แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 128 บทบาทสมมติ

“หลิวหลี เจ้าบอกว่าเจ้าจะไปหรือ” หลงซินเยว่พูดอย่างประหลาดใจ นางเพิ่งจะแต่งงาน ลูกสาวก็จะไปแล้ว ไม่อยากจะให้ไปเลยจริงๆ
“ใช่สิ นังหนู ทำไมไม่อยู่ต่ออีกสักหน่อย อาจารย์ของเจ้าเข้าฌานอยู่ไม่ใช่หรือ” หลงจิ่งหลินพูดเสริมขึ้น
“ไม่ล่ะ ข้าควรออกไปตามหาชะตา ท่านลุง ท่านก็รู้ความพิเศษของเคล็ดวิชาที่ข้าฝึก ข้าจำเป็นต้องหาเพลิงอัคคี คงไม่สามารถรอให้เพลิงอัคคีมาหาได้ อีกอย่าง ข้าก็อยากจะออกไปเดินชมอะไรด้วย” หลิวหลีบอกความคิดของตัวเอง นางยังไม่เคยเจอเผ่าอสูรกับเผ่ามารเลย นางยังไม่เคยเห็นทะเล ได้ยินมาว่าในทะเลมีอสูรทะเลที่มีฝีมือไม่น้อย
“ก็ดีเหมือนกัน คนหนุ่มสาวควรจะมีความมุ่งมั่น ไปเถอะ แต่อย่าลืมกลับมาบ่อยๆล่ะ” หลงเหวินเซวียนเห็นด้วยเป็นอย่างมาก มังกรมากความสามารถไม่ว่าจะที่ใดก็รั้งไว้ไม่ได้
“แต่ท่านพ่อ” หลงซินเยว่ยังอยากจะพูดอะไรต่อ
“เอาเถอะ ซินเยว่ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงนังหนูหลิวหลี พูดตรงๆนะ พวกเจ้าสองไม่ใช่คู่แข่งของหลิวหลีด้วยซ้ำ พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” หลงเหวินเซวียนพูดแทรกหลงซินเยว่
“ท่านตา ข้าจะกลับมาเยี่ยมบ่อยๆ อย่างไรเสียการจัดอันดับผู้ถูกเลือกก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้น” หลิวหลีกล่าว พอถึงเวลานั้นนางต้องมีชื่ออยู่ในการจัดอันดับแน่ หลิวหลีมั่นใจในเรื่องนี้มากทีเดียว
“ดีมาก สมแล้วที่เป็นลูกหลานสกุลหลง มีความมั่นใจในตัวเองดี ไปเถอะ กลับมาต้องมาทำให้ข้าประหลาดใจล่ะ” หลิวเหวินเซวียนหัวเราะแล้วพูดขึ้น หลานคนอื่นๆของเขาไม่กล้าพูดด้วยซ้ำว่าจะมีชื่ออยู่ในรายชื่อการจัดอันดับ บอกได้แค่ว่าจะพยายามให้ถึงที่สุด แต่หลานคนนี้ของเขากลับบอกกับเขาเลยว่า นางจะต้องมีชื่ออยู่ในรายชื่อการจัดอันดับแน่ นังหนูคนนี้ไม่ได้เป็นคนหลงตัวเอง แต่เป็นคนที่มั่นใจในตัวเอง ช่างเป็นความโชคดีของบ้านสกุลหลงแท้ๆ
“นังหนูหลิวหลี เจ้าไปคนเดียวหรือ” หลงจิ่งหลินถามขึ้นด้วยความสงสัย เด็กบ้านสกุลหนานกงคนนั้นล่ะ
“ไม่เจ้าค่ะ ลุงสาม ข้าออกไปกับเวิ่นเทียน อีกอย่าง ท่านแม่ ข้ามีความสามารถในการเอาตัวรอด ท่านก็รู้ดี” หลิวหลีพูดขึ้นพลางขยิบตาให้หลงซินเยว่
“เจ้าจะต้องระวังล่ะ” หลงซินเยว่นึกถึงมิติที่ไม่มีใครรู้อันนั้น ก็รู้สึกเบาใจขึ้นมา หลงซินเยว่จับแหวนเก็บของสองวงของตัวเอง เดิมนางคิดว่าด้านในว่างเปล่า นึกไม่ถึงว่าด้านในมีชั้นวางของที่เต็มไปด้วยยาศักดิ์สิทธิ์หลายชนิด เอาออกมาเม็ดหนึ่งก็สามารถนำไปประมูลขายได้ในราคาดี แหวนเก็บของของอาเลี่ยก็เช่นกัน ตอนนี้จั้นเฟิงหลิงเข้าใจแล้ว ในใจของนังหนูก็ยังมีเขาพ่อคนนี้อยู่ เพียงแต่นังหนูต้องการเวลาในการยอมรับเท่านั้นเอง
หลิวหลีจากไปอย่างสง่าผ่าเผย ไม่ได้บอกใครทั้งนั้น
“นังหนู เจ้าจากไปอย่างนี้เลยจะดีหรือ?” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว
“ไม่ดีตรงไหน การจากลาเป็นเรื่องน่าเศร้า แบบนี้น่าจะดีกว่า” หลิวหลีพูดอย่างไม่สนใจ เอ๋าเลี่ยกับจื่อฉีที่อยู่ข้างๆ ก็พยักหน้าหงึกหงัก จื่อฉีน้ำตาแทบไหลอาบแก้ม ในที่สุดเขาก็ได้ออกมาแล้ว พ่อแม่ที่เอาแต่หวานกันคู่นั้นคงจะไม่คิดถึงเขา
“นังหนูไม่พูดอะไรก็ไปแล้ว ข้าเตรียมของจะให้นางไว้ไม่น้อย” หลงซินเยว่มองดูห้องที่ว่างเปล่า ก็รู้ว่าหลิวหลีจากไปแล้ว
“ลูกโตแล้ว ก็จะต้องไปเป็นเรื่องธรรมดา ซินเยว่ เจ้ายังมีข้าอยู่นะ” จ้านเฟิงหลิงกล่าว
ส่วนฟากหลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนก็ปลอมตัวเป็นผู้บำเพ็ญช่วงอมตะออกไปเดินเที่ยวเล่น ทำให้เจอกับผู้คนแปลกๆ ไม่น้อย
พวกหลิวหลีเดินทางจนมาถึงเมืองจินเยี่ย
“สหาย ได้ยินข่าวหรือไม่ว่าช่วงนี้มีนักบำเพ็ญหญิงจำนวนไม่น้อยที่ประสบเคราะห์ร้าย”
“ใช่ ได้ยินมาว่าสภาพดูไม่ได้เลย”
“ถูกดูดเสียจนกลายเป็นศพแห้งเหี่ยว ตายตาไม่หลับเลยจริงๆ”
“ได้ยินมาว่าท่านเจ้าเมืองเพิ่มรางวัลนำจับคนร้าย”
พวกหลิวหลีฟังเงียบๆ นักบำเพ็ญหญิงประสบเคราะห์ร้ายหรือ
“เสี่ยวเทียน เจ้าสนใจไหม” หลิวหลีถามขึ้นอย่างตื่นเต้นน้อยๆ
“หลิวหลี เจ้าคิดจะทำอะไร” หนังตาขวาของเขากระตุก นังหนูคิดจะเล่นอะไรอีก
“เสี่ยวเทียน เจ้าดู ข้าเป็นหญิงสาวบอบบาง เจ้าได้ยินเรื่องที่เลวร้ายเช่นนี้ ไม่ควรจะออกแรงช่วยหน่อยหรือ”
เส้นเลือดบนหน้าผากของหนานกงเวิ่นเทียนเต้นตุบๆ
“พูดดีๆหน่อย” หากผู้หญิงทุกคนบนโลกต่างบอบบางแบบเจ้า ผู้ชายทั้งโลกไม่ต้องร้องไห้ออกมาเป็นแม่น้ำเลยหรือ
“เสี่ยวเทียน เจ้าทนเห็นข้าไปเสี่ยงได้หรือ คงจะทนไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้น” หลิวหลียิ้มอย่างมีเลศนัย
หนานกงเวิ่นเทียนมองการแต่งตัวของตัวเอง แล้วก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ ก็รู้ว่านังหนูไม่น่าจะมีเรื่องอะไรดีแน่
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนะ สามีข้าจะดูแลเจ้าเอง” หลิวหลีพูดจบก็ทำท่าจะจูบหนานกงเวิ่นเทียน
“สำรวมหน่อย” หนานกงเวิ่นเทียนทำหน้าบึ้งตึง แต่ใบหูของเขากลับแดงทรยศตัวเขาเอง
“ข้าก็สำรวมมาโดยตลอด ดูสิดู เจ้าปีศาจน้อยของพี่ เจ้าทำให้ข้าต้องใจสั่น” หลิวหลีเอามือเสยคางหนานกงเวิ่นเทียน แล้วส่งจูบด้วยท่าทางเจ้าชู้ หนานกงเวิ่นเทียนหน้าแดงเพราะความโมโห เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่านังหนูยังเล่นไม่หยุด อสูรเทพทั้ง 3 ตัวที่ไร้ตัวตนอยู่ด้านหลังหัวเราะจนตัวงอ
“ปีศาจน้อย ฮ่าฮ่า” คำเรียกของหลิวหลีทำให้เอ๋าเลี่ยเริ่มพูดจาติดขัด ท่าทางจีบสาวแบบนี้ นังหนูคุ้นเคยเป็นที่สุด
“หัวเราะกันพอหรือยัง” หนานกงเวิ่นเทียนกัดฟันพูด ทำท่าเหมือนจะไม่ยอมเปลี่ยนเสื้อผ้า หลิวหลีขวางทันที แต่ทว่า
ไม่นานด้านหลังสาวงามลึกลับด้านหลังมีเด็กหนุ่มท่าทางทะมัดทะแมงเดินกุมบั้นท้ายของตัวเองตามมา เด็กหนุ่มที่กุมบั้นท้ายของตัวเองนั้น ก็คือหนานกงเวิ่นเทียนกับหลงหลิวหลี
หลิวหลีจับบั้นท้ายของตัวเอง ใบหน้าแดงก่ำ นางอายุตั้งปูนนี้แล้ว ยังถูกตีก้นอีก ถึงแม้จะไม่เจ็บ แต่จะให้เอาหน้าไปไว้ที่ไหน หลิวหลีมองหนานกงเวิ่นเทียนด้วยความไม่พอใจ ร้ายกาจยิ่งนัก
“อะไร อยากจะโดนอีกหรืออย่างไร” หนานกงเวิ่นเทียนมองดูหลิวหลีที่พยายามระงับความโมโห
“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ฮูหยินของข้า ทำไมไม่รอข้าเลยล่ะ” ถึงแม้จะแพ้เขาแต่ท่าทางจะแพ้ไม่ได้ หลิวหลีรีบวิ่งไปโอบเอวหนานกงเวิ่นเทียน กล้าตีก้นนาง หึ นางตัดสินใจจะเล่นให้สมบทบาทไปเลย
เมื่อเห็นหลิวหลีที่ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันที พร้อมกับแววตาที่ราวกับกำลังหัวเราะอย่างชั่วร้าย นังหนูคงไม่ได้คิดเรื่องดีแน่
“ท่านพี่ ท่านจะต้องเดินเร็วหน่อยนะ” ในเมื่อนังหนูอยากจะเล่น ก็เล่นกับนางหน่อยละกัน
“มาแล้ว เจ้าลองดู มีอะไรที่ชอบหรือไม่ ข้าจะซื้อให้เจ้าเอง ไม่จำเป็นต้องช่วยข้าประหยัดเงิน ตัวข้านั้นอย่างอื่นอาจจะมีไม่มาก แต่หินวิญญาณนั้นมีมากอยู่” หลิวหลีผงะไปเล็กน้อย แล้วก็รีบเข้าสู่บทบาท เสี่ยวเทียนให้ความร่วมมือขนาดนี้ นางจะทำให้ผิดหวังไม่ได้ อืม สาวใช้กับเด็กหนุ่มรับใช้ไปไหนแล้ว
“ไม่ได้ยินที่ฮูหยินบอกให้เร็วหน่อยหรืออย่างไร พวกเจ้าทั้งสามคนจะให้นายน้อยอย่างข้ามารอพวกเจ้าหรือไง กลับไปจะหักหินวิญญาณให้หมดเลยคอยดู” หลิวหลีตะโกนบอกกับเฟิงอิงเสวี่ยที่รับบทเป็นสาวใช้ เอ๋าเลี่ยกับจื่อฉีที่รับบทเป็นเด็กหนุ่มรับใช้
“เจ้าค่ะ นายน้อย” เฟิงอิงเสวี่ยขานรับ แล้วก็รีบเดินตามไป เอ๋าเลี่ยทำสีหน้าบึ้งตึง นังหนูเล่นเกินไปแล้ว
ผู้ชมชาวบ้านที่ดูอยู่รอบๆ นี่นายน้อยมาจากที่ไหนอีกล่ะ ดูสิดู ฮูหยินของเขาช่างดูละมุนละไม ไม่รู้ว่าช่วงนี้ผู้บำเพ็ญหญิงที่หน้าตาดีในเมืองจินเยี่ยหายตัวไปเป็นจำนวนมากหรืออย่างไร ภรรยาของเขาถึงได้สะสวยขนาดนี้ พลังบำเพ็ญเพียรเพิ่งจะอยู่ในช่วงอมตะ นี่ไม่ได้เป็นการล่อโจรเข้าบ้านหรอกหรือ หลายคนทำท่าทางเสียดาย แล้วก็มีอีกหลายคนที่อยากจะคอยติดตามพวกเขา
หลิวหลีพยุงหนานกงเวิ่นเทียน ด้านหลังมีสาวใช้กับเด็กหนุ่มรับใช้เดินตามหลังมา
หลิวหลีคอยดูแลเอาใจใส่ หนานกงเวิ่นเทียนมองดูปราดหนึ่ง หลิวหลีไม่พูดไม่จาก็ลงมือจับจ่ายใช้สอย ในมือของแขกรับเชิญที่มารับบทเป็นเด็กหนุ่มรับใช้กับสาวรับใช้มีข้าวของเต็มไปหมด มองแล้วดูครื้นเครง
“ท่านพี่ ทำไมไม่เก็บไว้ในแหวนเก็บของล่ะ” หนานกงเวิ่นเทียนมองดูของกองใหญ่ที่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น
“น้องพี่ รอเจ้ากลับไปเลือกดู หากว่าอันไหนไม่ชอบ ก็โยนทิ้งไป แล้วเปลี่ยนอันใหม่” หลิวหลีพูดอย่างใจกว้าง
ในฐานะที่เอ๋าเลี่ยเป็นเจ้าของหินวิญญาณ ในใจถึงเลือดไหลซิบๆ หินวิญญาณของเขา ถึงแม้ว่าจะไม่มาก แต่ว่ามันก็คือเลือดเนื้อของเขานะ
ด้านข้างมีเงาดำปรากฏขึ้นแวบหนึ่งแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว หลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนสบตากันแล้วพยักหน้า แล้วก็เริ่มแสดงบทบาทนายน้อยกันต่อ หลังจากกลับไป หลิวหลีกวาดของทั้งหมดเข้ามิติ
“พวกเจ้าออกไปเถอะ ข้าจะอยู่กับฮูหยินตามลำพัง ไม่จำเป็นต้องให้พวกเจ้ามาคอยรับใช้” หลิวหลีพูดกับเด็กรับใช้
“ขอรับ นายน้อย” บทบาทของพวกเอ๋าเลี่ยสิ้นสุดลง ถ้าขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป เอ๋าเลี่ยกังวลว่าตัวเองอาจจะไม่สามารถควบคุมให้ตัวเองไม่ไปตีหลิวหลีได้ นางน่าตีจริง ๆ
“ท่านพี่ ท่านซื้อของให้น้องมากมายขนาดนี้ ท่านแม่ของท่านคงจะไม่ว่าอะไรใช่หรือไม่” หนานกงเวิ่นเทียนยังคงแสดงต่อ ไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ
“จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร สมบัติภายในบ้านอย่างไรเสียก็ต้องตกเป็นของข้า ข้าเป็นลูกชายเพียงคนเดียว ไม่ให้ข้าแล้วจะให้ใคร” หลิวหลีแสดงบทบาทเป็นนายน้อยที่ล้างผลาญสมบัติของตระกูลต่อไป ความรู้สึกที่ได้ใช้เงินเหมือนเทน้ำทิ้ง ช่างเป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ
“มาแล้ว” เอ๋าเลี่ยพูดขึ้นมาทันที
ทั้งสองยังพยายามแสดงต่อไป
“ท่านพี่ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่พลังบำเพ็ญเพียรก็ห้ามถดถอยเป็นอันขาด มิเช่นนั้น ท่านแม่ของท่านอาจจะหาว่าข้ามอมเมาท่าน แล้วไม่ให้พวกเราสองคนอยู่ด้วยกัน” หนานกงเวิ่นเทียนแสร้งปิดหน้าร้องไห้
“เด็กดีของข้า เจ้าร้องไห้จนข้าปวดใจไปหมดแล้ว เป็นเด็กดี ไม่ร้อง ข้าจะไม่ตั้งใจบำเพ็ญเพียรได้อย่างไร มาเถอะน้องพี่ มาฝึกบำเพ็ญด้วยกันกับข้า” หลิวหลีพูดไปยิ้มไป แล้วปิดม่าน
“ท่านพี่ ทำอะไรก็ไม่รู้”
ปากหนานกงเวิ่นเทียนพูดไปอย่างนั้น แต่ความจริงกำลังให้ความร่วมมือกับหลิวหลี ใครจะไปรู้ว่าหลิวหลีจะเล่นจริง
“นังหนู เราเล่นละครกันอยู่ อย่าหาเรื่องใส่ตัว” หนานกงเวิ่นเทียนดูมือเล็กๆ ที่สัมผัสไปมาอยู่บนตัวของเขา ใบหน้าแดงก่ำ นังหนูรู้ตัวไหมว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ จากนั้นก็เห็นหลิวหลีถอดเสื้อคลุมออกแล้วโยนออกไป นางถอดเสื้อนอกของหนานกงเวิ่นเทียนออกแล้วโยนออกไปเช่นกัน
“เจ้าปีศาจน้อยของพี่ วันนี้ข้าจะมาสั่งสอนเจ้าเอง” หลิวหลีพูดจบ ก็ทำท่าสลบไป หนานกงเวิ่นเทียนเห็นเช่นนั้น ก็ทำเป็นสลบตามไปเช่นกัน
เงาดำเงาหนึ่งเดินเข้ามา
“นานแล้วที่ไม่ได้เจอคนที่หน้าตาดีเช่นนี้ เด็กหนุ่มนี่ก็ไม่เลวเช่นกัน ถึงแม้จะเป็นนายน้อย แต่ผิวเนียนละเอียด เอากลับไปด้วยเลยละกัน” เงาดำนั้นเป็นคนมารที่มีใบหน้าโหดเหี้ยม ร่างกายซูบผอมเหมือนหนังหุ้มกระดูก
หลิวหลีอดไม่ได้ที่จะก่นด่าอยู่ในใจ เดี๋ยวจะจัดการเขาให้หนักเลย ได้ทั้งหญิงทั้งชายเลยหรือ
หนานกงเวิ่นเทียนกลับอดรู้สึกขำไม่ได้ นังหนูวางแผนว่าจะแอบสะกดรอยตามอย่างลับๆ แต่สุดท้ายกลับต้องไปด้วยกัน
 ………………………….

แม่ครัวยอดเซียน

แม่ครัวยอดเซียน

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน! นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน! หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต! เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!! เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า… นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ? แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!

Options

not work with dark mode
Reset