เคร้งคร้างๆ…
แผ่นเหล็กสีดำเกรียมแผ่นหนึ่งหล่นลงมาจากซากอาคารผุพัง แล้วกลิ้งมาหยุดอยู่ข้างเท้าหลิงม่อ
หลิงม่อยืนอยู่ที่เดิม แล้วมองไปที่ห้างสรรพสินค้าซึ่งยังคงถูกกลุ่มควันโขมงปกคลุมอยู่ไกลๆ ด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก
คิดไม่ถึงว่าไฟจะลุกลามไปจนเกือบครึ่งถนน ผ่านไปหนึ่งคืนเต็มๆ ที่ท้องฟ้าบริเวณนั้นสว่างไสวเพราะเปลวเพลิง
จนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มสว่าง ระดับความรุนแรงของไฟถึงได้ค่อยๆ ลดลง
ถึงแม้จะเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่พอหลิงม่อพาทุกคนมาถึงที่นี่ แล้วเห็นสภาพที่เกิดเหตุ เขาก็ยังตะลึงกับถาพที่เห็นอยู่ดี
“ล้อกันเล่นใช่ไหมเนี่ย…” หลิงม่อยกมือตบหน้าผาก แล้วพูดขึ้น
ไฟไหม้รุนแรงขนาดนี้ กอปรกับซอมบี้ทั่วทั้งเมืองถูกล่อมาที่นี่หมด ไม่ว่าซอมบี้นกจะตายหรือไม่ตาย ตอนนี้ก็คงไม่มีทางหาศพมันเจอแล้ว
“ทำไม เสียดายก้อนนางพญาหรอ?” เสียงซย่าน่าดังมาจากด้านข้าง
หลิงม่อหันไปมองเธอ แล้วพูดอย่างตรงไปตรงมา “ก็ใช่น่ะสิ ระดับซอมบี้ราชาเชียวนะ…”
“มีโอกาสได้โชว์สกิลการตั้งชื่อกากๆ อีกแล้วสินะ…แต่ว่า ถึงก้อนนางพญาจะสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพี่กับพี่เย่เลี่ยนรอดมาได้อย่างปลอดภัยนะ ดังนั้นก็อย่าเสียใจมากนักเลย” ซย่าน่าเอียงคอแล้วยิ้มบางให้เขา
“ก็ใช่…” หลิงม่อเองก็ยิ้มตอบ
หลังจากอัพเกรด ดูเหมือนว่าด้านที่มีความเป็นมนุษย์ของซย่าน่าจะแสดงออกมามากว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย…
“อีกอย่าง ไวรัสนางพญาความบริสุทธิ์สูงขนาดนี้ปรากฏขึ้น คิดว่าจะมีซอมบี้ธรรมดาตัวไหนที่มีปัญญากินจริงๆ หรอ? ถึงจะกลืนลงไปแล้ว แต่ก็ต้องถูกตัวอื่นๆ ผ่าท้องควักออกมาแน่นอน”
ท่าทางของซย่าน่าเปลี่ยนไปทันทีใน 1 วินาทีต่อมา น้ำเสียงที่พูดออกมาก็กดต่ำลง
หลิงม่อนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เปลี่ยนอารมณ์เร็วเกินไปหน่อยไหม…
ทว่าประเด็นสำคัญอยู่ที่คำพูดของซย่าน่า พอลองคิดดูดีๆ ก็เป็นอย่างที่เธอพูดจริงๆ…
“ซอมบี้ในอำเภอนี้ คงจะมีไม่น้อยสินะ? แต่ตัวที่ระดับสูงจริงๆ กลับมีมันแค่ตัวเดียว เห็นได้ชัดว่า หากมีซอมบี้ระดับสูงหน่อยถือกำเนิดขึ้น ซอมบี้เหล่านั้นก็จะกลายเป็นอาหารของมันไปโดยอัตโนมัติ บวกกับซอมบี้ระดับปานกลางเหล่านั้นก็ถูกพวกเราฆ่าหมดแล้ว ดังนั้นตอนนี้ก็เท่ากับว่า ในฝูงซอมบี้ของเมืองนี้ ไม่มีซอมบี้ตัวไหนสามารถกลืนนางพญาก้อนนั้นลงท้องไปได้”
“ดังนั้นเป็นไปได้มากว่า เจ้าซอมบี้ราชาตัวนี้ อาจจะยังไม่ตาย”
หลังจากวิเคราะห์เสร็จสรรพ ซย่าน่าก็หันไปขยิบตาให้หลิงม่ออย่างซุกซน
หลิงม่อมองซย่าน่าอย่างอึ้งๆ หลังทิ้งสัญชาตญาณมนุษย์ไป ซย่าน่าก็ฉลาดหลักแหลมขึ้นมาก ที่พูดนี้ไม่ได้หมายความว่าตอนที่เป็นมนุษย์ซย่าน่าไม่ฉลาด แต่นิสัยที่ชอบคิดถึงคนอื่นมากไป มักส่งผลให้เธอเลือกทำอะไรโง่ๆ ในความคิดหลิงม่อ
ตอนนี้หลังจากกลายเป็นซอมบี้ บุคลิกทั้งสองเติมเต็มซึ่งกันและกัน จนทำให้เธอสมบูรณ์แบบมากขึ้น
อย่างน้อยเธอก็มีความสามารถในการวิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยมมาก ตอนเกิดเรื่องเธอยังอยู่ในสภาวะไม่มั่นคง ถึงมีหลายเรื่องที่เธอไม่ได้เจอกับตัวเอง แต่หลังจากได้ยินหลิงม่อเล่าคร่าวๆ เพียงหนึ่งรอบ ประกอบกับเห็นที่เกิดเหตุ เธอก็สามารถวิเคราะห์อะไรออกมาได้มากมาย
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเธอไม่ได้รับผลกระทบจากอารมณ์ ไม่เหมือนหลิงม่อที่กำลังหงุดหงิดกับเรื่องนี้
“ฟังดูมีเหตุผลมาก…น่าเสียดายจริงๆ ความสามารถในการอำพรางตัวของซอมบี้ราชาร้ายกาจมาก ยากที่จะเป็นฝ่ายตามหาเจอ เดาว่าหลังได้รับบาดเจ็บคงจะยิ่งซ่อนตัวอย่างมิดชิดกว่าเดิม” หลิงม่อพูดอย่างรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
“ถ้ามันยังไม่ตายจริงๆ มันไม่ปล่อยพี่ไปแน่นอน วางใจเถอะ”
ซย่าน่าพูดพร้อมหัวเราะ
“ประโยคนี้ไม่ว่าฉันจะตอบยังไงก็คงดูแปลกอยู่ดีสินะ…” หลิงม่อหางตากระตุก
พอเห็นหลิงม่อกับซย่าน่าเดินกลับมาจากแนวกำแพงผุพังด้านหน้านั่น พวกมู่เฉินที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในซอยเล็กๆ ก็รีบเดินเข้าไปสมทบ
“เป็นไงบ้าง?” มู่เฉินถาม
“ข้างหน้ามีแต่ซอมบี้ เดินไปทางนี้ต่อไม่ได้แล้ว แต่ข่าวดีก็คือซอมบี้เกือบทั้งหมดในเมืองนี้มารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้ว พวกเราสามารถเดินออกไปได้อย่างสง่าผ่าเผย” หลิงม่อพูดีรวบรัดตัดความ
“นี่คือวิธีเคลียร์เส้นทางของพวกนายสินะ? ไม่เลวจริงๆ” มู่เฉินกล่าวชม
“ใช่แล้ว…” หลิงม่อยิ้มรับคำชม
ถือเป็นผลพลอยได้อย่างหนึ่ง หลังจากที่ทุกคนเดินออกจากพื้นที่นั้นอย่างระมัดระวัง พวกเขาก็เข้าสู่ “พื้นที่ปลอดภัย” ที่ไม่มีซอมบี้เลยซักตัวเดียว
มู่เฉินที่เอาแต่ทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา เริ่มติดใจการเดินกลางถนนเข้าแล้ว เหลือก็แต่ไม่ได้ตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้นเท่านั้น
หลังจากแน่ใจว่าเสี่ยวป๋ายและอวี๋ซือหรานยังคงเดินตามมาอย่างปลอดภัย หลิงม่อเองก็รู้สึกคลายใจเหมือนกัน
ถนนที่ทอดยาวมองไม่เห็นปลายทาง แต่กลับไม่มีเงาของซอมบี้แม้แต่ตัวเดียว ความรู้สึกที่สามารถเดินเหินได้อย่างสบายใจไม่ต้องคอยระวังตัวอย่างนี้ เป็นความรู้สึกที่ดีมากจริงๆ
ทว่ามีเพียงอำเภอเล็กๆ อย่างซินหลานเท่านั้นที่จะเกิดเรื่องอย่างนี้ได้ หากเป็นเมืองใหญ่อย่างเมือง X ซอมบี้มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็เจอ
“ไม่รู้ว่านิพพานสาขาใหญ่จะเป็นยังไง…” หลิงม่ออดคิดไม่ได้
เย่เลี่ยนก้าวข้ามแล้ว เหล่าซอมบี้สาวและสัตว์กลายพันธุ์ก็ได้รับการอัพเกรดกันถ้วนหน้า ตอนนี้หลิงม่อถือว่ามีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นไม่น้อย
การได้สัมผัสกับคนของนิพพานในหลายครั้งที่ผ่านมา ทำให้หลิงม่อสนใจในความลึกลับและพลังของคนกลุ่มนี้มาก
องค์กรประเภทนี้ จะตั้งรากฐานอยู่ในที่แบบไหนกันนะ?
เขาเอื้อมมือไปลูบกระเป๋าเป้บนหลังตัวเอง ในใจคิดไปถึงสมุดโน๊ตเล่มนั้นอีกครั้ง
แล้วคนที่เขียนบันทึก…เป็นคนแบบไหนกันนะ…
“ใช่แล้ว” จู่ๆ สวี่ซูหานที่ไม่ค่อยพูดมาตลอดทางก็เปิดปากอย่างลังเลเล็กน้อย “อีกเดี๋ยวช่วยหาร้านเสื้อผ้าให้หน่อยได้ไหม…”
พูดไป เธอก็กระตุกเสื้อตัวนอกที่ขาดวิ่นของตัวเองให้ดูอย่างกระอักกระอ่วน
ในระหว่างที่สติอยู่ในสภาวะไม่มั่นคงเธอข่วนเสื้อผ้าตัวเองจนขาดเกือบทั้งตัว แล้วคนพวกนี้ก็ยังคิดจะให้เธอเดินไปจนถึงสำนักงานใหญ่ในสภาพนี้เนี่ยนะ!
ทั้งที่เห็นแต่ก็ทำเป็นไม่เห็นกันหมด?!
ซอมบี้สาวสามตัวไม่มีความรู้ทั่วไปก็แล้วไป เจ้าทึ่มมู่เฉินก็คงจะไม่ทันคิดถึงเรื่องนี้…
สวี่ซูหานมองหลิงม่อด้วยสายตาที่ทั้งอายและโกรธ พลางยกมือขึ้นจับคอเสื้อตัวเองและกระแอมเบาๆ
“ใช่สิ เสื้อผ้าฉันก็ใกล้หมดสภาพเต็มทีแล้วเหมือนกัน…” หลิงม่อตบเสื้อแจ็คเก็ตของตัวเองสองสามที แล้วพูดขึ้น
“หมดสภาพบ้านนาย…ฉันไปรู้จักตาโง่นี่ได้ยังไงกันนะ!” สวี่ซูหานกัดฟันกรอด ดวงตาสีแดงพลันเข้มขึ้นเล็กน้อย เธอคิดว่าหากจะมีอะไรที่ทำให้ตัวเธออดกลั้นไม่ไหวก่อนจะไปถึงสำนักงานใหญ่ ก็คงจะเป็นเพราะโดนเจ้าคนเลวนี่ยั่วโมโหจนอกแตกตายแน่นอน…
“แต่ว่าถนนสายนี้เป็นเขตชายแดนของซินหลานและชุ่ยหูแล้ว จะมีร้านเสื้อผ้าได้ยังไงล่ะ…ถึงชุ่ยหูแล้วค่อยว่ากันอีกทีเถอะ” หลิงม่อพูด พลางโยนเสื้อนอกให้สวี่ซูหานตัวหนึ่ง “ใส่แก้ขัดไปก่อน”
สวี่ซูหานรับไว้ พร้อมกับใบหน้าที่แดงซ่านเล็กน้อย
เมื่อกี้ยังแอบด่าเขาในใจอยู่เลย…
“ขอบใจ” สวี่ซูหานพูดเสียงเบา
“ไม่ต้องเกรงใจ ยังไงก็จะเปลี่ยนอยู่พอดี” หลิงม่อพูดอย่างใจกว้าง
“…” สวี่ซูหานกัดริมฝีปากล่าง ท่าทีของหลิงม่อ เหมือนไม่ได้มองเธอเป็นผู้หญิงคนหนึ่งจริงๆ…
ไม่รู้ทำไม จู่ๆ สวี่ซูหานก็นึกไปถึงภาพที่เห็นบนบันไดในตอนนั้น
เย่เลี่ยนก้มหน้า ส่วนหลิงม่อก็กระเถิบเข้าไปกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างข้างหูเธอ สีหน้าอ่อนโยนในตอนนั้นเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยได้รับจากหลิงม่อเลยซักครั้ง…
สายตาอย่างนั้นของหลิงม่อ เกิดขึ้นแค่เวลาที่อยู่กับพวกเย่เลี่ยนเท่านั้น
“ในสายตาเขา ซอมบี้คงไม่ต่างอะไรกับคนล่ะมั้ง?” พอคิดอย่างนี้ จู่ๆ สวี่ซูหานก็หายโกรธทันที
หากเป็นอย่างนี้ ถึงแม้ตัวเธอจะกลายพันธุ์ไป อย่างน้อยก็ยังมีอดีตเพื่อนมนุษย์คนหนึ่งที่ไม่รังเกียจและมองว่าตัวเธอเป็นสัตว์ประหลาด
ส่วนมู่เฉินนั้น…แค่คิดถึงท่าทางช็อกตาเหลือกของเขา สวี่ซูหานก็กลอกตาขาวทันที
ถ้าต้องกินใครซักคนจริงๆ ยังไงเธอก็ไม่มีทางกินเขาหรอก!
ทุกคนเดินๆ หยุดๆ มาเป็นเวลา 2 ชั่วโมงกว่า จนในที่สุดก็เข้าสู่เขตเมืองชุ่ยเหอ
ระหว่างทางมีซอมบี้ปรากฏตัวบ้างประปราย เดิมคิดว่ามีจำนวนไม่มากฆ่าทิ้งให้หมดก็สิ้นเรื่อง แต่ทันทีที่ลงมือพวกเขากลับพบว่าซอมบี้เหล่านี้แกร่งกว่าซอมบี้ธรรมดาในเขตเมืองอื่นมาก
ถึงแม้ซอมบี้เหล่านี้จะยังจัดว่าอยู่ในระดับล่างของฝูงซอมบี้ แต่เห็นได้ชัดว่าสัญชาตญาณและพรสวรรค์ของพวกมันเหนือกว่าซอมบี้เขตอื่นๆ ไปหนึ่งขั้น
ปฏิกิริยาแรกหลังจากที่พวกมันเจอเหยื่อไม่ใช่กระโจนเข้าใส่ แต่เป็น…ส่งเสียงคำราม!
เสียงคำรามกึกก้องของพวกมันดังออกไปในรัศมีวงกลมหลายร้อยเมตร และถ้าหากบวกกับความสามารถในการได้ยินของซอมบี้ พวกที่อยู่ไกลออกไปหน่อยก็สามารถถูกดึงดูดเข้ามาได้เหมือนกัน
เริ่มแรก พวกหลิงม่อแทบรับมือไม่ทัน เพราะกว่าหนวดสัมผัสของหลิงม่อจะแทงทะลุร่างซอมบี้หญิงตัวนั้น เสียงคำรามของมันก็ดังขึ้นมาแล้ว
ซอมบี้ตัวอื่นๆ พากันกระโจนออกมาจากซอกหลืบต่างๆ แล้วเริ่มส่งเสียงคำรามกันต่อไปเป็นทอดๆ เหมือนคลื่น
“บ้าเอ๊ย แม่เอ็งเป็นนักร้องวงประสานเสียงรึไงวะ!”
มู่เฉินยกปืนขึ้นเล็งเพื่อป้องกันตัวอย่างระมัดระวัง
พอถึงเวลาเอาจริง เขาก็สงบนิ่งได้เหมือนกัน
หลิงม่อฆ่าซอมบี้ที่กระโจนเข้ามาตรงหน้าติดกันหลายตัวแล้ว ทุกคนสู้ไปด้วย ก้าวถอยไปด้วย จนกระทั่งเข้าใกล้อู่ซ่อมรถแห่งหนึ่งที่อยู่ริมถนน
ซอมบี้บนถนนก็เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งพอพวกมันเห็นซอมบี้ตัวก่อนๆ ถูกฆ่าตาย ก็เริ่มเรียนรู้อย่างรวดเร็ว พวกมันไม่รีบกระโจนเข้ามา แต่กลับค่อยๆ เดินล้อมเข้ามาเป็นวงกลม
หลิงม่อสังเกตศพเหล่านั้นแวบหนึ่ง แล้วก็ค้นพบว่าซอมบี้ส่วนใหญ่กลับไม่มีอาการคึกกว่าปกติแต่อย่างใด
“มีอย่างนี้ด้วย…”
หลิงม่อขมวดคิ้วและจัดการซอมบี้อีกหนึ่งตัว จากนั้นก็รีบถอยเข้าไปในอู่ซ่อมรถท่ามกลางเสียงเร่งเร้าของมู่เฉิน
มู่เฉินและสวี่ซูหานที่เตรียมตัวไว้แล้วรีบดึงประตูม้วนลงพร้อมกันอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าประตูม้วนบานนี้จะขึ้นสนิมจนฝืดไปนานแล้ว แต่คนที่ดึงประตูลงต่างไม่ใช่คนธรรมดา เมื่อเสียง “โครม” ดังขึ้น แสงสว่างจากภายนอกก็ถูกสกัดกั้นไว้หลังบานประตูทันที
“ประตูนี่ทำได้แค่บดบังการมองเห็นของพวกมันได้ชั่วคราวเท่านั้น รีบออกไปทางข้างหลังกันเถอะ” มู่เฉินเร่ง
โดยปกติ อู่ซ่อมรถอย่างนี้มักจะมีลานจอดรถติดอยู่ด้วย ประตูด้านหน้าส่วนมากจะเป็นห้องรับรอง หลิงม่อไม่คุ้นเคยกับสถานที่อย่างนี้เท่ามู่เฉิน จึงเดินแผ่หนวดสัมผัสคุ้มกันอยู่ท้ายสุด
“ทางนี้! เมื่อก่อนฉันชอบมาซ่อมรถในอู่แบบนี้บ่อยๆ…” ขณะนำทาง มู่เฉินมิวายอวดตัวเอง
“มีรถมีบ้าน เมื่อก่อนชีวิตไม่เลวเลยนี่…” หลิงม่อพูดโดยไม่คิดอะไรมาก
“แต่สุดท้ายทุกอย่างก็เหลือ 0 …” ซย่าน่าพูดต่อ
มู่เฉินเกือบกัดลิ้นตัวเอง เขาหันกลับไปมองซย่าน่าด้วยสีหน้าเจ็บปวด
“ทำไม? เมื่อก่อนฉันมีบ้านพักตากอากาศเชียวนะ รอดมาได้ก็บุญแล้ว จะคิดถึงเรื่องเมื่อก่อนเพื่ออะไร” ซย่าน่าแค่นเสียงเบาๆ แล้วพูดขึ้น
“ต้องใจร้ายกันขนาดนี้เลยหรอ? ฉันอุตส่าห์นึกว่าในที่สุดก็หาความเชื่อมันในตัวเองกลับคืนมาได้บ้างแล้ว…” มู่เฉินพูดอย่างเหนื่อยหน่าย
ทุกคนเดินไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เสียง “ปึงปังๆๆ” ดังต่อเนื่องมาจากบานประตูม้วน
—————————————————————————–