แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 142 จุดจบของเลือดบริสุทธิ์ของเสือขาว

“ตอนนี้อาการคงที่แล้ว แต่ข้าสามารถปรุงยาแปรตามกรรมให้เขาได้” หลิวหลีคิดอะไรออก
“ปรุงยาโสมหิมะระดับ 6 ก่อนค่อยปรุงยาแปรตามกรรมระดับ 8 แล้วกัน” หลิวหลีพึมพำ
นำเตาเหนือสามัญออกมาแล้ว หลิวหลีก็ปรับสภาพร่างกายตนเองให้อยู่ในระดับสุดยอด และใช้เวลาเพียงแค่พริบตาเดียวก็ปรุงยาศักดิ์สิทธิ์ระดับ 6 สำเร็จเมื่อกำลังจะลงมือปรุงยาระดับ 8 หลิวหลีก็สัมผัสอะไรบางอย่างได้ในทันที
“เสี่ยวเทียน เจ้าออกฌานแล้วหรือ” หลิวหลีมองหนานกงเวิ่นเทียนที่กลิ่นอายเต็มเปี่ยมตรงหน้า อีกนิดเดียวเขาก็จะเข้าสู่ช่วงรวมกายาแล้ว
“นังหนู ที่นี่ที่ไหน” หนานกงเวิ่นเทียนถามขึ้นเมื่อเห็นสภาพแวดล้อมที่แปลกตา นังหนูคนนี้เหลวไหลที่ไหนอีกแล้ว
“ที่นี่คือเมืองต้าเยี่ย อย่างอื่นอย่าเพิ่งพูดเลย เสี่ยวเทียน ข้าจะปรุงยาศักดิ์สิทธิ์ระดับ 8” หลิวหลีกล่าว
“เจ้าปรุงยาศักดิ์สิทธิ์ระดับ 8 ได้แล้วหรือ” หนานกงเวิ่นเทียนถามอย่างประหลาดใจ
“ลองดูก่อน บางอย่างพูดสั้นๆก็ไม่เข้าใจหรอก จริงสิ จิงเฟยจากสกุลฮัวอยู่ด้านล่าง เสี่ยวเทียน เจ้าไปคุยเล่นกับเขาก่อนสิ” หลิวหลีกล่าวเมื่อนึกถึงฮัวจิงเฟยขึ้นมาได้
“เจ้าเจอฮัวจิงเฟยแล้วหรือ” น้ำเสียงหนานกงเวิ่นเทียนเจือความหึงหวง ถ้าจิตฮัวจิงเฟยไม่แตกสลายจริงๆ ก็คงจะไม่เลิกเขย่าขาเตียงเขา
“ใช่ ตอนนี้ศิษย์ของห้าสกุลใหญ่ตกอยู่ในอันตราย หากเจอกันจะปล่อยให้อยู่ลำพังไม่ได้ วางใจเถอะเขาหลงรักหงหลิน แต่พอรู้ว่าหงหลินเป็นอสูรภูติ ก็สับสนลังเลน้อยๆ” หลิวหลีกล่าว
“แบบนี้นี่เอง”
หลังจากส่งหนานกงเวิ่นเทียนแล้วหลิวหลีปิดเปลือกตาลงเพื่อนึกภาพตอนเห็นอาจารย์ปรุงยาครั้งแรก เก็บทุกรายละเอียด ลองทำตามในหัวเป็นร้อยเป็นพันครั้ง ถึงจะเริ่มลงมือทำ
อีกด้านหนานกงเวิ่นเทียนถือขวดที่หลิวหลีมอบให้ ไปคุยกับฮัวจิงเฟย แต่ เพื่อเลี่ยงความวุ่นวายที่ไม่จำเป็นจะเกิดขึ้น หนานกงเวิ่นเทียนจึงส่งเสียงบอกหงหลิน หงหลินแสร้งนำหนานกงเวิ่นเทียนเดินเข้ามา
“เขาคือสามีของท่านพี่” หงหลินพูดพลางชี้หนานกงเวิ่นเทียน อย่างไรเสียทุกคนก็รู้จักท่านพี่ นางไม่จำเป็นต้องเรียกเขาว่าท่านพี่ด้วยเช่นกัน
“ฮัวจิงเฟย เจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ” หนานกงเวิ่นเทียนทำเหมือนเพิ่งเจอฮัวจิงเฟย น้ำเสียงแฝงความประหลาดใจและเป็นศัตรู
“หนานกงเวิ่นเทียนนี่เอง ข้ายังว่าอยู่เลยทำไมเจ้าถึงกล้าให้หลิวหลีอยู่ข้างนอกโปรยสเน่ห์ไปทั่ว” ฮัวจิงเฟยเห็นหนานกงเวิ่นเทียนจึงอดพูดเรื่องข่าวเสียหายของหลิวหลีไม่ได้
“เจ้าบอกว่านางโปรยสเน่ห์ไปทั่ว ไม่เป็นไร อย่างไรเสียตำแหน่งสามีหลักของข้าก็ไม่มีวันสั่นคลอน” หนานกงเวิ่นเทียนพูดอย่างไม่ยี่หระ
ฮัวจิงเฟยเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมหลงหลิวหลีจึงเลือกหนานกงเวิ่นเทียน เพียงแต่… ฮัวจิงเฟยถอนหายใจพลางปรายตามองหงหลิน
“นี่ให้เจ้า” หนานกงเวิ่นเทียนโยนขวดเล็กๆให้ฮัวจิงเฟย
“อะไรกัน เจ้าทำอะไรผิดต่อข้าหรือเปล่า เลยอยากทำดีเพื่อปิดปากข้า” ฮัวจิงเฟยรับขวดมาพิจารณาอย่างละเอียด
“ถือไว้ให้ดี ทำหกแล้วอย่าร้องไห้ล่ะ ฟังให้ดี นี่คือเลือดบริสุทธิ์ของเสือขาวบรรพกาล” หนานกงเวิ่นเทียนเน้นประโยคสุดท้ายทีละคำ
หนานกงเวิ่นเทียนไม่ได้ทิ้งขวดแต่มอบให้เขาแทนหรือ เขาจำได้ว่าตอนนั้นหลิวหลีส่งมาให้หนึ่งหยด แล้วถูกผู้นำสกุลใช้ปรับสมดุลร่างกายพวกเขาหรือของสิ่งนี้ก็เหมือนกัน
“นี่เรื่องจริงหรือ หนานกงเวิ่นเทียนเจ้าไม่ได้หลอกข้า” ฮัวจิงเฟยรู้สึกว่าเรื่องน่ายินดีนี้ออกจะกระทันหันเกินไปหน่อย
“เปล่า หลิวหลีให้ข้ามอบมันให้เจ้า” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว ดูท่าทางนั้นสิ สงบสู้เขาในตอนนั้นยังไม่ได้เลย
“ทำไมจึงมอบมันให้ข้า” เขาย่อมรู้ว่าของชิ้นนี้มีค่าขนาดไหน เพียงแต่เขาไม่มีของมูลค่าใกล้เคียงกันมาแลก
“เพราะเห็นเจ้าแล้วเจริญหูเจริญตา”
เหตุผลนี้น่ะหรือ ตีให้ตายฮัวจิงเฟยก็ไม่เชื่อ แต่เขาเดาว่าถึงถามไปก็ไม่ได้อะไรอยู่ดี
“เจ้าหาถ้ำที่เงียบสงบแล้วดื่มยาเพื่อให้บรรลุช่วงแยกจิตเถอะ พอพลังแข็งแกร่งขึ้นจะได้ไม่เป็นตัวถ่วงของหลิวหลี” ประโยคสุดท้ายของหนานกงเวิ่นเทียนแฝงไปด้วยความรังเกียจ ราวฮัวจิงเฟยเป็นภาระ
ฮัวจิงเฟยหัวเสียจากแววตาคู่นี้ ต่อให้เป็นเรื่องจริงแต่หนานหงเวิ่นเทียนเขาก็ไม่เห็นต้องแสดงท่าทีรังเกียจเขาขนาดนั้น เขาพยายามอย่างมากแล้ว แต่จะทำอย่างไรได้เมื่อเขาต้องเปรียบเทียบคนที่เก่งกาจราวปิศาจเช่นคนพวกนี้ อัจฉริยะกับมารมีเพียงเส้นบางๆกั้นอยู่ แต่พอพูดถึงตรงนี้ แม้สีหน้าหนานกงเวิ่นเทียนจะฉายแววรังเกียจ แต่ฮัวจิงเฟยเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายหวังจะให้ตนเองรีบดื่มมันเข้าไป เขาจะรับไมตรีจิตจากอีกฝ่ายแล้วกัน
“ถึงจะอย่างนั้น อย่างไรเสียข้าก็ต้องขอบคุณเจ้า” ฮัวจิงเฟยกล่าวอย่างซื่อสัตย์
“ไปขอบคุณหลิวหลีเถอะ เจ้าเองก็รู้ หลิวหลีได้เลือดบริสุทธิ์ของอสูรเทพบรรพกาลมาจากดินแดนลี้ลับ และนางก็แจกจ่ายของส่วนมากไปหมดแล้ว” หนานกงเวิ่นเทียนพูดความจริง เลือดบริสุทธิ์ทั้ง 3 หยดนั้น หนึ่งหยดให้เผ่าอสูรเทพ อีกหยดให้ 5 สกุลใหญ่ นางดื่มเองหนึ่งหยด ให้เขาหนึ่งหยด และมอบหยดนี้ให้กับฮัวจิงเฟย หลิวหลีคิดว่าจะมอบเลือดบริสุทธิ์ของกิเลนบรรพกาลให้กับเจ้าจิ้งจอกหยวนเทียน ทำให้เหลือเลือดบริสุทธิ์ของเต่าดำเพียงหยดสุดท้ายเท่านั้น
“ข้ารู้น่า ข้าต้องไปขอบคุณนางอยู่แล้ว แต่ข้าก็ต้องขอบคุณเจ้าด้วยเช่นกัน เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ถึงแม้ข้าจะอยากหั่นขาเตียงเจ้ามาโดยตลอด แต่ใครใช้ให้ขาเตียงเจ้ามั่นคงแข็งแรง ข้าจะเขย่าอย่างไรก็ไม่ขยับสักที” ฮัวจิงเฟยรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่เขาอยากลองดู น่าเสียดายจนถึงตอนนี้เขาถึงรู้ว่าหลงหลิวหลีไม่มีทางมาอยู่กับเขาแน่
“เจ้ารู้ตัวก็ดีแล้ว ดีจริงๆ” ในที่สุดสีหน้าของหนานกงเวิ่นเทียนก็อ่อนเสียงลง
ฮัวจิงเฟยหาถ้ำที่ไม่มีเจ้าของเพื่อเข้าฌาน เขาสูดหายใจลึก เปิดจุกขวดออกแล้วดื่มเลือดบริสุทธิ์หยดนั้นอย่างไม่ลังเล ฮัวจิงเฟยรู้สึกราวตนเองกำลังถูกฉีกทึ้ง แต่ก็กัดฟันทน นี่คือโอกาสของเขา เขาจะต้องรักษาให้ดี
หลิวหลีปรุงยาอย่างคล่องแคล่ว เพียงแต่ของเหลวสีดำข้างๆเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าหลิวหลีไม่ได้ราบรื่นขนาดนั้น
หลิวหลีถอนหายใจ ยังดีที่นางมีมิติอยู่อันหนึ่ง ดังนั้นสิ้นเปลืองพืชศักดิ์สิทธิ์ไปมากขนาดนี้คงล้มละลายไปแล้ว ดังนั้นหลิวหลีจึงยอมรับในข้อดีนี้ของมิตินี้
หลิวหลีสูดหายใจลึก นางพยายามสังเกตสภาพพืชศักดิ์สิทธิ์กับอุณหภูมิของไฟ นางคอยปรับเปลี่ยนตลอด ถึงจะอย่างนั้นนางก็สูญเสียพลังเซียนไปเกินครึ่ง มิน่าอาจารย์ปรุงยาได้แต่ต้องให้คนอื่นรับวิบากเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์แทน พอปรุงยาเสร็จก็ไร้เรี่ยวแรง หากโดนฟ้าผ่าเข้าไปคงจะเหลือแต่ซากแน่
กลิ่นหอมของยาที่คุ้นเคยลอยเข้าจมูก หยวนเทียนเบิกตาเมื่อได้กลิ่นหอมของยา นังหนูกำลังปรุงยาระดับใดอยู่ หอมจริง  ระดับ 8 กับระดับ 9 ไม่มีความแตกต่างทางด้านคุณภาพ มีแต่ปรุงสำเร็จกับไม่สำเร็จเท่านั้น
ท้องฟ้าด้านนอกมีเมฆลอยมา ปรุงยาจะสำเร็จแล้ว หลิวหลีกำลังจะกลายเป็นนักปรุงยาระดับ 8 ที่อายุน้อยที่สุดแล้ว
“เสี่ยวเทียน ช่วยข้าด้วย พลังเซียนของข้าเหลือไม่ถึง 3 ส่วน ไม่สามารถทนรับวิบากเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ได้” หลิวหลีส่งเสียงบอกหนานกงเวิ่นเทียน หนานกงเวิ่นเทียนเร่งรุดมาในทันที
หนานกงเวิ่นเทียนมาถึงในวินาทีก่อนยาจะสำเร็จ ยาศักดิ์สิทธิ์ 6 เม็ดลอยอยู่กลางอากาศ วิบากอัสนีบาตก็ตามมา หลิวหลีรับไปไม่กี่ทีก็ทนไม่ไหว ลอยลงมา แล้วให้หนานกงเวิ่นเทียนเป็นคนรับวิบากอัสนีบาตที่เหลือทั้งหมด นางมองดูหนานกงเวิ่นเทียนที่เปล่งประกาย อืม นางช่างสายตาดีจริงๆ อสูรภูติที่ได้ยินเสียงฟ้าผ่าก็ต่างพากันไปหลบซ่อนตัว เพราะเกรงว่าจะโดนไปด้วย
หนานกงเวิ่นเทียนก็รับวิบากอัสนีบาตครั้งสุดท้ายอย่างรวดเร็ว หลิวหลีตะโกนขึ้นมาว่า ‘เก็บ’ ยาศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 6 เม็ดก็ถูกหลิวหลีเก็บเข้ามา
สำเร็จแล้ว หลิวหลีถอนหายใจ ยาศักดิ์สิทธิ์ระดับ 8 ไม่ใช่อยากจะทำก็ทำได้เลยจริงด้วย หากเป็นตัวนางเอง นางอาจไม่มีชีวิตรอดก็ได้
“เสี่ยวเทียน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” หลิวหลีถาม
“ไม่เป็นอะไร มีเรื่องน่ายินดี ข้ารู้สึกว่าหากข้าไปเข้าฌานอีกสักหน่อย ข้าจะสามารถบรรลุเข้าสู่ช่วงรวมกายาได้” หนานกงเวิ่นเทียนพูดด้วยใบหน้ายินดี
“จริงหรือ ถ้าเช่นนั้น เจ้ารีบไปเข้าฌาณเถอะ ไม่ต้องห่วง ข้าไม่เป็นอะไร” หลิวหลีก็ยินดีมากเช่นกัน รีบบอกว่าตนเองไม่เป็นไร เมื่อครู่นางดื่มน้ำจากบ่อน้ำวิญญาณ ตอนนี้จึงฟื้นฟูพลังไปได้ 5 ส่วน
“ได้” หนานกงเวิ่นเทียนกลับเข้าไปในมิติ แต่ทั้งสองปิดบังไม่ให้หยวนเทียนรู้
จนหนานกงเวิ่นเทียนเดินไป หลิวหลีจึงเดินไปง้างปากหยวนเทียน หยวนเทียนรู้สึกเหมือนโดนยัดยาเข้าปาก ฤทธิ์ยาไหลทั่วร่างหยวนเทียน ทำลายแล้วฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง หลิวหลีมองใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวดของหยวนเทียน ก็รู้ได้เลยว่ายาออกฤทธิ์แล้ว จึงได้วางใจ เวลาผ่านไปประมาณ 3 เดือน บนร่างหยวนเทียนมีแสงสีขาวเปล่งประกายขึ้น เขากลายร่างกลับเป็นคนอีกครั้ง
“หลิวหลี ข้าจะไม่มีวันลืมบุญคุณในครั้งนี้เลย” ใครจะไปคิดว่าคนที่ช่วยตัวเอง จะเป็นนังหนูในอดีต
“ผู้อาวุโสไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า บุญคุณเรื่องเพลิงวิญญาณไม้ในตอนนั้นข้ายังไม่เคยลืม”
“มันไม่เหมือนกัน นังหนู เจ้าไม่จำเป็นต้องถ่อมตัว เจ้าสิ้นเปลืองไปตั้งมากเท่าไหร่เพื่อข้า ข้าเองก็เห็น” หยวนเทียนกล่าว ยาศักดิ์สิทธิ์ระดับ 8 มีคนซื้อแต่ขาดแคลนคนขาย แต่ถูกหลิวหลียัดใส่ปากตัวเขาเองง่ายๆ เช่นนี้ บุญคุณยิ่งใหญ่คราวนี้ เขาคงชดใช้ให้ไม่หมด
“ผู้อาวุโสหยวนเทียน ท่านฟื้นฟูร่างกายไปก่อน ข้าอยากจะรู้ว่าใครกันแน่ที่ต้องการดวงจิตอสูรของอสูรเทพ” นี่คือสิ่งที่หลิวหลีอยากรู้ที่สุด
พอพูดถึงเรื่องนี้ หยวนเทียนก็ปวดใจ เขานำดวงจิตอสูรสีเหลืองอำพันกับดวงจิตอสูรสีฟ้าออกมา
“เป็นพวกเผ่ามาร เพียงแต่ข้าไม่รู้ว่าเป็นคนของใคร ตอนนั้นพวกเขาทำร้ายอสูรเทพ แต่นำดวงจิตอสูรไปทำอะไรข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก อีกอย่างสมุนของพวกเขาร้ายกาจมาก หางข้าขาดไปตั้ง 6 อันกว่าจะหนีออกมาได้ แต่ก็ยังถูกจับได้อยู่ดี” หยวนเทียนพูดพลางหลับตาลงแล้วจึงลืมตาขึ้น
“เผ่ามารอีกแล้วหรือเนี่ย” หลิวหลีพึมพำ หรือว่าเผ่ามารต้องการจะทำลายพันธสัญญา
……………………………………..

แม่ครัวยอดเซียน

แม่ครัวยอดเซียน

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน! นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน! หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต! เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!! เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า… นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ? แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!

Options

not work with dark mode
Reset