“แคว่ก!”
รุ่นพี่จับหมอนได้ก็ฉีกทึ้งทันที ซย่าน่าเอียงตัวหลบเศษนุ่นและเศษผ้า พลางหันไปยิ้มขอโทษเย่เลี่ยน “ไม่เป็นไรแล้ว…”
เย่เลี่ยนเอามือออกเบาๆ แล้วบอกว่า “เขาเหนื่อย…มากๆ…”
“ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น” ซย่าน่าพยักหน้า “ปล่อยให้เขานอนเถอะ เวลาปกติก็เอาแต่เฝ้าระวัง ถ้าเมื่อกี้พี่ไม่ได้ปิดหูให้เขา ป่านนี้คงตื่นขึ้นมาแล้วจริงๆ…”
“เป็นเธอ…ก็ปิดหูให้เขาเหมือนกัน” เย่เลี่ยนยิ้มบาง
ซย่าน่าเหลือบมองหลิงม่อที่กำลังหลับสบาย แล้วอดปวดใจไม่ได้ แต่ปากกลับแค่นเสียงพูดอย่างเคืองๆ “ใช่ ฉันจะเอาหมอนปิดหน้าเขาให้ขาดใจตายไปเลย จะได้กินเนื้อด้วย”
“หา!” เย่เลี่ยนตกใจ “เธอ…เธอโกหก…”
“เขาไม่ได้เรียกโกหก เรียกว่าล้อเล่นต่างหากเล่า…เดี๋ยวนะ ฉันไม่ได้ล้อเล่นซักหน่อย!” ซย่าน่าบ่นอุบ ตอนนี้เธอกำลังอยู่ในสภาวะอารมณ์ไม่คงที่ สัญชาตญาณของคนกับซอมบี้กำลังขัดแย้งกันอย่างต่อเนื่อง สภาพอารมณ์จึงผิดไปจากปกติ
เย่เลี่ยนทำหน้าเหมือนเข้าใจทั้งที่ไม่เข้าใจ เธอนั่งลงข้างหลิงม่อเงียบๆ แล้วถามว่า “พวก…พวกเธอ…เป็นไงบ้าง?”
ซย่าน่ายิ้ม “ดีขึ้นมากแล้ว ต้องขอบคุณพวกพี่ ตอนที่เจ้าเพื่อนร่วมสายพันธุ์ระดับสูงนั่นโผล่มา ฉันเองก็รับรู้ได้เลือนราง ถ้าหากถูกบีบให้ต้องสู้ตอนนั้นล่ะก็ เดาว่าเรื่องคงจบไม่สวยอย่างตอนนี้แน่”
พูดไป เธอก็หันไปมองหลิงม่ออีกครั้ง “เขาต้องเหนื่อยจนมีสภาพแบบนี้…แต่ใครใช้ให้อวดเก่งล่ะ!”
เย่เลี่ยนเบิกตากว้าง เธอไม่รู้เลยว่าควรตอบซย่าน่าอย่างไรดี
ตอนแรกเหมือนจะเป็นห่วง แต่ทำไมประโยคหลังถึงกลายเป้ฯต่อว่าได้ล่ะ…
นี่มันไม่ใช่สไตล์ซอมบี้เลยนะ…
“แล้วพี่ล่ะ? หลังก้าวข้าม รู้สึกอะไรเป็นพิเศษบ้างรึเปล่า?” จู่ๆ ซย่าน่าก็ถามอย่างสงสัย
เธอยอมรับแล้วว่าคงก้าวข้ามถึงระดับเจ้าเมืองไม่ได้ในการวิวัฒนาการครั้งนี้ แต่ในเมื่อได้รับการอัพเกรดอีกครั้งแล้ว ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องได้ก้าวข้ามอยู่แล้ว ดังนั้นถามเอาไว้ก็ไม่เสียหาย…
เย่เลี่ยนบีบนิ้วตัวเอง พลางเรียบเรียงคำพูดในสมองของตัวเอง แล้วก็พูดตะกุกตะกักว่า “ต่าง…จากเมื่อก่อน…นิดหน่อย…”
เธอชี้มาที่ดวงตาของตัวเอง “ตรงนี้…”
แล้วจากนั้น เธอก็ชี้ไปที่หลิงม่อ “แล้วก็…เขา…”
“เอ๊ะ เกี่ยวกับพี่หลิงด้วยหรอ?” ซย่าน่าสงสัยหนักกว่าเดิม
เรื่องดวงตาเธอเข้าใจตั้งแต่แวบแรกแล้ว ม่านตาที่หดตัวนั่นมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าผิดปกติ เห็นชัดว่าเกิดจากการกลายร่าง
ทว่าการวิวัฒนาการของเย่เลี่ยน เกี่ยวข้องกับหลิงม่อด้วยหรือ?
“ฉัน…” เย่เลี่ยนเม้มปาก แล้วพูดเสียงค่อย “ฉัน…เหมือนจะ…เข้าใจเขาบ้างแล้ว…”
ซย่าน่าอึ้ง จากนั้นก็ทำหน้าเหมือนเข้าใจ “อ๋ออ ฉันเข้าใจแล้ว!”
ดวงตาสีแดงข้างหนึ่งดำข้างหนึ่งของเธอกลอกไปมาระหว่างเย่เลี่ยนและหลิงม่อ พลางพยักหน้าขึ้นลง “ความสัมพันธ์ของพวกพี่ลึกซึ้งขึ้น!”
ตอนแรกเย่เลี่ยนพยักหน้าก่อน แต่จากนั้นเธอก็ส่ายหน้าอีก “ไม่ใช่…แค่นี้…”
เธอพูดพร้อมทำท่าทางประกอบอยู่นาน กว่าซย่าน่าจะเข้าใจสิ่งที่เธอต้องการในที่สุด
“หมายความว่า…ตอนนี้พี่สามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของมนุษย์ที่พี่หลิงแสดงออกมาแล้ว?” ซย่าน่าลองพยายามสรุปดู พร้อมกับถามเพื่อความแน่ใจ
“อื้มๆ!” เย่เลี่ยนพยักหน้าอย่างดีใจ
ซย่าน่าครุ่นคิด แล้วเธอก็ถามอย่างสงสัยอีกว่า “ถ้าอย่างนั้น…ตัวพี่เองมีความรู้สึกแบบเดียวกันไหม? ในเมื่อสามารถรับรู้ได้ ตัวเองก็น่าจะรู้สึกเหมือนกันด้วยสิ?”
ตอนพูดประโยคนี้ สายตาของซย่าน่าเต็มไปด้วยความลุ้นและคาดหวัง
ความจริง ตอนนี้เธอรักษาสัญชาตญาณความเป็นมนุษย์เอาไว้ได้แล้ว แต่จะสามารถกลับไปเป็นมนุษย์เต็มตัวได้หรือไม่นั้น…อย่างน้อยก็เฮยน่าคนหนึ่งล่ะที่ไม่สนใจเรื่องนี้
เธอสนุกกับการเป็นซอมบี้ ความรู้สึกดีที่ได้เห็นเลือดสดๆ เข้ายึดครองร่างกายทั้งร่าง และความสุขเมื่อได้รบราฆ่าฟันอย่างเต็มที่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์ปกติไม่มีวันสัมผัสได้
แต่ความรู้สึกอันซับซ้อนในสมองของเหล่ามนุษย์ ก็เป็นสิ่งน่าดึงดูดมากสำหรับซย่าน่าด้วยเช่นกัน
ท่ามกลางสายตาของซย่าน่าที่มองมาอย่างจริงจัง เย่เลี่ยนทำได้เพียงส่ายหน้าเบาๆ “มะ…ไม่มี…”
“ฉันแค่…เข้าใจสิ่งที่เขาจะสื่อ เพราะ…พอจำอะไรได้บ้างแล้ว…แต่ว่า…ตัวฉันไม่รู้สึก…” เย่เลี่ยนบอก
ซย่าน่าทำหน้าผิดหวังชั่วขณะ เรื่องคงไม่ง่ายขนาดนั้นจริงๆ ด้วยสินะ…
อาการของเย่เลี่ยน หากพูดตรงๆ ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นความรู้สึก
เหมือนกับการดูรูปภาพเรียนรู้ศัพท์ เธอรู้ว่าในภาพเป็นผลไม้ชนิดไหน และรู้ว่าผลไม้ชนิดนี้ชื่ออะไร แต่หากเธอไม่เคยลิ้มรสของผลไม้ชนิดนี้ เธอก็ไม่มีวันรู้จักมันอย่างแท้จริง
และความรู้ความเข้าใจที่เย่เลี่ยนมีต่อความรู้สึกของมนุษย์ ก็ยังอยู่ในระดับดูภาพเรียนรู้ศัพท์เท่านั้น
“ไม่เป็นไรน่า” ซย่าน่าพุ่งตัวไปข้างหน้า เพียงไม่นานก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเย่เลี่ยน แล้วเอื้อมมือไปจับมือเธอ “อย่างน้อยก็พัฒนากว่าเมื่อก่อนมาก ใช่ไหมล่ะ? อีกหน่อยถ้าพี่เห็นเขาโมโหจนตัวสั่น พี่ก็จะไม่เข้าใจผิดอีกว่าเขาถูกแช่แข็งไง…”
“อื้ม!” เย่เลี่ยนยิ้มบางๆ
“ฮู่ว…ฮู่ว…” ในทางเดินบันไดอันมืดมิด สวี่ซูหานกำลังจับราวบันได และพยามเดินขึ้นไปอย่างทุลักทุเล
ความคิดของเธอถือว่ายังชัดเจนอยู่ และเพราะเหตุนี้ ความรู้สึกจากปฏิกิริยาทางกายจึงรุนแรงยิ่งกว่าเดิม
ท่ามกลางความมืด ราวกับเสียงซู่ซ่าที่ดังอยู่รอบตัวกำลังเสียดแทงเข้ามาในสมองของเธอ
แม้จะปิดหูแน่น แต่ก็ยังได้ยินเสียงเลือดในร่างกายตัวเองกำลังไหลเวียน
แม้แต่เสียงหายใจของตัวเองก็ยังน่ารำคาญ จนทำให้เธอแทบคลั่ง
“ทรมานเหลือเกิน…”
สวี่ซูหานไม่รู้ว่าตัวเองเดินขึ้นมาถึงชั้นไหนแล้ว เธอยืนพิงอยู่ตรงมุมโค้งบันได แล้วค่อยๆ ไถลตัวลงตามแนวผนัง ยกมือโอบศีรษะนั่งอยู่ตรงนั้น
คำพูดของซย่าน่าดังสะท้อนในสมองอีกครั้ง “อีกหน่อยก็ชินเอง…”
“นี่คือผลข้างเคียงจากการพยายามรักษาสติปัญญาไว้งั้นหรอ? ถ้าหากสูญเสียสติปัญญา แล้วถูกสัญชาตญาณซอมบี้ควบคุม คงจะไม่ต้องทนทรมานขนาดนี้แล้ว…” สวี่ซูหานอดคิดไม่ได้
แต่พอนึกถึงสีหน้าบิดเบี้ยว และการกระทำที่ฉีกทึ้งคนเป็นๆ ของซอมบี้ธรรมดาพวกนั้นแล้ว สวี่ซูหานก็อดรู้สึกขนลุกไม่ได้
“ไม่…ฉันไม่อยากกลายเป็นแบบนั้น ไม่ได้…”
สวี่ซูหานหดตัวถอยเข้าไปในมุมกำแพง เล็บแหลมคมทั้งสิบครูดกับพื้นจนเกิดเป็นรอยลากยาวสีขาว เสียงดังครืดๆ กำลังกระตุ้นเธอ และลากเธอให้กลับมาจากความคิดอันตรายที่อยากจะยอมแพ้เหล่านั้น
“มนุษย์…ที่เป็น…เพื่อนร่วมสายพันธุ์คนนั้น…” เย่เลี่ยนไม่รู้ว่าควรเรียกสวี่ซูหานอย่างไรดี ภายใจ้สถานการณ์ที่เธอยังไม่กลายร่างเต็มตัว อย่างมากเธอก็ถือเป็นเพื่อนร่วมสายพันธุ์เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น…
ซย่าน่านั่งกอดเข่าอยู่ตรงหน้าเย่เลี่ยน แล้วบอกว่า “เธอคนนั้นน่ะหรอ? ตอนนี้ก็คงทำได้แค่ดูพลังจิตตานุภาพของเธอ เท่านี้ก็ถือว่าโชคดีแล้ว เพราะเธอยังมีโอกาสดิ้นรน พี่หลิงใช้ชีวิตกับเรามานานมาก เขาได้เรียนรู้และเข้าใจอะไรตั้งมากมายเลยล่ะ”
“แต่…ก็ยังหวังว่าเธอจะอดทนจนถึงที่สุดนะ” ซย่าน่าเงียบไปหลายวินาที แล้วจู่ๆ น้ำเสียงก็เปลี่ยนไป
“น่ารำคาญจริง น่าน่าเธออย่ามาแย่งสิทธิในการคุมร่างตามใจชอบอย่างนี้สิ…”
“จะเรียกว่าแย่งได้ไง? ก็ครึ่งหนึ่งเป็นของฉันมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่”
“ชิ ครึ่งหนึ่งของเธอเป็นร่างดวงจิตไม่ใช่รึไงล่ะ? ถ้าอย่างนั้นเธอลองถอดเสื้อผ้าด้วยมือข้างเดียวดูไหมล่ะ?”
“ก็เธอเล่นดึงเสื้อผ้าอีกฝั่งของฉันไว้ แล้วฉันจะถอดได้ยังไงเล่า!”
ซย่าน่าทะเลาะกับตัวเองอย่างดุเดือด แถมมือไม้ยังอยู่ไม่นิ่งอีก เย่เลี่ยนที่นั่งอยู่ตรงนั้นได้แต่ขดถอยช้าๆ แล้วยกมือปิดหูให้หลิงม่อเงียบๆ
ชั่วพริบตา เหตุการณ์ในห้องก็ชุลมุนวุ่นวายครั้งใหญ่ หลี่ย่าหลิยกำลังทำลายเบาะรองนั่งทั้งหมดอย่างสุดกำลัง ส่วนซย่าน่าก็ทะเลาะกับตัวเองอย่างไม่มีใครยอมใคร ท่ามกลางปุยนุ่นที่ลอยกระจายทั่วห้อง หลิงม่อยังคงนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงโดยไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น…
ดักแด้ตัวโตที่อยู่ตรงมุมห้องดิ้นขลุกขลักเล็กน้อย จากนั้นก็แน่นิ่งไป…
“โครม เพล้ง!”
เสียงบานกระจกระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง ไอร้อนปนกลุ่มควันและเปลวเพลิง ม้วนตัวเป็นคลื่นซัดออกไปสู่ภายนอกอาคาร
ตอนนี้ ห้างสรรพสินค้าทั้งห้างได้กลายสภาพเป็นเตาเผาขนาดยักษ์ไปแล้ว ควันสีดำมากมายลอยคลุ้งสู่ภายนอกอย่างต่อเนื่อง
อาคารก่อสร้างสองตึกที่อยู่ติดกันถูกไฟลุกลาม จนตอนนี้ไฟลุกท่วมไปแล้ว
บนถนนแออัดไปด้วยเหล่าซอมบี้ที่ถูกดึงดูดมาจากทุกสารทิศ ทว่านอกจากซอมบี้ที่วิ่งออกมาจากในห้างฯ ในสภาพมนุษย์ไฟไม่กี่ตัวแล้ว ที่เหลือไม่มีใครเข้าใกล้กองเพลิงก่อนเลยซักตัว
เปลวเพลิงสามารถดึงดูดให้พวกมันเข้ามาใกล้ แต่แค่เปลวเพลิงธรรมดาไม่มากพอที่จะทำให้พวกมันเหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไผได้อีกต่อไป
นอกเหนือจากว่าจะมีเหยื่อ…
แต่เห็นชัดว่าเพื่อนร่วมสายพันธุ์ที่ถูกไฟคลอกไปครึ่งตัวไร้แรงดึงดูดมากพอ สัญชาตญาณการเอาตัวรอดเฮือกสุกท้ายก่อนตายกระตุ้นให้พวกมันกระโจนเข้าสู่กลางวงฝูงซอมบี้ แต่กลับไม่มีซอมบี้ตัวไหนอยากยุ่งกับพวกมัน
ส่วนมากซอมบี้ที่ได้รับผลกรรม มักเป็นตัวที่อ่อนแอที่สุดในฝูง
เหตุการณ์ชุลมุนเล็กๆ นี้เกิดขึ้นไม่นาน ไม่ได้ก่อให้เกิดเหตุโกลาหลครั้งใหญ่แต่อย่างใด
“เคร้ง!”
ณ ประตูหลังของห้างสรรพสินค้า มีสิ่งของจำวนวนมากกองหนึ่งหล่นลงมาจากหน้าต่างชั้นบน
กองวัตถุสีดำที่ไหม้เกรียมกองนี้ดิ้นขลุกขลักเล็กน้อย แล้วจู่ๆ ก็มีมือไหม้เกรียมข้างหนึ่งผุดขึ้นมา
บนมือข้างนี้เต็มไปด้วยแผลพุพอง ใต้ผิวหนังที่ถูกเผาจนเสียหายเผยให้เห็นกล้ามเนื้อสีชมพู นิ้วมือบางส่วนถึงขั้นกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้วด้วยซ้ำ
ทันทีที่มือข้างนี้ชูขึ้น มันก็ขยับนิ้วอยู่กลางอากาศสองสามที จากนั้นก็จิกพื้น
เมื่อมือข้างนี้เคลื่อนไปข้างหน้าช้าๆ เงาร่างดำเกรียมก็ค่อยๆ โผล่ออกมาจากกองวัตถุสีดำเหล่านั้น
“แค่ก…”
มันฝืนคลานออกมาจนสำเร็จ พลางเปล่งเสียงประหลาดน่าขนลุกออกมาจากลำคอ
ไม่เพียงแค่มือข้างนั้น ทั่วทั้งร่างกายของมันก็ถูกเผาจนมีสภาพเดียวกัน
หัวของมันโล้นไร้เส้นผม ดวงตาปูดโปนออกมาทั้งสองข้าง ราวกับเหลือแค่ลูกตาที่กลอกไปมา
ม่านตายังคงเป็นสีม่วงดังเดิม แต่ส่วนตาขาวกลับแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงทั้งหมด
ด้านล่างริมฝีปากที่ถูกเผาจนเนื้อหายไปหนึ่งแถบ เผยให้เห็นฟันที่ขาวจนน่าขนลุก
เนื้อหนังก้อนหนึ่งยังห้อยติดอยู่ตรงแก้มซ้ายของมัน มันยกมือขึ้น แล้วใช้เล็บแหลมๆ ลูบคลำลงมาจากส่วนขมับ
ขณะกำลังลูบลง ก็เกิดสะเก็ดไฟขึ้นเล็กน้อย เมื่อมันคว้าเนื้อก้อนนั้นได้ ก็ออกแรงดึงอย่างแรง
ใบหน้าที่เดิมซูบตอบมากอยู่แล้วยิ่งยุบลงไปมากกว่าเดิม ยิ่งทำให้หน้าตาของมันเพิ่มระดับความน่ากลัวขึ้นไปอีก
ผิวกายที่ยากตัดขาดด้วยมีด กลับถูกไฟเผาจนมีสภาพอย่างนี้
ถ้าหากไม่ใช่ว่าเป็นซอมบี้ราชา มันคงตายอยู่ท่ามกลางทะเลเพลิงไปนานแล้ว
“แค่ก! แค่ก!”
ทันใดนั้น มันอ้าปากออก แล้วพยายามใช้ลำคอที่ผ่านการสำลักควันมาอย่างหนักเปล่งเสียงแหบ
ผิวหนังบนใบหน้าที่ตอนแรกยังเป็นแผ่นเดียวกันพลันฉีกออก เลือดเหนียวข้นไหลออกจากบาดแผลเหล่านั้น ดูน่าขนลุกสุดขีด
“หยุดร้องได้แล้ว” ทันใดนั้นเสียงพูดหนึ่งก็ดังขึ้น
ซอมบี้นกรีบหันขวับไปมองยังทิศที่มาของเสียง
ตรงช่องแคบมืดๆ ระหว่างอาคารสองหลังนั่น ไม่รู้ว่ามีคนมายืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่
รูปร่างไม่สูง แลดูบอบบาง มีเพียงส่วนหัวเท่านั้นที่ดูใหญ่ผิดปกติ
—————————————————————————–