แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 138 หงหลินกลายร่าง

หงหลินดีใจเป็นอย่างมาก ในที่สุดนางก็สัมผัสได้ถึงวิบากอัสนีบาตแปลงร่างได้สักที ดีใจที่สุด หงหลินอยากจะเจอหลิวหลีเร็วๆเพราะอยากจะให้นางได้รู้เป็นคนแรก
“เจ้าเป็นใคร เจ้าทำอะไรท่านพี่” หงหลินมองหนานกงเวิ่นเทียนที่ไม่คุ้นเคย
“เจ้าก็คือหงหลินสินะ สวัสดี” หนานกงเวิ่นเทียนมองดูงูหลามเพลิงตรงหน้าที่มองตนด้วยแววตาไม่เป็นมิตร
“เจ้าเป็นใครกันแน่ ที่นี่เป็นของท่านพี่ ท่านพี่เป็นเจ้าของที่นี่ เจ้าทำอะไรท่านพี่” หงหลินก็ยังคงพูดคำเดิม นางอยากเจอแค่หลิวหลีเท่านั้น
“หลิวหลี นางได้รับบาดเจ็บ ข้าเป็นคู่หมั้นของหลิวหลีมีสิทธิ์ในมิตินี้อยู่บ้าง มารอเจ้าที่นี่เพื่อพาเจ้าออกไปรับวิบากสวรรค์” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว
“ไม่ได้ ข้าอยากเจอท่านพี่” หงหลินรู้สึกน้อยใจ กว่าจะเปิดปากพูดได้ไม่ใช่เรื่องง่ายจึงอยากพูดกับหลิวหลีก่อนคนแรก แต่ผลปรากฏว่าต้องมาเจอคนที่บอกว่าเป็นคู่หมั้นของหลิวหลี แม้แต่ตอนที่มันกลายร่างตรงหน้าก็เป็นเขาที่อยู่เป็นเพื่อนมัน หงหลินจึงน้ำตาคลอเบ้า
“เพี๊ยะ จะมางอแงอะไร ท่านพี่ของเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงกำลังเข้าฌานรักษาอาการบาดเจ็บ นี่คือผู้ชายของพี่หลิวหลีของเจ้า มันก็เหมือนกันแหละ” เอ๋าเลี่ยตีหัวหงหลินเบาๆ เขารู้ว่าหงหลินจะออกฌานรับวิบากสวรรค์จึงได้มาหา ใครจะไปรู้ว่านังหนูจะดื้อด้านขนาดนี้
“ท่านบรรพบุรุษเอ๋าเลี่ย ฮือ ฮือ ฮือ ท่านพี่ไม่ต้องการข้าแล้วใช่ไหม” หงหลินน้ำตาคลอเบ้า
“บอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ ท่านพี่ของเจ้าเข้าฌานรักษาอาการบาดเจ็บ” พูดไม่รู้เรื่องจริงๆ
“อาการบาดเจ็บของท่านพี่สาหัสมากหรือไม่ ข้าคิดว่าหากข้าพูดได้ข้าก็อยากจะพูดกับท่านพี่ก่อนเป็นคนแรก แต่ผลกลับไม่ใช่เช่นนั้น ตอนกลายร่างก็หวังว่าจะมีท่านพี่อยู่เคียงข้างแต่กลับไม่ได้เป็นเช่นกัน” หงหลินรู้สึกเหมือนสูญเสียความรักจากคนทั้งโลก นางถูกทอดทิ้งแล้ว
“หงหลิน ประสาทเซียนกับร่างกายของท่านพี่ของเจ้าได้รับบาดเจ็บจำเป็นต้องรักษา ข้าเชื่อว่านางออกฌานมาเห็นเจ้าจะต้องดีใจมากแน่ ” หนานกงเวิ่นเทียนพยายามพูดปลอบหงหลินที่สมองเหมือนเด็กอายุ 3 ขวบ
“ฮึก เจ้าพูดจริงหรือ”
 “ใช่สิ จริงๆนะ ก่อนที่ท่านพี่เจ้าจะเข้าฌานยังหวังว่าเจ้าจะกลายร่างอย่างราบรื่นเลย เอ๋าเลี่ยก็ได้ยินเช่นเดียวกัน” หนานกงเวิ่นเทียนชี้ไปที่พยานบุคคลเอ๋าเลี่ย
“ท่านบรรพบุรุษเอ๋าเลี่ยอเป็นเรื่องจริงหรือ” หงหลินยกหัวงูของตัวเองขึ้นมองไปที่เอ๋าเลี่ยด้วยความหวัง
“คือเรื่องจริงแน่นอน แต่ว่าเลิกเรียกข้าว่าท่านบรรพบุรุษเอ๋าเลี่ยสักทีได้ไหม” เอ๋าเลี่ยรู้สึกไม่พอใจกับชื่อเรียกนี้เป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าอายุของเขาจะค่อนข้างมาก แต่ว่าพออยู่กับนังหนูไปนานๆ เขารู้สึกว่าเขายังหนุ่มยังแน่นอยู่ คำว่าบรรพบุรุษออกจะดูแก่เกินไป
“ถ้าอย่างนั้นข้าเรียกว่าท่านปรมาจารย์เอ๋าเลี่ยแล้วกัน” หงหลินคิดว่า ท่านบรรพบุรุษเอ๋าเลี่ยต้องรู้สึกว่าคำเรียกของตัวเองดูไม่ยิ่งใหญ่พอแน่ ๆ
“เอาเถอะ เจ้าเรียกข้าว่า ‘ท่านอา’ เหมือนกับจื่อฉีก็แล้วกัน” เอ๋าเลี่ยรู้สึกหมดหวังกับความเป็นญาติทางสายเลือดห่างๆของมันจริงๆ
“ท่านอาเอ๋าเลี่ย จะดูเสียมารยาทเกินไปหรือไม่” หงหลินในฐานะที่เป็นงูที่มีมารยาท รู้สึกว่าไม่ควรเรียกเช่นนี้
“ไม่เลย ไม่เลยแม้แต่นิดเดียว” เอ๋าเลี่ยเหนื่อยใจ งูไม่ได้เรื่องแบบนี้สู้พูดไม่ได้ยังจะดีกว่า
ณ เมืองเมฆารุ้ง เรื่องราวผ่านไปแล้ว 3 ปี ไม่มีใครพูดถึงเหตุการณ์มีคนใช้เพลิงดาราทมิฬก่อความวุ่นวายอีก เรื่องนี้จึงค่อยๆถูกลืมไป เพียงแต่ว่าวันนี้อยู่ๆก็มีเสียงฟ้าร้องดังสนั่น เมฆวิบากสวรรค์เกิดความเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นจุดที่คูมู่ถูกสังหารไปเมื่อสามปีก่อนพอดี หรือว่าคูมู่จะฟื้นคืนชีพ ผู้บำเพ็ญจำนวนมากรีบไปที่นั่นในทันที
หนานกงเวิ่นเทียนมองหงหลินที่น้ำตาคลอเบ้า งูตัวนี้วอนหาเรื่องจริง ๆ เขานิสัยดีขนาดนี้ก็ยังอดจะอยากซัดมันไม่ได้ แค่หลิวหลีไม่ปรากฏตัวจะต้องทำหน้าเหมือนถูกคนรังแกขนาดนั้นเลยหรือ มิน่าท่านเอ๋าเลี่ยถึงทนไม่ได้จนรีบโยนพวกเขาออกมาจากมิติด้วยกันเลย
พอวางหงหลินลงอีกทางแล้ว หนานกงเวิ่นเทียนก็รีบหาที่ซ่อนตัว ใครจะไปรู้ว่าเรื่องในตอนนั้นจะมีผลกระทบอะไรอีกไหม อย่าโผล่หน้าออกมาจะดีกว่า หากเจอคนรู้จักถามถึงหลิวหลี เขาก็ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร
“นึกไม่ถึงเลยว่างูขี้งอแงตัวนั้นแต่เวลารับวิบากอัสนีบาตกลับไม่มีความกลัวเลยแม้แต่น้อย” ในที่สุดหนานกงเวิ่นเทียนก็เริ่มประทับใจในตัวหงหลินขึ้นมาเล็กน้อย แต่ว่าคนโดยรอบเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ท่าไม่ดีแล้ว
“อสูรเทพกำลังจะรับวิบากสวรรค์นี่เอง ดูจากวิบากอัสนีบาตแล้ว เหมือนจะเป็นวิบากกลายร่าง”
“อสูรภูติตัวนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ปกติแล้วสำหรับอสูรภูติวิบากสวรรค์เป็นเรื่องหนักหนาพอตัว อสูรภูติจำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถทนรับวิบากกลายร่างได้”
“ใช่ อสูรภูติตนนี้เหมือนจะยังไม่มีเจ้าของ ทำไมถึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้ล่ะ ควรจะรับวิบากสวรรค์อยู่ในป่าไม่ใช่หรือ หรือว่าอสูรภูติตัวนี้อยากจะกลายร่างแล้วหาเจ้าของด้วย”
“ประจวบเหมาะเลยข้ากำลังขาดอสูรภูติ อสูรภูติตนนี้มีความเหมาะสมพอดี”
“พอเถอะ อสูรภูติตนนี้เหมาะที่จะมาอยู่กับข้ามากกว่า”
“เจ้าหรือ อยู่กับข้าน่าจะดีกว่า คุณสมบัติของข้าดีกว่าเจ้าตั้งเยอะ”
หนานกงเวิ่นเทียนฟังคนกลุ่มนี้พูดถึงปัญหาว่าใครจะเป็นเจ้าของหงหลินอย่างเงียบ ๆ เอาเถอะ เดี๋ยวอีกสักครู่จะต้องรีบลงมือ ไม่เช่นนั้นเขายังไม่รู้เลยว่าจะสามารถพาหงหลินกลับไปที่มิติได้อย่างปลอดภัยหรือไม่
วิบากอัสนีบาตครั้งสุดท้ายผ่าลงมา พอหงหลินรับหมดแล้วร่างกายก็แทบไม่มีเรี่ยวแรงจนตัวอ่อนยวบทิ้งตัวลงบนพื้น บนตัวเปล่งประกายแสงสีแดงออกมา ตอนนี้กำลังเริ่มกลายร่างแล้ว ทุกคนต่างก็รอคอยดูว่าอสูรภูติตนนี้จะกลายร่างออกมาเป็นอย่างไร ผลปรากฏว่ามีแสงสีขาวพาดผ่านเข้ามา จากนั้นอสูรภูติที่อยู่บนพื้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ใครกันนะไร้ซึ่งคุณธรรม นำไปครอบครองแต่เพียงผู้เดียว
ผู้บำเพ็ญข้างนอกส่งเสียงเซ็งแซ่ดังขึ้น หนานกงเวิ่นเทียนที่อยู่ในมิติเอามือปาดเหงื่อที่ไม่มีอยู่เลยแม้แต่หยดเดียว ยังดีที่เขากะเวลาได้ถูกต้อง
“ท่านเอ๋าเลี่ย หงหลินก็ฝากท่านไว้ด้วยแล้วกัน ข้าจะไปเข้าฌานแล้ว” หนานกงเวิ่นเทียนพูดจบก็จากไป
“เจ้าเด็กนี่” เอ๋าเลี่ยไม่รู้จะพูดอะไรดี ผลปรากฏว่าเมื่อหันมาก็เห็นเด็กสาวผมสีแดง ท่าทางเหมือนหลิวหลีตอนอายุ 15-16 อยู่ในร่างเปลือยเปล่า
“ท่านอาเอ๋าเลี่ย ข้ากลายร่างเป็นคนแล้ว” หงหลินพูดขึ้นมาด้วยความดีอกดีใจ เพียงแต่ว่าไม่คุ้นชินกับการเดิน ขาซ้ายสะดุดขาขวาแล้วก็ล้มลง เอ๋าเลี่ยเอามือปิดหน้า นังหนูคนนี้จะใส่เสื้อผ้าก่อนแล้วค่อยออกมาไม่ได้หรือ มิน่าหนานกงเวิ่นเทียนถึงรีบหนีไปเร็วขนาดนี้
“อ่ะแฮ่ม หงหลิน เจ้าใส่เสื้อผ้าก่อนได้ไหม” เอ๋าเลี่ยหันตัวกลับไป
“ท่านอาเอ๋าเลี่ย เสื้อผ้าคืออะไรหรือ” หงหลินถามขึ้นด้วยความสงสัย
“สิ่งที่อยู่บนตัวของอาเรียกว่าเสื้อผ้า รีบไปใส่เถอะ”
“ท่านอาเอ๋าเลี่ย ข้าไม่มีเสื้อผ้า”
เอ๋าเลี่ยกุมขมับ เขาลืมไปเลย โยนเสื้อผ้าไปให้หงหลินหนึ่งชุด
ปรากฏว่ารออยู่นาน เอ๋าเลี่ยหันตัวกลับไป
“ทำไมเจ้ายังไม่ใส่อีก” เอ๋าเลี่ยโมโหแทบแย่
“ข้าใส่ไม่เป็น” หงหลินทำหน้าอยากร้องไห้ เป็นงูดีกว่าจริงด้วย นี่จะต้องห่อตัวไว้อีก เป็นบะจ่างมันดีตรงไหนกัน
เอ๋าเลี่ยที่จนหนทางจึงเสกคาถาใส่เสื้อผ้าบนร่างกายของนาง หงหลินดึงเสื้อผ้าบนตัวไปมา มันน่าอึดอัดเหลือเกิน
“หงหลิน เจ้ากลายร่างแล้ว เจ้าจะต้องฝึกตนให้คุ้นชินกับวัฒนธรรมของมนุษย์ ไม่เช่นนั้นหากออกไปข้างนอก เจ้าอาจจะโดนตีตายได้” เอ๋าเลี่ยพูดท่าทีหนักแน่น
“อาเอ๋าเลี่ย ทำไมมนุษย์ถึงไม่เลียนแบบกลายร่างเป็นอสูรอย่างพวกเราบ้างล่ะ จะได้ประหยัดเสื้อผ้าด้วย” หงหลินถามขึ้นด้วยความใสซื่อ
คำถามนี้ทำให้เอ๋าเลี่ยถึงกับนิ่งไป ใช่ ทำไมมนุษย์ถึงไม่เป็นแบบพวกเขาบ้าง น่าสงสัยจริงๆ
“อาเอ๋าเลี่ย ท่านก็รู้สึกว่าข้าพูดถูกใช่ไหมล่ะ” ดังนั้นนางจะไม่ใส่เสื้อผ้าที่มาพันธนาการนางไว้เช่นนี้ได้ไหมนะ
“หงหลิน เจ้าทำอะไรน่ะ” เอ๋าเลี่ยพบว่าหงหลินกำลังถอดเสื้อผ้า
“ท่านอาเอ๋าเลี่ย ข้ารู้สึกว่าข้าพูดมีเหตุผล ฉะนั้นข้าจะไม่ใส่เสื้อผ้าแล้ว” หงหลินกล่าว
“ไม่ได้ หงหลิน ตอนนี้เจ้าอยู่ในดินแดนของมนุษย์ เจ้าจะต้องเคารพวัฒนธรรมของโลกมนุษย์ หากเจ้าทำตัวแปลกมากเกินไป ออกไปข้างนอกอาจจะถูกตีตายได้” เอ๋าเลี่ยพูดขู่หงหลิน
“เป็นคนนี่มันยุ่งยากจริง ๆ ข้าทำเป็นยังไม่ได้กลายร่างแล้วกลับไปเป็นงูเหมือนเดิมได้ไหม” หงหลินรู้สึกห่อเหี่ยว ทำไมนางจะต้องกลายร่างด้วย
“ไม่ได้ เจ้าไม่อยากให้หลิวหลีเห็นเจ้าตอนกลายร่างงั้นหรือ เจ้าอยากทำให้หลิวหลีผิดหวังใช่หรือไม่” เอ๋าเลี่ยจำต้องงัดไม้ตายออกมาใช้
“ท่านพี่ชอบข้าใส่เสื้อผ้า” พอพูดถึงหลิวหลี หงหลินก็เชื่อฟังขึ้นมาไม่น้อย
“แน่นอน นังหนูจะต้องชอบหงหลินมากแน่” เอ๋าเลี่ยโน้มน้าวต่อ
“งั้นก็ได้ ข้าจะพยายามฝืนเรียนการใส่เสื้อผ้าแล้วกัน” ในเมื่อท่านพี่ชอบ ถ้าอย่างนั้นนางก็จะพยายามทำเพราะจะทำให้ท่านพี่ผิดหวังไม่ได้ หงหลินกำมือแน่น ในที่สุดพอเอ๋าเลี่ยเห็นว่าหงหลินไม่ได้มัวแต่คิดถึงปัญหานั้นแล้วจึงโล่งใจ เฮ้อ ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไร นังหนูถึงจะออกฌาน
สภาพร่างกายของหลิวหลีในตอนนี้ค่อนข้างสมบูรณ์เป็นอย่างมาก หลิวหลีรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นของเหลวที่อยู่ในสระน้ำวิญญาณ รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นพืชศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับความชุ่มชื่นหล่อเลี้ยงให้เติบใหญ่ รู้สึกว่าตัวเองเหมือนสายลมที่พัดอยู่เหนือผืนน้ำของสระน้ำแห่งนี้ ความรู้สึกนี้มันสบายเหลือเกิน หลิวหลีไม่สังเกตเห็นว่าทั่วรอบทิศของนางกลายเป็นน้ำวนกำลังดูดซึมพลังเซียนไม่หยุด ดูดเข้าไปแล้วปล่อยออกมาจนรู้สึกดีไปทั้งตัว
หลิวหลีตรวจสอบสภาพภายในร่างกายของตัวเองดู อาการบาดเจ็บหายดีแล้ว ประสาทเซียนยังขาดอีกเล็กน้อย เพลิงดาราทมิฬกับเพลิงอัคคีชนิดอื่น ๆเข้ากันได้เป็นอย่างดีแล้ว เหลือก็แค่หลิวหลีจะดูดซึมเข้าสู่ร่างกายอย่างเป็นทางการเท่านั้น
เอ๋าเลี่ยก็สามารถสัมผัสได้เช่นเดียวกัน นังหนูกำลังจะเข้าสู่จุดสูงสุดแล้ว
จื่อฉีที่กำลังเข้าฌานอยู่ก็สามารถรับรู้ได้ ท่านพี่จะบรรลุขั้นพลังแล้ว เขาก็จะต้องพยายามถึงจะถูกสิ
“อาเอ๋าเลี่ย ท่านบอกว่าท่านพี่ใกล้จะออกฌานแล้ว ทำไมยังไม่ออกมาอีกล่ะ” หงหลินนั่งเล่นนิ้วตัวเองด้วยความเบื่อหน่ายแล้วพูดขึ้น
“หงหลิน เจ้าไปบำเพ็ญฝึกฝนเถอะ ไปเข้าฌานก็ได้ รอเจ้าออกฌานเจ้าก็จะได้เจอท่านพี่ของเจ้าแล้ว” เอ๋าเลี่ยชี้แนะด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง โปรดสวรรค์มอบใบหน้าที่น่าเกรงขามให้กับเขาที เด็กนี่เดิมทียังกลัวเขาอยู่บ้าง บัดนี้พอมองดวงตากลมๆใสซื่อกับใบหน้าที่ละม้ายหลิวหลี เฮ้อ โมโหไม่ลงเลยจริง ๆ
“ไม่เข้าฌานหรอก เข้าฌานน่าเบื่อจะตายไป หากข้าพลาดเจอท่านพี่ขึ้นมาจะทำอย่างไร” หงหลินไม่ยอมเข้าฌาน นางหวังว่าหลิวหลีออกมาจะเจอนางเป็นคนแรก
………………………………………………….

แม่ครัวยอดเซียน

แม่ครัวยอดเซียน

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน! นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน! หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต! เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!! เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า… นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ? แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!

Options

not work with dark mode
Reset