ทว่า ขณะที่หลี่ย่าหลินลากซอมบี้ตัวหนึ่งเข้าไปในร้านเสื้อผ้า แล้วเตรียมจะควักก้อนเหนียวหนืดเหมือนอย่างเคย จู่ๆ มือของเธอกลับชะงักอยู่บนหัวของซอมบี้ตัวนั้น
ในดวงตาสีแดงขาวผสมสีเหลืองอำพันของเธอ กำลังฉายแววแปลกไปจากปกติ
“ดูเหมือน…”
หลี่ย่าหลินเอียงคอ ทำท่าครุ่นคิดอย่างหนักอยู่ครู่หนึ่ง
และแล้วเธอก็เจอความทรงจำที่เกี่ยวข้องอยู่ในคลังความจำอันยุ่งเหยิงอย่างยากลำบาก—
“อืม…ไม่ใช่”
หลังจากส่ายหน้าไปมา มือของหลี่ย่าหลินก็พุ่งลงไป
“ฉึก!”
เพียงศูนย์จุดวินาที เมื่อมือของหลี่ย่าหลินพุ่งลงไปและชักกลับขึ้นมา บนจูบอสรพิษของเธอ ก็มีก้อนเหนียวหนืดก้อนเล็กๆ เพิ่มขึ้นมาหนึ่งก้อน…
ขณะเดินออกจาร้านเสื้อผ้า หลี่ย่าหลินก็อดหันกลับไปมองซอมบี้ตัวนั้นอีกครั้งไม่ได้
และในตอนนี้สิ่งที่ผุดขึ้นมาในสมองของเธอ กลับเป็นเงาร่างเลือนรางของใครอีกคนหนึ่ง
สิ่งที่เงาร่างในสมองของเธอเหมือนซอมบี้ตัวนี้คือ เขาสวมเสื้อออกกำลังกายที่คล้ายๆ กัน
“แต่ว่า เป็นใครกันแน่นะ?” หลี่ย่าหลินพยายามครุ่นคิดอีกครั้ง แล้วเงาร่างในสมองของเธอเงานั้นก็ชัดเจนขึ้นมาเล็กน้อย
แต่เธอเพิ่งจะมองเห็นผมหางม้าสูงๆ เงาร่างนั้นกลับเริ่มเลือนรางขึ้นมาอีกครั้ง
ภาพตัดความทรงจำมากมายผุดขึ้นมาไม่ขาดสาย และไม่นานภาพเหล่านี้ก็กลบความทรงจำเกี่ยวกับเงาร่างจนมิด
สายตาของหลี่ย่าหลินกลับมาดูเหม่อลอยอีกครั้ง เธอชะงักเท้าเล็กน้อย แล้วจากนั้นก็เดินออกจากร้านค้าแห่งนี้ไปอย่างไม่ลังเลซักนิด…
ไม่มีใครสังเกตเห็นเหตุการณ์นี้ แม้แต่หลิงม่อก็ยังสัมผัสถึงคลื่นดวงจิตในเสี้ยววินาทีนั้นของหลี่ย่าหลินไม่ได้
………..
ณ เวลานี้ในโรงแรม มู่เฉินที่เพิ่งจะกำจัดซอมบี้ที่มีอยู่ไม่กี่ตัวในชั้นหนึ่งเสร็จ กำลังนั่งอยู่บนโถงทางเดินในสภาพเหงื่อท่วมหัว
ชั้นบนมีซอมบี้เยอะกว่านี้ แต่เขาขี้เกียจจะไปยุ่งด้วยแล้ว
และคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา ก็คือสวี่ซูหานที่ดูเหมือนไม่มีปฏิกิริยาอะไร
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความวุ่นวายเลยทำให้เธอไม่อาจใช้ความคิดได้ หรือเธอกำลังตกอยู่ในโลกของตัวเองที่คนรอบข้างไม่อาจรบกวนได้กันแน่
มู่เฉินรู้สึกว่าน่าจะเป็นอย่างแรกมากว่า แต่สายตาที่แปรเปลี่ยนไปมาอยู่เสมอของสวี่ซูหาน กลับทำให้มู่เฉินสงสัยในการตัดสินใจของตัวเองอีกครั้ง
เขามองผิดไปเองล่ะมั้ง?
มู่เฉินยื่นมือออกไปข้างหน้าสวี่ซูหาน แล้วโบกไปโบกมาอย่างระมัดระวัง
“กรร!”
สวี่ซูหานชะโงกคอมาข้างหน้าทันที ท่าทางเธอเหมือนเตรียมพร้อมจะกระโจนเข้าทุกเมื่อ
มู่เฉินหนังศีรษะชา เขารีบหดตัวถอยกลับตามจิตใต้สำนึก
หลังจากที่ทั้งสองมองหน้ากันอย่างไม่ละสายตาอยู่สองนาทีผ่านไป มู่เฉินก็พบว่า ขอเพียงตัวเองไม่ขยับ สวี่ซูหานก็ดูเหมือนจะสงบมากเหมือนกัน
ซึ่งนั่นไม่ใช่นิสัยของซอมบี้ หรือเป็นเพราะหากเขาไม่ขยับเขยื้อน สวี่ซูหานก็จะไม่รู้สึกถึงภัยอันตราย?
มู่เฉินเค้นสมองคิดอย่างหนักอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังคงไม่กล้ายืนยันการคาดเดาของตัวเองอยู่ดี
เขาพบว่าตัวเองกับหลิงม่อมีข้อแตกต่างเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างแล้ว — ความมั่นใจ
เมื่อคนธรรมดาเผชิญหน้ากับซอมบี้ นอกเหนือจากความกลัว ก็คือความไม่รู้
ไม่รู้ว่านอกจากการโจมตี ซอมบี้ยังมีรูปแบบพฤติกรรมแบบใดอีก ยิ่งไม่รู้ว่าซอมบี้แต่ละตัว ล้วนมี “นิสัยเฉพาะตัว” ที่แตกต่างกันออกไป
และเพราะอยากอยู่ในระดับที่รู้เขารู้เรา นิพพานถึงได้เริ่มทำการวิจัยเกี่ยวกับเชื้อไวรัส
แต่หลิงม่อล่ะ? เขาเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้ได้อย่างไร?
ไม่เพียงเข้าใจ เขายังมีความมั่นใจอย่างหนึ่งต่อการตัดสินใจของตัวเอง
และเพราะความมั่นใจนี้ ที่ทำให้เขาตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง อย่างเช่นการช่วยสวี่ซูหาน
ทว่าอย่างน้อยพอรู้หากตัวไม่ขยับก็จะไม่มีเรื่องอะไร มู่เฉินก็คลายใจได้ชั่วคราว
เขาจ้องสวี่ซูหาน ในสมองคิดว่าพวกหลิงม่อไปถึงไหนกันแล้ว แต่กลับไม่ได้สังเกตเห็นว่าในสายตาของสวี่ซูหานฉายแววดิ้นรนขัดขืนอยู่เป็นพักๆ
“อึก…”
สวี่ซูหานอ้าปาก เสียงเบาๆ ถูกเปล่งออกมาจากลำคอของเธอ
ดวงตาเริ่มแดงก่ำมากขึ้นเรื่อยๆ แต่จู่ๆ สีหน้าของเธอกลับดูทุกข์ทรมานขึ้นมา
ทันใดนั้น เธอก็หลับตาลง เม้มปากแน่น มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น
สิบกว่าวินาทีผ่านไป นิ้วมือของเธอค่อยๆ คลายออก พร้อมกับลืมตาขึ้นช้าๆ
ตอนนี้สีแดงเลือดในตาของเธอ กลับจางลงเล็กน้อย
“อึก…มู่…”
สวี่ซูหานขยับปากด้วยสีหน้าที่เหมือนกำลังพยายามต่อสู้ เสียงที่เปล่งออกมาของเธอแหบแห้งมาก เหมือนกับไม่ได้ดื่มน้ำมาเป็นเวลานานจนคอแทบลุกเป็นไฟ
ตอนแรกมู่เฉินยังเหม่อลอยอยู่ แต่หลังนิ่งไปสองวินาที เขาก็ได้สติทันใด “เธอพูดแล้วหรอ?!”
ขณะเดียวกับที่ถาม เขาก็ลุกขึ้นยืนอย่างไม่รู้ตัว
อาจเป็นเพราะการแสดงออกและเสียงที่ดังเกินไป ดวงตาของสวี่ซูหานจึงแดงขึ้นครู่หนึ่ง แล้วเธอก็มุดหน้าลงเหมือนปวดหัวมาก จากนั้นก็ส่ายหัวพูดว่า “อย่า…เสียงดัง…”
สายตาของเธอยังคงจับจ้องมาที่มู่เฉิน แต่มู่เฉินในเวลานี้ ร่างกายกลับเต็มไปด้วยรอยเลือดมากมาย
หัวใจมนุษย์ดวงนั้นเหมือนกำลังเต้นอยู่ตรงหน้าเธอ กลิ่นอายของมนุษย์ลอยโชยเข้ามาในจมูกของเธอไม่ขาดสาย
สวี่ซูหานกลืนน้ำลาย แล้วพูดอย่างทรมานอีกครั้ง “อย่า…เสียงดัง…”
“ได้…ได้ ฉันจะไม่เสียงดัง” มู่เฉินยกมือทั้งสองข้างขึ้น เขาพยายามควบคุมอาการช็อก พลางพูดขึ้นว่า “ฉันจะไปตามหลิงม่อ บอกเขาว่าเธอดีขึ้นมากแล้ว”
“เดี๋ยว…” สวี่ซูหานเบิกตากว้าง สายตาดุดันนั่นทำให้มู่เฉินต้องชะงักเท้าทันที
ตอนนี้ก็มีสติจนพูดได้แล้วไม่ใช่หรอ? ทำไมยังน่ากลัวขนาดนี้ล่ะ…
“ฉันแค่ได้สติ…ชั่วคราวเท่านั้น” สวี่ซูหานพูด พร้อมกับสะบัดหัวไปด้วย ความจริงเธอไม่เหมือนได้สติแล้ว แต่เหมือนอยู่ในสภาวะกึ่งตื่นมากกว่า
ทว่าแค่เธอเปิดปากพูดได้ ก็ถือว่าเป็นพัฒนาการที่น่าทึ่งมากแล้ว ขณะเดียวกับที่รู้สึกทึ่งในตัวหลิงม่อ มู่เฉินก็ฉงนสงสัยเกี่ยวกับอาการในตอนนี้ของสวี่ซูหานมาก และอาการในตอนนี้บ่งบอกถึงอะไร ก็มีเพียงหลิงม่อคนเดียวเท่านั้นที่รู้…
“ถึงจะแค่ชั่วคราว แต่ก็ถือเป็นเรื่องดี! ไม่ได้การ ยังไงฉันก็ต้องไปหาหลิงม่อ ไปตามเขามาช่วยดูเธอ” มู่เฉินพูดก็ส่วนพูด แต่เขากลับไม่กล้าเดินผ่านสวี่ซูหานไปตรงๆ
สวี่ซูหานเองก็ไม่มีท่าทีว่าจะหลีกทางให้แต่อย่างใด กลับส่ายหัวแล้วบอกว่า “ไม่…ไม่ต้องรีบร้อน ฉันมีเรื่อง…จะพูด…”
พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ ในหูของสวี่ซูหานก็มีเสียงพูดของซย่าน่าในตอนนั้นดังขึ้น
“พอถึงเวลา เธอจะนึกขึ้นมาได้เอง”…และตอนนี้ สวี่ซูหานก็จำได้แล้ว
และตอนนี้ ในสถานการณ์ที่มีแค่มู่เฉินอยู่ตรงนี้คนเดียว ก็เป็นโอกาสเพียงหนึ่งเดียว…
คำพูดประโยคหนึ่งติดอยู่ตรงริมฝีปากของสวี่ซูหานเนิ่นนาน…
“เด็กสาวสามคนนั้นที่อยู่กับหลิงม่อ ไม่ใช่คน…”
แต่ภายใต้สายตาสงสัยของมู่เฉิน สุดท้ายสวี่ซูหานกลับพูดไม่ออก
พวกเธอไม่ใช่คน แล้วตัวเองใช่หรอ?
ในความคิดอันยุ่งเหยิงของสวี่ซูหาน บางครั้งเธอก็ยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นสวี่ซูหานคนก่อน ที่มักจะถือเครื่องอัดเสียง และเล็งปืนไรเฟิลอยู่เสมอ
แต่ความคิดที่ว่า “พวกเย่เลี่ยนเป็นซอมบี้” กลับมักจะแทรกขึ้นมาในความคิดอยู่เสมอ
สวี่ซูหานเคยช็อก และเคยกลัวมาก่อน
แต่เมื่อเธอมองเรื่องนี้ในฐานะซอมบี้ เธอกลับรู้สึกเกรงกลัว และปรารถนาที่จะเป็นอย่างพวกเธอ…
และตอนนี้พอได้เห็นสายตาอย่างนั้นจากดวงตาของมู่เฉิน สวี่ซูหานก็เข้าใจ
“เป็นอะไรไป?” มู่เฉินถาม
เขากังวลว่าสวี่ซูหานจะคลั่งขึ้นมากะทันกัน ถึงแม้ตอนนี้เธอจะพูดได้ แต่สีหน้าท่าทางกับสายตากลับยังแสดงออกถึงลักษณะของซอมบี้อยู่
“ช่วย…ช่วยบอกกับ…”
สวี่ซูหานพยายามขยับปาก “กับหลิงม่อ ว่าฉัน…ขอบคุณมาก…”
นึกไม่ถึงว่าเสี้ยววินาทีที่พูดจบ เธอก็ดูผ่อนคลายลงมาก
แม้แต่ในสมองอันยุ่งเหยิง ก็เหมือนจะเข้าใจอะไรมากมายในเวลาสั้นๆ
ตัวเองกลายพันธ์แล้ว ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน เรื่องนี้คงเป็นเรื่องที่เธอไม่มีทางรับได้
แต่พอลองนึกถึงพวกเย่เลี่ยนแล้ว สวี่ซูหานกลับรู้สึกว่า บางทีเรื่องอาจไม่ได้แย่มากอย่างที่คิดก็ได้
ขอเพียงเธอควบคุมตัวเองได้ เหมือนอย่างที่ซย่าน่าบอก…
และหากอยากควบคุมความปรารถนาไปพร้อมกัน วิธีที่ดีที่สุด ก็คือห้ามปล่อยให้เชื้อไวรัสกัดกร่อนความคิดและความทรงจำของตัวเอง…
“มะ…มู่เฉิน” สวี่ซูหานเอนตัวพิงผนัง แล้วบอกว่า “นายช่วย…เล่าเรื่องให้ฉันฟังหน่อย”
“หา?”
มู่เฉินอึ้ง ให้ช่วยบอก “ขอบคุณ” น่ะยังพอเข้าใจได้ แต่ให้เล่าเรื่อง…นี่มันอะไรกัน?!
แต่เขาก็ยังฝืนถามออกไป “เล่าเรื่องอะไร?”
“ความ…ทรงจำ…” สวี่ซูหานพูดต่อ
“อย่างนี้เองหรอ” ถึงแม้จะไม่เข้าใจนัก แต่มู่เฉินก็พยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นฉันจะเริ่มเล่าจากเรื่องของเธอแล้วกันนะ? ถึงแม้ฉันจะไม่ค่อยเข้าใจก็เถอะ…”
“ไม่…” สวี่ซูหานส่ายหน้า “เล่า…เรื่องหลิงม่อแล้วกัน แล้วก็…เรื่องพวกนาย”
หลิงม่อนิ่งไปหลายวินาที “ทำไมจู่ๆ ฉันถึงสัมผัสได้ถึงความไม่ประสงค์ดีล่ะ?”
หลังบ่นจบ มู่เฉินก็กระแอมเบาๆ หนึ่งที พร้อมขมวดคิ้ว แล้วเริ่มพูดโดยทำสีหน้าเหมือนกลืนแมลงวันหัวเขียวลงไป “สองวันก่อน หลิงม่อพาพวกเรา…”
ระหว่างที่มู่เฉินเล่าเรื่องให้ฟัง สีหน้าของสวี่ซูหานเริ่มดูอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด…
—————————————————————————–