ท่ามกลางทางเดินที่มืดมิด อวี๋ซือหรานกำลังวิ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง
“หยุดเดี๋ยวนี้!” เธอวิ่งไล่ พลางตะโกนเรียกอย่างฉุนเฉียว
คิดไม่ถึงว่าเงาร่างที่หน้าตาเหมือนตัวเองในสมัยก่อน จะวิ่งเร็วขนาดนี้…
“ตึกๆๆๆ…”
แต่เสียงที่ตอบกลับมาจากข้างหน้า กลับมีเพียงเสียงฝีเท้าที่ชัดเจน
ฟังจากเสียงเหมือนอยู่ไม่ไกล แต่ไม่ว่าจะเป็นเธอหรือเฮยซือต่างก็วิ่งตามอีกฝ่ายไม่ทัน
ภายในเวลาสั้นๆ เพียง 3 นาที อวี๋ซือหรานก็วิ่งตามไปไกลมากแล้ว
เธอไม่รู้ว่าโครงสร้างของภายในอาคารแห่งนี้เป็นอย่างไร แต่ก็เริ่มรู้สึกตงิดขึ้นมาบ้างแล้ว
ทำไมทางเดินเส้นนี้ถึงได้ยาวจัง…
อีกอย่าง ระหว่างทางก็ไม่เห็นหน้าต่างซักบานเลย
เธอขมวดคิ้วมองไปข้างหน้า พลางกัดเม้มปากเบาๆ
เหมือนมีอะไรบางอย่างผิดปกติ…
“หืม? แกว่าไงนะ?” จู่ๆ อวี๋ซือหรานก็กระดกคิ้วขึ้น
หลังจากยืนอึ้งในท่ายกมือป้องหูเหมือนกำลังตั้งใจฟังอะไรบางอย่างอยู่กับที่ 2 วินาที อวี๋ซือหรานก็ทำหน้าตะลึงพรึงเพริดขึ้นมา “ใช่แล้ว…ฉันวิ่งตามมันมาตลอดทาง แต่ไม่เห็นทางแยกเลยซักทาง แถมระยะห่างก็ไม่ได้ไกลมาก แต่ทำไมไม่เห็นตัวมันซักนิดเลยล่ะ?”
อวี๋ซือหรานมองไปที่ผนังสองฝั่ง แล้วเธอก็รู้สึกว่าภาพที่เห็นเบลอๆ ไม่ชัดเจนอย่างที่คิดไว้จริงๆ
เธอขยี้ตา แล้วมองซ้ายมองขวาหนึ่งรอบ
“เฮ้ย! เฮยซือ ฉันตาบอดแล้ว!” อวี๋ซือหรานร้องเสียงหลง เธอรีบยกมือขึ้นมาตรงหน้า จากนั้นก็ร้องขึ้นอย่างประหลาดใจอีกครั้ง “แกพูดถูก ฉันยังมองเห็นตัวเองได้จริงๆ ด้วย”
แต่ดีใจได้ไม่ถึง 2 วินาที อวี๋ซือหรานก็เบะปากอย่างเคืองๆ “ชิ ฉันก็แค่ลืมเท่านั้นเอง แกไม่ต้องมาย่ามใจเลยนะ…”
ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่สิ่งเดียวที่เธอมองเห็นในนี้ มีเพียงตัวเองเท่านั้น…
ความรู้สึกนี้ไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีนัก และอวี๋ซือหรานก็เริ่มตระหนักได้แล้ว ว่าการที่ตัวเองวิ่งตามมาเป็นการตัดสินใจที่วู่วามมาก
แต่จู่ๆ ก็มองเห็นคนที่มีหน้าตาเหมือนกับตัวเองในสมัยก่อนอย่างนั้น จะไม่ให้วิ่งตามได้ยังไงล่ะ…
“เฮยซือ ไหนแกลองบอกมาซิ ว่าทำไมถึงได้มีซอมบี้ที่เหมือนฉันอีกตัว?”
อวี๋ซือหรานเอียงคอถามอย่างสงสัย
แต่เห็นชัดว่าคำถามนี้เฮยซือก็ไม่รู้เช่นกัน ดังนั้นหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง อวี๋ซือหรานก็ยังคงตัดสินใจตามต่อไป
เธอหันกลับไปมองข้างหลัง โถงทางเดินมืดมิดด้านหลังก็เป็นภาพเบลอๆ
ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ก็เดินตามเสียงฝีเท้าไปข้างหน้าดีกว่า
“ไม่รู้ว่าเจ้ามนุษย์ไส้กรอกนั่นจะเป็นยังไงบ้างแล้ว เจ้านั่นให้ฉันเข้ามาช่วย แต่ฉันช่วยไม่ได้ คงจะไม่ให้ฉันอดข้าวอดน้ำ แล้วก็ห้ามไม่ให้ฉันออกล่าหรอกนะ?”
อวี๋ซือหรานเดินไปข้างหน้า พลางพูดขึ้นเสียงเบา
“ใช่แล้ว ถ้าฉันจับเจ้าเพื่อนร่วมสายพันธุ์ประหลาดตัวนี้ได้ก็เท่ากับเป็นการช่วยเขาไม่ใช่หรอ…”
อวี๋ซือหรานพยักหน้าหงึกๆ
ทว่าคราวนี้ไม่ต้องให้เฮยซือบอก เธอก็สังเกตได้ด้วยตัวเองแล้ว
เมื่อกี้ตอนที่เธอหยุดเดิน เสียงฝีเท้านั้นก็หยุดด้วยเช่นกัน
ตอนนี้พอเธอเริ่มเดินอีกครั้ง เพียงแต่เดินช้ากว่าเมื่อกี้มาก
คาดไม่ถึงเลยว่าเสียงฝีเท้านั่น ก็ช้าลงเช่นกัน…
“มันจงใจล่อให้ฉันเดินตามหรอ?” อวี๋ซือหรานมองไปข้างหน้าอย่างสงสัย เพราะเป็นซอมบี้ ความคิดของเธอจึงตรงไปตรงมา
“เหอะ ตามก็ตามสิ อยากรู้นักว่ามันจะทำอะไร!”
หลังตัดสินใจได้ อวี๋ซือหรานกลับเดินตามอยู่ข้างหลังช้าๆ เหมือนกำลังเดินเล่นอย่างไม่รีบร้อน
ทว่าข้างหลังเธอ มีเส้นไหมสีเงินมากมายกำลังลอยไหวอยู่ หนึ่งในนั้นยื่นออกไปทางกำแพงอย่างเงียบเชียบ แล้วทันใดนั้นก็เกร็งตัวจนตรงแน่วเหมือนไม้บรรทัด…
“ตรงนี้แหละ!” หลิงม่อหยุดเดินทันที
จากการคำนวณของเขา บริเวณนี้น่าจะเป็นห้องน้ำไม่ผิดแน่
ทว่าประตูห้องน้ำที่เคยมี ตอนนี้กลับหายไปเสียแล้ว
อาศัยหลับตาแล้วคลำหาคงจะไม่ได้ผล ตอนนี้ไม่ว่าสภาพแวดล้อมแบบไหน ก็คงจะถูกทำให้กลายเป็นเหมือนทางเดินเส้นนี้หมด อย่างน้อยในความรู้สึกของหลิงม่อก็เป็นอย่างนี้
แต่หลิงม่อยังมีวิธีอื่นอยู่อีก เพราะเขามีหนวดสัมผัส…
อีกฝ่ายอาจก่อกวนประสาทสัมผัสทั้งหมดของเขา แต่กลับไม่สามารถทำอะไรตัวเขาได้
ที่นี่มีพื้นที่ไม่กว้างมาก ถึงจะใช้พลังหลอกตาอย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมภายนอกได้
“ทางเดินกว้างสุดไม่เกิน 3 เมตร น่าจะกว้างประมาณ 2 เมตร…ถึงเราจะโชคไม่ดีเดินไปถึงทางเลี้ยว แต่ความกว้างก็ไม่น่าจะต่างจากเดิมไปมากเท่าไหร่…”
ความจริงวิธีการนี้ของหลิงม่อไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ใช้ได้ แต่เพื่อให้ได้มาซึ่งผลตอบแทนที่มากที่สุดโดยแลกกับการสูญเสียพลังจิตน้อยที่สุด หลิงม่อจึงตัดสินใจเลือกมาใช้ตรงนี้
หลังจากยืนในตำแหน่งที่เลือกเสร็จ ครั้งนี้หลิงม่อกลับไม่ได้หลับตาเหมือนเมื่อกี้ หนวดสัมผัส 2 – 3 เส้นแผ่ออกมาจากดวงแสงแห่งจิตของหลิงม่อ แล้วค่อยๆ กระจายตัวยื่นออกไปบริเวณรอบๆ
ผลจากการหลับตาก่อนหน้านี้ได้บอกชัดเจนแล้วว่า ความสามารถในการเลือกทิศทางของเขาก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
หากหลับตาไม่แน่ว่าหนวดสัมผัสทั้งหมดอาจมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน ถ้าอย่างนั้นก็สู้ลืมตาไว้ดีกว่า
ขอเพียงเขาเปลี่ยนหนวดสัมผัสให้เป็นรูปสสาร เขาก็สามารถแทงทุกสิ่งที่อยู่รอบกายให้พรุนเป็นรังแตนได้ในพริบตา
หากทำอย่างนี้ไม่ว่าจะเป็นโลกแห่งภาพลวงตาแบบไหน ก็น่าจะสามารถทำลายได้…
ทว่าหลิงม่อไม่ได้รีบร้อนลงมือ…
ไม่นาน หุ่นซอมบี้ตัวเล็กก็คลำทางจนกลับมาถึงตำแหน่งเดิม แต่ก็ไม่พบอะไรเช่นเคย
คราบเลือดหายไปแล้ว…
ถ้าไม่ใช่ว่าฝ่ามือยังมีร่องรอยบาดแผลอยู่ หลิงม่อถึงขั้นสงสัยว่าตัวเองเคยออกคำสั่งนั้นผ่านกระแสจิตจริงหรือเปล่า
“อยู่ในสภาวะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาจริงๆ ด้วย ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าเป็นไปได้มากว่ากำลังเดินวนอยู่ทีเดิม ที่เหลือก็แค่ต้องยืนยันว่าอยู่ใกล้ห้องน้ำหรือเปล่าก็จะมั่นใจได้แล้ว ถึงจะไม่สามารถทำลายโลกแห่งภาพลวงตาได้ แต่อย่างน้อยก็สัมผัสได้ว่าสภาพแวดล้อมรอบข้างมีอะไรเปลี่ยนแปลงไหม…”
“เดี๋ยวก่อน…”
ทันใดนั้น หลิงม่อก็รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง
ในเมื่อเดินวนอยู่ที่เดิม แต่ทำไมเขาถึงสัมผัสได้ว่าหุ่นซอมบี้ตัวเล็กกำลังเดินห่างจากเขาไปเรื่อยๆ ล่ะ?
แล้วระยะห่างนี้…ก็เหมือนจะไกลกว่าความยาวโดยรวมของทางเดินเส้นนี้เสียอีก!
นับตั้งแต่รู้ตัวว่าตัวเองติดกับดัก หลิงม่อก็เริ่มนับก้าวเดินของตัวเองอย่างมีสติตลอดเวลา
บวกรวมกับทั้งตอนมาและตอนกลับ อาจดูเหมือนเขาเดินหลายรอบแล้ว แต่เขามั่นใจว่าตัวเองยังอยู่ในทางเดินเส้นนี้แน่นอน
ถ้าหากเขากลับเข้าไปในตัวห้างฯ พวกเย่เลี่ยนต้องหาเขาเจอ
หรือถ้าหากเขาเดินออกไปนอกประตูเหล็กแล้ว เสี่ยวป๋ายก็ต้องหาเขาเจอเช่นกัน
แต่จนถึงตอนนี้เขาก็ยังถูกขังไว้ในโลกแห่งภาพลวงตานี้อยู่ ซึ่งนั่นก็บ่งบอกชัดเจนแล้ว
อีกฝ่ายสามารถควบคุมได้แค่ทางเดินเส้นนี้เท่านั้น และเจ้าตัวก็อยู่ในนี้ด้วยอย่างแน่นอน…
“ความจริงเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องยากเลย เพราะถึงยังไงสภาพแวดล้อมที่นี่ก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย…ใช่แล้ว ไม่ซับซ้อน…”
หลิงม่อขมวดคิ้ว สภาพแวดล้อมไม่ซับซ้อน แล้วก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แต่กลับไม่สามารถเดินออกไปได้…
วิธีที่คนทั่วไปนึกถึง คงจะเป็นการทำลายในวงกว้างสินะ?
ก็เหมือนกับหลิงม่อ…
ถึงแม้หลิงม่อจะทำอะไรหลายอย่าง เพื่อทำความเข้าใจความสามารถพิเศษนี้ให้มากยิ่งขึ้น แต่เมื่อทุกวิธีไร้ผล สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจใช้วิธีการจู่โจมรอบทิศ…
ถ้าหากว่ามีเขาถูกขังอยู่ที่นี่แค่คนเดียวก็ไม่มีปัญหา แต่ที่นี่ยังมีมู่เฉินกับอวี๋ซือหรานอยู่ด้วย…
“เชี่ยย!”
หลิงม่อร้องอย่าตะลึงพรึงเพริด ระยะห่างระหว่างเขากับหุ่นซอมบี้ตัวเล็กไม่ใช่ของจริง นั่นแสดงว่าหากเขาทำการจู่โจมจริงๆ เป็นไปได้มากว่าเขาอาจเห็นหุ่นซอมบี้ตัวเล็กยืนอยู่ตรงหน้าตัวเอง!
ไม่ใช่แค่หุ่นซอมบี้ตัวเล็ก อาจรวมถึงมู่เฉินและอวี๋ซือหรานด้วย!
“อยู่ไหน?”
หลิงม่อกลอกลูกตามองรอบตัว เขารู้ว่าถึงแม้พวกเขาจะอยู่ข้างๆ ตัวเอง อย่างไรก็ไม่อาจสัมผัสถึง
ทุกคนถูกภาพลวงตาหลอก แม้จะเดินเฉียดไหล่กันก็ยังไม่รู้ตัว…
“ทุกคน?”
จู่ๆ หลิงม่อก็นึกถึงสิ่งที่เขาพลาดไปขึ้นมาได้
เขายกมือตบหน้าผาก ทำไมเมื่อกี้ถึงคิดไม่ออกนะ!
มัวแต่คิดจะใช้หุ่นซอมบี้ตัวเล็กทำเรื่องโน้นเรื่องนี้ แต่กลับลืมไปว่ามันเป็นหุ่นซอมบี้ที่ถูกเขาควบคุม ไม่ได้รับผลกระทบจากภาพลวงตาแต่แรกอยู่แล้ว!
สาเหตุที่มองเห็นเหมือนกัน เป็นเพราะผลกระทบต่อเนื่องจากตัวเขาเอง…
และที่อวี๋ซือหรานได้รับผลกระทบด้วยนั้น เป็นเพราะหลิงม่อมีสายสัมพันธ์ทางจิตกับเฮยซือเท่านั้น ไม่ได้ควบคุมเธอโดยตรง
บวกกับดวงแสงแห่งจิตของอวี๋ซือหรานค่อนข้างแยกตัวเป็นอิสระอยู่แล้ว ดังนั้นจึงได้รับผลกระทบไปด้วย
“หวังว่าจะไม่ทำให้ดวงแสงแห่งจิตของเจ้าหุ่นซอมบี้ตัวเล็กบาดเจ็บมากไปนะ…”
หลิงม่อตื่นตัวขึ้นมาทันใด เมื่อกี้เขาเกือบโดนหลอกเสียแล้ว แต่ตอนนี้เขากลับมีโอกาสสูงที่จะถูกมู่เฉินกับอวี๋ซือหรานโจมตี
ในเมื่อเขาไม่ลงมือ ไม่แน่ว่าคนที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดอาจทำให้มู่เฉินกับอวี๋ซือหรานเป็นฝ่ายลงมือแทน
ยังไม่พูดถึงมู่เฉิน การโจมตีของอวี๋ซือหรานจะต้องรุนแรงมากอย่างแน่นอน…
“เมื่อกี้ยังคิดจะทำลายภาพลวงตาอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับต้องมาห่วงว่าจะถูกพรรคพวกโจมตี…”
หลิงม่อรู้สึกจนใจเล็กน้อย เขาก็เพิ่งนึกเรื่องนี้ขึ้นได้เหมือนกัน
ถ้าหากไม่ใช่ว่าเขาทดลองทำทุกวิธีที่มีความเป็นไปได้ซ้ำไปซ้ำมา เขาก็คงไม่รู้เรื่องนี้
ผลกระทบที่อีกฝ่ายสร้างขึ้นเป็นแบบรอบด้าน หากไม่ใช่ว่าหลิงม่อเป็นคนที่แตกต่าง เขาก็คงไม่มีทางรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน
“พลังนี้น่ากลัวจริงๆ…แต่ในเมื่อจะให้พวกเราฆ่ากันเอง ก็แสดงว่าคนคนนี้ไม่สามารถใช้โลกแห่งภาพลวงตาฆ่าคนได้ เป็นข้อจำกัดที่ใหญ่ทีเดียว…”
—————————————————————————–