อาการกระตุกสั่นของหมีแพนด้ากลายพันธุ์เหมือนอาการที่จู่ๆ ร่างกายก็ถูกติดตั้งเครื่องยนต์พลังงานสูง แต่ร่างกายรับแรงขับเคลื่อนอย่างนี้ไม่ไหว
ทว่าภายใต้การกัดกร่อนของเชื้อไวรัส ร่างกายของมันกำลังปรับตัว เพื่อให้ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ใหม่เครื่องนี้ได้
หลิงม่อจดจ่อสมาธิทั้งหมดไปที่เสี่ยวป๋าย เหมือนกลัวว่าจะพลาดรายละเอียดเล็กๆ ไป
“กร๊อบ กร๊อบ กร๊อบ…”
เสียงที่เหมือนกระดูกกำลังเปลี่ยนรูป ดังมาจากทุกจุดของร่างกายเสี่ยวป๋าย
เสียงครางของเสี่ยวป๋ายทรมานกว่าเดิม ร่างกายก็เริ่มกระตุกสั่นรุนแรงขึ้น
“เป็นเพราะวิวัฒนาการไปพร้อมกับกลายพันธุ์เพราะติดเชื้อ เลยมีปฏิกิริยารุนแรงอย่างนี้งั้นหรอ?” หลิงม่อยื่นมือไปลูบขนยาวปุกปุยของเสี่ยวป๋าย จากนั้นก็ก้มหน้ามองหยาดเหงื่อบนฝ่ามือตัวเองอย่างครุ่นคิด
เสียงกระดูกเคลื่อนดังมาอีกครั้ง ขณะเดียวกันกล้ามเนื้อบนร่างของเสี่ยวป๋ายก็เริ่มพองขึ้นด้วย
ขนาดตัวที่เดิมก็ใหญ่มากแล้วของมัน ตอนนี้ใหญ่กว่าเดิมถึงหนึ่งรอบ
“ถึงฉันจะไม่อยากให้แกตัวเล็กลง แต่ก็ไม่ได้อยากให้ตัวใหญ่เกินไปนะ…” หลิงม่ออดทอดถอนใจไม่ได้
หากใหญ่กว่านี้ไปเรื่อยๆ มันจะเป็นที่สะดุดตาเกินไปแล้ว
ถึงแม้จะรักษาระยะห่างจากหลิงม่อ แต่ก็ยังต้องแบกรับความเสี่ยงที่อาจถูกคนอื่นจับได้
แต่ตอนนี้เขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดีนี่นา!
เขาทำได้เพียงปลอบประโลม เพื่อบรรเทาความทรมานให้เสี่ยวป๋ายเท่านั้น
ในอีกด้าน ยิ่งมันทรมาน พลังจู่โจมที่มีต่อหลิงม่อก็ยิ่งรุนแรงขึ้น หลายครั้งที่สายสัมพันธ์ทางจิตเกือบขาดสะบั้น แต่หลิงม่อกลับดึงสถานการณ์กลับมาได้ทันเวลา
หลังจากที่ร่างกายมีปฏิกิริยารุนแรง คลื่นดวงจิตของเสี่ยวป๋ายก็เริ่มมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
ทว่าความจริงนี่เป็นปฏิกิริยาที่แกติอยู่แล้ว ทุกครั้งที่วิวัฒนาการหรืออัพเกดร นอกจากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย สติปัญญาก็จะมีพัฒนาการขึ้นในระดับหนึ่ง
แต่หลิงม่อไม่ได้มีความเข้าใจเรื่องสัตว์กลายพันธุ์เท่าซอมบี้ เพราะอย่างนั้นเขาจึงทำได้เพียงมองดูเฉยๆ
เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ร่างกายเสี่ยวป๋ายที่เดิมกระตุกสั่นเบาบ้างแรงบ้างเริ่มคงที่มากขึ้น
เสียงกระดูกเคลื่อนในร่างกายของมันดังอยู่อย่างนั้นตลอดไม่เคยหยุด จนหลิงม่อกลัวว่ามันจะตัวใหญ่ขึ้นอีกรอบหนึ่ง
แต่คิดไม่ถึงว่าหลังจากเสียง “กร๊อบ” ดังขึ้นหนึ่งครั้ง หมีแพนด้ากลายพันธ์ตัวนี้กลับตัวเล็กลงหนึ่งรอบ และกลับไปมีร่างกายขนาดเท่าเดิมอีกครั้ง
“เอ๋?”
หลิงม่อขยี้ตาสองสามที เขานึกว่าตัวเองตาฝาดไป
คิดไม่ถึงว่าหลายวินาทีต่อมา ร่างกายเสี่ยวป๋ายจะกลับเข้าสู่กระบวนการเดิมอีกครั้ง
คราวนี้หลิงม่อถึงกับช็อกค้างไป ที่แท้มันก็หดตัวได้!
ความลึกลับของสัตว์นั้นมีไม่น้อยอยู่แล้ว หลังจากถูกปรับโครงสร้าง ผลของการวิวัฒนาการยิ่งทำให้เหนือความคาดหมายเข้าไปอีก
หลังจากที่ลิ้มลองกระบวนการนี้หลายรอบเข้า ร่างกายของเสี่ยวป๋ายก็เหมือนจะเริ่มคุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว
มันลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล จากนั้นร่างกายของมันก็พองขึ้นเหมือนถูกเป่าลมใส่เข้าไปอย่างไรอย่านั้น
เมื่อร่างกายของมันพองโตขึ้นถึงสองเท่าเต็มๆ เสี่ยวป๋ายก็ร้อง “แบ๊” พร้อมทำสีหน้าทรมาน ไม่นานขนาดร่างกายของมันก็กลับไปเท่าเดิมอีกครั้ง
หลิงม่อเบิกตากว้างรอลุ้นถึงหนึ่งนาทีเต็ม กว่าจะแน่ใจได้ว่าเสี่ยวป๋ายไม่มีแนวโน้มตัวเล็กลงอีก
“ถ้าใหญ่ขึ้นกว่านี้ได้ ก็คงจะแสดงข้อดีของมันออกมาได้เต็มที่กว่า”
หลิงม่อนึกถึงท่าแพนด้าล้มทับ ซึ่งเป็นท่าไม้ตายของหมีแพนด้ากลายพันธุ์ตัวนี้
ไม่เพียงเท่านี้ หลิงม่อสังเกตเห็นว่าขนของเสี่ยวป๋ายมีการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
อย่างเช่นสีขนตรงขอบตาดำของมัน ที่เริ่มเข้มขึ้นอีก จนตอนนี้มันดูใกล้เคียงกับหมีแพนด้าทั่วไปมาก ถ้าหากไม่ใช่ว่าดวงตาแดงก่ำคู่นั้นโดดเด่นสะดุดตาเกินไป หากมองแค่ภายนอก มันดูไม่ต่างจากหมีแพนด้าทั่วไปเลยแม้แต่น้อย
ทว่า…รูปร่างชัดเจนกว่า!
พอเสี่ยวป๋ายยกอุ้งเท้าเกาหัวตัวเอง หลิงม่อก็พบว่า การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของมันไม่ได้มีเพียงเท่านี้
กรงเล็บแหลมๆ นั่นตอนนี้ดูคมกริบกว่าเดิม และซ่อนได้มิดชิดมากขึ้นอีกด้วย
ถึงแม้จะไม่ได้วิวัฒนาการอะไรมาก แต่ถึงแม้จะเปลี่ยนแปลงไปแค่รายละเอียดเล็กน้อย ก็มากพอที่จะทำให้พลังของเสี่ยวป๋ายเพิ่มขึ้นอีกระดับแล้ว
และผลของวิวัฒนาการครั้งนี้ก็ทำให้หลิงม่อพอใจมากด้วย…
“แบ๊!”
เสี่ยวป๋ายคำรามเสียงต่ำ พลางพยายามสะบัดหัวไปมาอย่างแรง
หลิงม่อเห็นก็ถึงกับมึนงง แต่ทันใดนั้นเขาก็ทำหน้าตะลึงงันขึ้นมา
เสี่ยวป๋าย…หายไปแล้ว!
ถึงแม้มันจะอยู่ตรงหน้าเขา แต่เสี้ยววินาทีหนึ่ง เขากลับสัมผัสรู้ถึงตัวตนของมันไม่ได้!
สายสัมพันธ์ทางจิตของทั้งสองคนยังอยู่ แต่เขากลับไม่สามารถรับรู้ถึงตำแหน่งของเสี่ยวป๋ายได้
ความรู้สึกอย่างนี้เหมือนกับตอนที่มันและอวี๋ซือหรานอยู่ชั้นใต้ดินกับศพน้ำเหล่านั้น และพลังจิตสัมผัสรู้ของหลิงม่อก็ถูกสกัดกั้นเอาไว้ไม่มีผิด
แต่ความรู้สึกในตอนนี้กลับรุนแรงยิ่งกว่า เพราะหลิงม่อคิดว่าสายสัมพันธ์ทางจิตของตัวเองกับเสี่ยวป๋ายถูกตัดขาดไปแล้ว
โชคดีที่ความรู้สึกนี้หายไปอย่างรวดเร็ว และไม่นานเสี่ยวป๋ายก็กลับมาเป็นปกติ
หลังจากที่มันส่ายตัวไปมา เพื่อสะบัดเหงื่อบนตัวออก มันก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติ
หลิงม่ออึ้งไปหลายสิบวินาทีกว่าจะได้สติกลับคืนมา แล้วเขาก็ตระหนักได้ว่า เสี่ยวป่ายเปลี่ยนไปจริง…
แต่การกลายพันธุ์ของมัน กลับมีลักษณะเด่นบางอย่างคล้ายกับศพน้ำเหล่านั้น
พวกมันสามารถสกัดกั้นพลังจิตสัมผัสรู้…
และพอหลิงม่อลองนึกดูอย่างละเอียด ก็เข้าใจว่าที่เขารู้สึกได้ชัดเจนกว่าปกติ ก็เป็นเพราะตัวเองและเสี่ยวป๋ายมีสายสัมพันธ์ทางจิตเชื่อมกันไว้ บวกกับเมื่อกี้เขาไม่ทันตั้งตัว…
ความจริงแล้ว เมื่อ “ความสามารถ” นั้นของเสี่ยวป๋ายหายไป หลิงม่อก็ค้นพบว่า ประสิทธิภาพพลังสกัดกั้นของเสี่ยวป๋าย เมื่อเทียบกับเหล่าศพน้ำจำนวนมากที่ใช้พลังร่วมกันยังคงแตกต่างกันอยู่มาก
แต่ถ้าหากฉวยโอกาสใช้ในตอนที่ต่อสู้กับผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตในตอนที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว จะต้องให้ผลที่คาดไม่ถึงอย่างแน่นอน
และนับตั้งแต่ที่เสี่ยวป๋ายเริ่มมีปฏิกิริยาของการวิวัฒนาการจนถึงตอนนี้ เวลาได้ผ่านไปเกือบสองชั่วโมงกว่าแล้ว รอบกายหลิงม่อมีก้อนเหนียวหนืดถูกขว้างเข้าเต็มพื้น หลังจากที่แอบมองอยู่ไกล เหล่าซอมบี้สาวก็จะเดินจากไปอย่างเงียบๆ เพื่อทำการล่าเหยื่อต่อ
สำหรับซอมบี้ เพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์และสัตว์กลายพันธุ์ที่อยู่ในระหว่างวิวัฒนาการ ถือว่ามีแรงดึงดูดอันมหาศาล
ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงเวลานั้นก็เป็นช่วงที่พลังควบคุมของหลิงม่อมีผลต่อเสี่ยวป๋ายต่ำที่สุด อิทธิพลร่วมที่ได้รับผ่านสายสัมพันธ์ทางจิตก็จะอ่อนลงตามไปด้วย
แม้แต่อวี๋ซือหรานก็ยังทำแค่มองอยู่ห่างๆ อยู่ครู่เดียว จากนั้นก็ชูกำปั้นเล็กๆ ใส่หลิงม่อ แล้วเดินจากไปอย่างอาลัยอาวรณ์
“คราวนี้เธอคงพอใจแล้ว” หลิงม่อคิดในใจ
แต่คนที่พอใจที่สุดยังเป็นตัวเขาเอง เดิมเขาเป็นกังวลว่าเสี่ยวป๋ายจะมีพัฒนาการที่แปลกประหลาดหรือไม่ แต่เรื่องจริงได้ยืนยันแล้วว่าเฮยซือคือกรณีพิเศษที่พิสดารไม่เหมือนใคร…
“แต่ว่า แกคายอะไรออกมาถึงได้มีพลังอย่างนั้นได้?”
หลิงม่อเดินสังเกตรอบๆ ตัวเสี่ยวป๋ายอย่างละเอียดหนึ่งรอบ และทำการทดสอบดูอีกหลายครั้ง สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่า : เหงื่อ…
ผลที่ได้นี้ทำให้หลิงม่อเหงื่อแตกพลั่ก เพราะนั่นหมายความว่าเมื่อใดที่เสี่ยวป๋ายต้องการใช้ “ความสามารถ” ประเภทนี้ เสี่ยวป๋ายก็ต้องกระโดดอยู่กับที่อย่างบ้าคลั่ง จึงจะได้ผลไม่ใช่หรอ?
หลิงม่อมองเสี่ยวป๋ายอย่างเห็นใจ แล้วจู่ๆ ก็พูดอย่างมีความหมายแฝงขึ้นมาว่า “ลำบากแล้ว…”
“แบ๊!”
เสี่ยวป๋ายที่กำลังรู้สึกตื่นเต้นดีใจพยายามกลิ้งตัวไปมากับพื้น ปรากฏว่าพอมันกลิ้งตัว เสาไฟข้างทางที่ถูกกระแทกเข้าส่งเสียงครวญคราง จากนั้นเสาไฟก็เปลี่ยนรูปร่างไปตามการกลิ้งตัวอันยากลำบากของเสี่ยวป๋าย ด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้…
“แบ๊…แบ๊…”
เสี่ยวป๋ายยังคงกลิ้งเบียดต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้
หลิงม่อถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ “ยอมแพ้เถอะ…”
………..
ขณะเดียวกับที่เสี่ยวป๋ายกำลังวิวัฒนาการ หลี่ย่าหลินเองก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
ยิ่งเธอเดินผ่านสถานที่มากขึ้น ภาพความทรงจำประหลาดๆ เหล่านั้นก็เริ่มผุดเข้ามาในสมองเธอมากขึ้นเรื่อยๆ
ตอนแรกหลี่ย่าหลินไม่ค่อยเข้าใจว่าพวกนี้คืออะไร แต่เมื่อภาพเหล่านั้นเริ่มฉายผ่านเข้ามาหลายครั้งเข้า หลี่ย่าหลินก็ตระหนักได้ว่า บางทีตัวเองอาจจำอะไรบางอย่างขึ้นมาได้…
ความทรงจำเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นตอนที่เธอเป็นซอมบี้ แต่เกิดขึ้นตอนที่เธอยังเป็นมนุษย์อยู่ ถ้าไม่อย่างนั้นคงไม่ถูกแบ่งไปอยู่ในหมวดหมู่ “ไร้ประโยชน์” อย่างนี้
แต่ควรจะเก็บมาคิดอย่างละเอียดไหม หรือว่า…ควรบอกหลิงม่อดีล่ะ?
หลี่ย่าหลินดูไม่ค่อยมั่นใจ ด้วยระดับสติปัญญาของเธอในตอนนี้ ยังไม่สูงพอที่จะคิดเรื่อง “ซับซ้อน” อย่างนี้ได้
“บอก…หรือไม่บอกดี?”
หลี่ย่าหลินครุ่นคิด
“ลองเก็บมานึกดูดีกว่า ไม่อย่างนั้นก็ไม่หยุดโผล่มากวนใจฉันซักที” หลี่ย่าหลินไม่ชอบความทรงจำที่ผุดออกมาไม่ยอมหยุดนี่ และนั้นส่งผลให้เธอตัดสินใจอย่างนี้
แต่ถ้าเอาแต่เดาสุ่มสี่สุ่มห้าก็คงไม่ได้ เพราะไม่มีคำใบ้เลยนี่นา!
“อ๊ะ ใช่แล้ว!”
หลี่ย่าหลินฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ “ผมหางม้านั่น!”
เบาะแสที่เธอพอจะจับได้ในตอนนี้ ก็มีแค่แผ่นหลังของเด็กสาวผมหางม้าอันเลือนรางนั่นเท่านั้น
แต่หลี่ย่าหลินกลับไม่รู้เลยว่าเงาร่างนั้นเป็นใคร และเกี่ยวข้องอย่างไรกับเธอ
ความรู้สึกเหมือนได้หนังสือเล่มใหม่ที่ไม่มีสารบัญมา หากไม่พลิกอ่านหน้าสำคัญ ก็จะไม่มีทางเดาเนื้อเรื่องได้เลย
สถานการณ์ของหลี่ย่าหลินในตอนนี้ก็เป็นแบบนี้ ดังนั้นหากเธอต้องการนึกเรื่องราวให้ได้มากกว่านี้ เธอก็ต้องหาเบาะแสเพิ่มเติม
—————————————————————————–