ถนนกว้างๆ ที่อยู่ด้านนอกห้างฯ เส้นนั้น มองออกไปในเวลานี้เห็นแต่ความวังเวง
บนถนนเต็มไปด้วยซากรถยนต์ บางครั้งก็เห็นร่องรอยของการเกิดอุบัติเหตุ หรือกระทั่งร่องรอยของการระเบิด
หลังบานกระจกรถที่มีคราบฝุ่นเกาะหนาเตอะ คือตัวรถที่เต็มไปด้วยคราบเลือด หรือกระทั่งเศษชิ้นส่วนของร่างกายมนุษย์
ซอมบี้มากมายกำลังเดินวนเวียนไปมาอยู่ระหว่างซากรถยนต์เหล่านี้ พวกมันห้อยแขนลง เอียงคอในองศาที่แปลกประหลาด และอ้าปากออกเล็กน้อย ดวงตาแดงก่ำแต่ละคู่ดูไร้พลังชีวิต
แต่ความคลุ้มคลั่งที่แล่นผ่านดวงตาเป็นครั้งคราว กลับเหมือนกำลังส่งสัญญาณเตือนผู้อื่นว่า พวกมันล้วนเป็นสัตว์ร้ายที่อันตราย
ขณะเดียวกัน ในอีกด้านหนึ่งของถนน คือสวนสาธารณะและพื้นที่สีเขียวที่ซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้ารกร้าง
เหล่าพุ่มไม้ที่เดิมถูกตัดแต่งไว้อย่างประณีต ตอนนี้กลับกลายสภาพไปจนเหมือนสัตว์ประหลาดที่มีเขี้ยวเล็บงอกออกมา
บนกิ่งก้านมีหนามงอกขึ้นมา แม้แต่ส่วนใบก็กลายสภาพไปจนคล้ายใบเลื่อย…
ทว่าหากสังเกตอย่างละเอียด กลับจะเห็นได้ว่าบนพื้นที่สีเขียวซึ่งอยู่ใกล้กับตัวห้างฯ มีทางเดินเส้นหนึ่งถูกแหวกออกเพื่อใช้ชั่วคราว
แต่วัชพืชที่ถูกเหยียบย่ำเหล่านั้นกำลังฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว และกำลังชี้หน้าขึ้นฟ้าอย่างช้าๆ
ไม่นาน ทางเส้นนี้ก็กลับไปรกร้างเหมือนเดิมจนดูไม่ออกว่าเคยมีคนเดินผ่าน
แซ่ดๆๆ…
ทันใดนั้น ใบไม้และกิ่งก้านอันหนาแน่นถูกแหวกออกดังขึ้น เงาร่างของใครคนหนึ่งโผล่ออกมาจากพื้นที่สีเขียว
มันเบิกตาสีแดงก่ำก้มมองร่องรอยบนพื้นหญ้าด้านล่างด้วยแววตาที่เหม่อลอยเล็กน้อย
หลังจากสูดดมกลิ่น สายตาของซอมบี้ตัวนี้ก็เลื่อนขึ้นช้าๆ แล้วสุดท้ายก็หยุดจ้องไปที่ประตูเหล็กบานหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล
ประตูเหล็กบานนั้นปิดแน่นสนิท แต่บนมือจับประตูกลับปรากฏรอยฝ่ามือทาบทับอย่างชัดเจน
“อึกๆ…”
มันอ้าปาก แล้วเปล่งเสียงประหลาดฟังไม่ได้ศัพท์ออกมา
ฟังคล้ายเสียงหัวเราะ แต่กลับแฝงไปด้วยความน่าขนลุก…
ในขณะเดียวกับที่ซอมบี้ตัวนี้เดินไปทางประตูช้าๆ ณ ชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้า หุ่นซอมบี้ตัวเล็กซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของหลิงม่อเหมือนกันก็กำลังสำรวจและค้นหาสิ่งผิดปกติอยู่ในความมืด
“กุกกักๆๆ…”
เสียงเล็กแหลมดังลอดออกมาจากความมืด ราวกับว่าในทุกมุมมืดมีบางสิ่งซ่อนตัวอยู่ และกำลังแอบกระซิบกระซาบกัน
ซอมบี้ตัวเล็กหันไปมองรอบกาย จุดสีแดงเหล่านั้นที่หันไปมองปราดเดียวก็เห็นคือ “เพื่อนร่วมสายพันธุ์” หลายสิบหรืออาจเป็นร้อยตัว ที่กำลังเคลื่อนไหวไปมาอยู่ในชั้นนี้
“กรร!”
ทันใดนั้น เสียงคำรามหนึ่งดังขึ้น ตามด้วยเสียงโครมครามอีกหนึ่งระลอก
กลิ่นคาวเลือดลอยคลุ้งอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้รอบด้านเกิดความแตกตื่นทันที
แต่ซอมบี้ตัวเล็กกลับกระโดดขึ้นบนโต๊ะ และกระโดดเข้าไปหลบด้านหลังเคาน์เตอร์อย่างว่องไวทันที
เสียงกระแทกชนข้าวของดังอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันกลิ่นคาวเลือดก็ฉุนขึ้นเรื่อยๆ
ซอมบี้ตัวเล็กยกมือปิดจมูก เพื่อกลบซ่อนกลิ่นอายของตัวเองให้มิดชิด
“เสียงอะไรน่ะ?” สวี่ซูหานเดินออกมาจากด้านหลังชั้นวางของ แล้วถาม
“ชู่ว ข้างล่างน่าจะมีซอมบี้อยู่” หลิงม่อชี้ไปที่ชั้นล่าง
สวี่ซูหานหนังศีรษะตึงชา แต่พอเห็นหลิงม่อมีท่าทีสงบนิ่ง เธอก็ค่อยๆ คลายใจลง
“นายชินแล้วไม่ใช่หรอ?” สวี่ซูหานจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ พลางถาม
“ชินอะไร?” หลิงม่อถามกลับ
หุ่นซอมบี้ของเขากำลังหลีกเลี่ยงสงครามเล็กๆ ข้างล่างนั่น ในสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างปิดอย่างนั้น หากจะมีการเข่นฆ่ากันเองของซอมบี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ทว่าผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ไม่คิดเลยว่าจะยังมีซอมบี้อยู่ข้างในมากขนาดนี้…แค่คิดก็รู้แล้วว่าหลังจากที่เพิ่งเกิดภัยพิบัติขึ้น ที่นั่นจะมีซอมบี้แออัดกันอยู่มากขนาดไหน
แน่นอนว่าในสภาวะที่ไม่ต้องต่อสู้ซอมบี้จะมีการเผาผลาญพลังงานต่ำมาก ซึ่งนั่นก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พวกมันสามารถรักษาจำนวนไว้ได้
นอกจากนี้…พวกมันยังมีการสืบพันธุ์อีก…
ทว่าดูเหมือนเขาจะไม่เจออะไรที่ชั้นใต้ดินเลย และนั่นก็ทำให้หลิงม่อผิดคาดเล็กน้อย
ตามหลักปกติโดยทั่วไปแล้ว หากมีสิ่งผิดปกติอะไรซ่อนอยู่ ส่วนมากมักจะถูกค้นพบอยู่ในที่ที่มืดมิดอย่างนี้
ถึงแม้ซอมบี้จะไม่ได้กลัวแสง แต่ส่วนมากซอมบี้ระดับสูงมักจะหาสถานที่ที่ค่อนข้างปิดแน่นเป็นรังกบดานของตัวเองชั่วคราว จนกระทั่งเมื่อรอบกายไม่มีเหยื่อที่ต้องการแล้ว พวกมันจึงจะจากไปยังที่อื่น
เดี๋ยวก่อน!
จู่ๆ หลิงม่อก็คิดอะไรบางอย่างออก
ตามเนื้อหาในเอกสาร เขาควรเจอซอมบี้ระดับความแกร่งสูงสุดหรือก็คือซอมบี้ราชาในเมืองชุ่ยหู แต่นี่เขากลับเจอในอำเภอซินหลาน
เหยื่อดีๆ ในซินหลานมีอยู่มากมาย แต่ในชุ่ยหูก็มีไม่น้อยเหมือนกัน!
นอกจากนี้ซอมบี้ในเมืองชุ่ยหูก็ดูมีคุณภาพสูงกว่าอย่างชัดเจน จำนวนก็มากกว่าในระดับหนึ่ง
หรือพูดอีกนัยก็คือ รสชาติน่าจะดีกว่า…
ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ทำไมต้องออกจากเมืองชุ่ยหู แล้วมาที่ซินหลานด้วยล่ะ?
แล้วการเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ที่เกิดในเมืองชุ่ยหู…เกิดจากอะไร?
………..
“ก็ไม่กลัวซอมบี้ไง” สวี่ซูหานพูดต่อ ทำให้หลิงม่อตื่นจากภวังค์ความคิดของตัวเอง
คนทั่วไปที่ไหนจะกล้าเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างใจเย็น ทั้งที่รู้ว่ามีซอมบี้อยู่ชั้นล่างตัวเองอย่างนี้…
เธอถึงขั้นเกิดความคิดประหลาดๆ หรือว่าหลิงม่อมีภูมิคุ้มกันเชื้อไวรัสอยู่ในตัว?
ถ้าหากมีภูมิคุ้นกันอย่างนี้อยู่ในตัวจริงๆ เกิดมีใครรู้เข้าไม่ว่าจะเป็นกองกำลัง…หรือเหล่าผู้มีความสามารถพิเศษ คงจะไล่ล่าตัวเขากันให้ทั่วหรือเปล่านะ?
จู่ๆ สวี่ซูหานก็เข้าใจทันทีว่าทำไมหลิงม่อจึงต้องซ่อนตัวจากผู้คน ข้อหนึ่ง แน่นอนเป็นเพราะมนุษย์ต่างก็เกลียดซอมบี้ ข้อสอง ตัวเขาเองก็เป็นเหมือนหมั่นโถวกลิ่นหอมสำหรับมนุษย์เช่นกัน…
“ทำไมจะไม่กลัว ก็แค่ตอนนี้ยังอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยเท่านั้นเอง” หลิงม่อบอก
สายสัมพันธ์ทางจิตของเขาสามารถวัดระยะทางได้ด้วย ตอนนี้หุ่นซอมบี้ไม่ค้นพบอะไร ขอเพียงไม่ทำให้ซอมบี้พวกนั้นแตกตื่น ตอนนี้พวกเขาก็ถือว่ายังอยู่ในความปลอดภัย
การที่สามารถทำหลายสิ่งในเวลาเดียวกันได้ขนาดนี้ เป็นผลพวงจากการฝึกฝนของหลิงม่อ
หากเป็นคนอื่น ดวงจิตไม่แตกซ่านก็คงเป็นเรื่องแปลก…
“ใช่ๆ นายพูดอะไรก็ถูกทั้งนั้นแหละ” สวี่ซูหานส่ายหัว
เธอไม่เชื่อหรอกว่าเรื่องมันจะง่ายเหมือนที่หลิงม่อพูด ก็เหมือนกับเรื่องที่อาคารชั้นนี้ถูกจัดการจนสะอาดไร้เงาซอมบี้อย่างรวดเร็ว มู่เฉินคิดว่าเป็นเพราะซย่าน่าและหลี่ย่าหลินเก่งกาจ แต่เธอกลับรู้ว่าเป็นเพราะพวกเธอคือซอมบี้ระดับสูงต่างหาก
เอาเป็นว่าในสายตาเธอหลิงม่อในตอนนี้เต็มไปด้วยปริศนา และไม่รู้เพราะอะไร เธอรู้สึกว่ากลิ่นกายของหลิงม่อหอมเป็นพิเศษ
แต่พอลองดมดูดีๆ ก็ไม่ใช่กลิ่นของซอมบี้อีก…
แต่เปรียบเทียบกันแล้ว กลิ่นกายของเขาก็ต่างจากมู่เฉินอยู่บางส่วน
ถึงจะไม่อยากยอมรับ แต่สวี่ซูหานก็อยากอยู่ใกล้หลิงม่อมากกว่าจริงๆ
“ช่างเถอะ นายไม่อยากบอกฉันก็จะไม่ถาม อีกอย่าง…วางใจเถอะ” จู่ๆ สวี่ซูหานก็พูดขึ้น “ฉันจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น”
“หา?” หลิงม่อกลับงุนงง ผ่านไปหลายวินาทีจึงค่อยยกมือโบกไปมาแล้วบอกว่า “เธอเป็นซอมบี้ จะมีโอกาสพูดเรื่องนี้กับใครที่ไหน…”
“นี่…” สวี่ซูหานพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ อย่างน้อยก็ช่วยแสดงความขอบคุณที่เธออุตส่าห์รูดซิปปากสนิทหน่อยก็ได้นะ!
อีกอย่าง…ไม่เห็นต้องมาพูดซ้ำเติมกันอย่างนี้เลย!
“ก็ถ้าเธอเป็นคนประเภทนั้น ฉันคงไม่ช่วยเธอแต่แรกแล้ว” หลิงม่อพูดเสริม
สวี่ซูหานพ่นลมหายใจ นี่เขาชมเธอ หรือจะอวดตัวว่าเป็นคนดูคนเป็นกันแน่ล่ะ…
“ฉันรู้สึกว่าที่นี่มีบางอย่างผิดปกติ” จู่ๆ หลิงม่อก็เปลี่ยนเรื่อง
“หืม?” สวี่ซูหานตามไม่ทัน
“มันเงียบสงบเกินไป” หลิงม่อพูดต่อ
“เงียบสงบ?” สวี่ซูหานหางตากระตุก อย่างนี้เขาเรียกสงบได้ที่ไหน ในเมื่อชั้นใต้ดินกำลังมีเสียงโครมครามอยู่อย่างนี้?
ถึงจะห่างกันหนึ่งชั้น และเธอก็ได้ยินเพียงเสียงเบาๆ แต่แค่คิดก็รู้แล้วว่าสถานการณ์ข้างล่างรุนแรงแค่ไหน
“อืม เธอคิดดูสิถึงข้างล่างจะเกิดเรื่องวุ่นวาย แต่ขอบแขตกลับไม่กว้างมาก” หลิงม่อพูดพลางขมวดคิ้ว
สวี่ซูหานจ้องพื้นใต้เท้าตัวเอง เธอไม่อาจมองทะลุพื้นเพดานที่หนาขนาดนี้แล้วเห็น “ขอบเขต” อะไรที่หลิงม่อพูดถึง และไม่รู้ว่าเขารู้ได้อย่างไรกันแน่…
“เอาเป็นว่าหลังจากที่เราได้ของที่ต้องการครบแล้ว ก็ไปจากที่กันเถอะ” สวี่ซูหานเงยหน้าขึ้นอย่างเหม่อๆ แล้วพูดขึ้น
พอคิดว่าข้างล่างมีแต่ซอมบี้ เธอก็รู้สึกขนลุกขนพอง
ความคิดอย่างนี้ยากจะควบคุมและกำหนดได้ และยิ่งไม่มีทางที่จู่ๆ เธอจะรู้สึกเฉยๆ กับซอมบี้เพียงเพราะเธอกำลังอยู่ในระหว่างกลายพันธุ์อย่างแน่นอน
อีกอย่าง เธอก็ยังไม่ได้กลายร่างอย่างสมบูรณ์ด้วย…
“อืม” ถึงหลิงม่อจะรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง แต่เขาก็คงไม่เลือกเสียเวลาอยู่ที่นี่ไปตลอด
ถ้าหาไม่เจอจริงๆ ก็คงทำได้เพียงคิดว่าตัวเขาคิดมากไปเอง…
ทว่าความรู้สึกไม่สบายใจนั่นรุนแรงมากจริงๆ ถึงขนาดทำให้หลิงม่อรู้สึกว่าคลื่นดวงจิตของตัวเองแปลกไป
มันทั้งเหมือนว่าเขาสัมผัสได้ถึงอันตรายบางอย่าง ขณะเดียวกันก็เหมือนถูกอะไรบางอย่างกระตุ้นด้วย ดังนั้นเขาจึงรู้สึกตื่นเต้นมาก
สิ่งสำคัญคือ เขารู้สึกเหมือนความคลุ้มคลั่งที่ตัวเองพยายามกดข่มไว้มาโดยตลอด กำลังจ้องจะเล่นงานเขาอีกครั้ง…
ความรู้สึกอย่างนี้ นอกเหนือจากตอนที่อัพเกรดร่วมกับเหล่าสาวๆ ซอมบี้แล้ว ก็มีแค่ตอนที่เขาถูกกระตุ้นอย่างรุนแรงเท่านั้นจึงจะเกิดขึ้น
แต่จู่ๆ ความรู้สึกนี้ก็โผล่ขึ้นมา เป็นเพราะอะไรกันแน่ล่ะ…
หรือพูดอย่างเลื่อนลอยไม่มีเหตุผลหน่อยก็คือ หลิงม่อรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งกำลังดึงดูดเขาจากความมืดมิด
ที่เขาบอกว่าขอบเขตไม่กว้างเป็นเพราะมีเหตุผลให้กล่าวอ้างได้ ซอมบี้ตัวเล็กกำลังเกาะขอบเคาน์เตอร์และแอบมองเหตุการณ์ข้างนอก และเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีซอมบี้สิบกว่าตัวกำลังล้มซอมบี้ตัวหนึ่ง และกัดกินศพของมัน
จากกลิ่นคาวเลือด ปริมาณเชื้อไวรัสที่อยู่ในร่างกายซอมบี้ตัวนี้ไม่เข้มข้น กระทั่งรู้สึกว่าความเข้มข้นต่ำกว่าซอมบี้ทั่วไปด้วยซ้ำ
ซึ่งแน่นอนว่ามันจะต้องเป็นผู้อ่อนแอท่ามกลางฝูงซอมบี้ที่จะต้องถูกกำจัดทิ้งอยู่แล้ว
สิ่งที่แปลกคือ หากเกิดเหตุการณ์อย่างนี้โดยปกติซอมบี้ทุกตัวที่อยู่ในชั้นนี้ต้องกรูกันเข้าไปหมดแล้ว
จากนั้นพวกมันก็จะต่อสู้กัน เพราะแย่งอาหารที่มีไม่มาก และซอมบี้ผู้อ่อนแอตัวใหม่ก็อาจกลายเป็นตัวที่ต้องพลีชีพลำดับต่อไป
ถึงแม้จะตายมาก แต่ซอมบี้ที่ได้รับโอกาสในการวิวัฒนาการก็มีเพิ่มขึ้นเหมือนกัน
แต่ไหนแต่ไร ฝูงซอมบี้ก็วิวัฒนาการโดยการต่อสู้ที่ดุเดือดอย่างนี้มาโดยตลอดอยู่แล้ว
ซอมบี้ระดับสูงเหล่านั้น ก็เกิดขึ้นจากกระบวนการเหล่านี้ทั้งนั้น
แต่ที่นี่ พอซอมบี้ที่อยู่ห่างมองเห็นศพถูกล้อมไว้หมดแล้ว กลับไม่เข้ามาร่วมวงอีก…
ตอนที่พวกหลิงม่อเจอซอมบี้ครั้งแรก ก็เหมือนจะเป็นอย่างนี้เหมือนกัน…
หากมีพวกเขาอยู่ พวกมันก็สามารถละทิ้งศพของเพื่อนร่วมสายพันธุ์ระดับธรรมดาไปได้ง่ายๆ
และตอนที่เจ้าหัวโตถูกฆ่าตาย ซอมบี้ทั้งหมดก็ไม่ได้กรูกันเข้าไปเหมือนผึ้งตอมรัง
รูปแบบพฤติกรรมของซอมบี้เหล่านี้…ผิดปกติจริงๆ
หากเป็นอย่างนี้ วิวัฒนาการของพวกมันจะไม่ช้าลงมากหรือ?
ซึ่งมันไม่สมเหตุสมผลกับลักษณะเด่นที่เชื้อไวรัสสร้างให้พวกมันเลย…
พอเห็นว่าซอมบี้ที่อยู่ห่างออกไปไม่มีทีท่าว่าจะล้อมเข้ามาแน่นอนแล้ว ซอมบี้ตัวเล็กจึงเดินออกมาจากที่ซ่อนตัวช้าๆ
ชั้นใต้ดินก็หาจนทั่วแล้ว ความรู้สึกไม่สบายใจนั่นก็เหมือนจะอยู่แถวๆ นี้ตลอด แต่พอจะตามหาก็หาไม่เจอ…
เหตุการณ์อย่างนี้ เพิ่งเคยเกิดขึ้นครั้งแรก…
“แอ๊ดด…”
ประตูเหล็กที่ปิดสนิทถูกดึงออกช้าๆ ดวงตาแดงก่ำคู่หนึ่งโน้มเข้าไปใกล้ช่องประตูที่เปิดแง้มออก แล้วจ้องเขม็งเข้าไปด้านใน
—————————————————————————–