างของเขาจนมิด
ด้านบนของเงาดำขนาดใหญ่นี้ ยังมีขนยาวๆ ลอยไหวอยู่อีกหลายเส้นด้วย
“เอื้อก”
ชายคนนั้นกลืนน้ำลายด้วยความตระหนก จากนั้นเขาก็ค่อยๆ เลื่อนสายตากลับมาข้างหน้า
สองคนนั้นมองตากันแวบหนึ่ง แล้วไม่นานก็ตะโกนเสียงดังออกมา พร้อมกับสาวเท้าวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว
พวกเขาวิ่งหนีด้วยความเร็วโดยไม่คิดหันกลับมามอง และหายลับไปจากสายตาตรงสุดสายถนน
ณ จุดที่พวกเขาเพิ่งยืนกันอยู่เมื่อกี้ เงาดำนั้นยังคงยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน
“เอาล่ะเสี่ยวป๋าย เรียบร้อยแล้ว” เสียงของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งดังมาจากบนร่างของเงาดำนั้น
ในที่สุดเงาดำนั้นก็ขยับเขยื้อน เส้นไหมสีเงินที่ฟูฟ่องอยู่บนหัวเหมือนไม้กวาดหดกลับไป
“เสี่ยวป๋ายทำได้ดีมาก พวกนั้นตกใจวิ่งหนีไปเร็วมาก” เด็กผู้หญิงเอ่ยชม
“แบ๊!” เงาดำที่ถูกขานชื่อว่าเสี่ยวป๋ายตอบรับเสียงเบา
เมื่อเงาดำนี้ค่อยๆ ย่างเท้าออกมายืนภายใต้แสงจันทร์ ภาพเด็กผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่งขี่คอหมีแพนด้ากลายพันธุ์ขนาดใหญ่ก็ปรากฏชัดขึ้น
ทว่าสองคนนั้นวิ่งหนีไปจนไม่เห็นเงาแล้ว พวกเขาจึงไม่ทันได้เห็นภาพนี้…
—————————————————————————–