แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 171 เสวียนหั่วผู้ถูกโจมตี

สี่คนพ่อลูกต่างรู้สึกหวาดกลัวกับการคาดเดานี้ สุดท้ายจึงตัดสินใจที่จะเตรียมตัวรับมือ เพราะอย่างไรเตรียมรับมือก่อนก็ดีกว่าไฟลนก้น
เรื่องพวกนี้หลิวหลีก็ไม่ได้รู้แน่ชัดนัก พลังบำเพ็ญเพียรที่สูงขึ้นทำให้ค่ายกลขนส่งก็เหมือนไม่ค่อยจะมีประโยชน์ หลิวหลีมาถึงหอปรุงยาของอาจารย์อย่างรวดเร็ว อาจารย์ของนางออกฌานแล้ว
“อยู่ที่นั่นนี่เอง” เมื่อหลิวหลีแน่ใจตำแหน่งแล้วตรงไป
เสวียนหั่วกำลังดื่มชาพลางนึกถึงความวิปริตของศิษย์ตัวเอง ทันใดก็รู้สึกได้ว่ามีประสาทเซียนที่ไม่คุ้นเคยกวาดผ่านมา แถมยังเป็นประสาทเซียนของผู้บำเพ็ญในช่วงชำระล้าง คนผู้นี้คือใคร เสวียนหั่วยังคงวางท่าดื่มชา แต่ระวังตัวมากขึ้น โคจรพลังเซียนในร่างกายอย่างบ้าคลั่ง
“อาจารย์” หลิวหลีเรียกอาจารย์ของตัวเองอย่างร่าเริง
“ศิษย์เองหรือ” เสวียนหั่วมองหลิวหลีอย่างตกใจ นังหนูผู้นี้จะให้อาจารย์อย่างเขามีชีวิตต่อได้อย่างไร พลังบำเพ็ญเพียรของนางใกล้จะเท่าเขาอยู่แล้ว นังหนูบำเพ็ญฝึกฝนอย่างไรกันแน่
“ท่านอาจารย์ สุขภาพของท่านดีขึ้นหรือไม่” หลิวหลีค่อนข้างเป็นห่วงสุขภาพอาจารย์ของนาง
“ศิษย์เอ๋ย ตอนนี้พลังบำเพ็ญเพียรของเจ้าอยู่ในช่วงใดแล้ว” อย่าบอกเขาเชียวว่านี่คือเรื่องจริง ในที่สุดตอนนี้เขาก็เข้าใจความเศร้าของศิษย์หลานทั้งหลายแล้ว เพราะตอนนี้เขาก็เริ่มรู้สึกแบบนั้นเช่นกัน
“พลังบำเพ็ญเพียรหรือ ช่วงชำระล้างอย่างไรล่ะ” น้ำเสียงเรียบเฉยของหลิวหลีทำให้เสวียนหั่วถึงกับต้องกระแทกจอกชา  ทำไมถึงเป็นช่วงชำระล้างแล้วล่ะ แล้วช่วงรวมกายาของลูกศิษย์ไปไหนแล้ว
“ศิษย์เอ๋ย เจ้าไปกินยาที่ไม่สมควรจะกินหรือไม่ หรือฝืนทำร้ายร่างกายตัวเองถึงได้เพลังบำเพ็ญเพียรเช่นนี้ เจ้าบอกอาจารย์มา” ไม่เช่นนั้นทำไมจึงก้าวหน้าได้เร็วเช่นนี้
“ไม่เจ้าค่ะ ข้ามันคนมีดวง” เมื่อเห็นว่าอาจารย์เป็นห่วงตัวเองเช่นนี้ หลิวหลีก็รู้สึกอบอุ่นใจ
“ดวงชะตาหรือ” เสวียนหั่วกล่าวทวน ฟังเรื่องราวจากหลิวหลีแล้ว เสวียนหั่วคิดอะไรไม่ออก ได้แต่ถอนหายใจ นังหนูวาสนาดีจนสวรรค์ยังต้องอิจฉากระมัง เขาควรออกไปท่องโลกกับลูกศิษย์บ้างดีหรือไม่ เกาะวาสนาไปด้วย ดูว่าเขาจะมีดวงบ้าหรือไม่
“ดังนั้นแปลว่าเจ้าไปเจอเพลิงอัคคีขี้เล่น ที่บังคับเจ้าให้พิชิตมันหรือ” นี่คือคำสรุปของเสวียนหั่ว
“เจ้าค่ะ มันนั่นแหละ เพลิงลมสลาตัน” เพลิงสีเทาปรากฏขึ้นบนมือขวาของหลิวหลี หมุนติ้วอย่างรวดเร็ว และที่สำคัญคือ
“หลิวหลีๆ เจ้านี่มันน่าเบื่อเสียจริง กว่าจะปล่อยข้าออกมา อึดอัดจะแย่แล้ว ระดับเพลิงอัคคีพวกนั้นต่ำเกินไป คุยกับข้าไม่ได้ หลิวหลี เจ้าอย่าเก็บข้าไว้ในร่างเจ้าได้หรือไม่”
หลิวหลีโบกมือขวาเก็บมันเข้ามา เห็นแล้วใช่ไหมล่ะ เพลิงอัคคีที่นางพิชิตมาเป็นคนพูดมาก หากปล่อยเขาออกมานางต้องหูหนวกแน่ เป็นถึงเพลิงอัคคี ทำไมถึงได้พูดมากขนาดนี้
“เพลิงอัคคีอันดับ 6 พูดได้หรือ” เสวียนหั่วรู้สึกเหมือนตัวเองได้ความรู้ใหม่
“เจ้าค่ะ หากไม่ใช่เพราะมัน ข้าคงไม่ต้องลำบากเพิ่มพลังบำเพ็ญเพียร แล้วถูกเจ้าเพลิงอัคคีนี้มาบงการชีวิต” นึกย้อนไปแล้วก็สุดจะทน
“เป็นแบบนี้นี่เอง” ไม่ว่าดูอย่างไรก็เหมือนมีคนอยากให้นังหนูฝึกคัมภีร์ทะลวงเส้นลมปราณให้สำเร็จ ยังเหลือเพลิงอัคคีอีกแค่เพียงสองชนิดเท่านั้น
“ศิษย์เอ๋ย ตอนนี้เหลือแค่เก็บเพลิงอัคคีธาตุดินกับไฟใช่หรือไม่” เสวียนหั่วลูบหนวด เขาคิดว่าลูกศิษย์ของตัวเองฝึกได้สำเร็จเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์แน่
“เจ้าค่ะ” ต้องเป็นธาตุไฟและต้องเป็นเพลิงอัคคีอันดับ 1 เฮ้อ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติก็แล้วกัน ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเพลิงอัคคีอันดับ 1 แม้แต่นิดเดียวเลยหรือนี่ นางคงต้องลองออกเดินทางไปลองหาดู
“พลังบำเพ็ญเพียรมาถึงขั้นนี้แล้ว เข้าฌานไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว นังหนูเจ้าคิดจะทำอะไรต่อไป” เสวียนหั่วถามขึ้นลูบหนวด หากลูกศิษย์ของเขาจะออกไปท่องโลก เขาจะต้องตามไปด้วยอย่างแน่นอน
“จะทำอะไรน่ะหรือ เจออาจารย์แล้ว ก็จะกลับโลกอสูรเทพ ท่านแม่ข้าคลอดน้องสาวให้ข้าคนหนึ่ง ข้าอยากรอจนกว่านางจะเข้าสู่ช่วงอมตะ จะไปท่องโลกด้านนอก”
“ช้าก่อน แม่เจ้าฟื้นแล้วหรือแถมยังคลอดน้องสาวให้เจ้าอีกหรือเนี่ย” ข่าวสารมากมายจริง ๆ
“เจ้าค่ะ ท่านแม่ฟื้นแล้ว ต้องขอบคุณอาจารย์ที่ช่วยปรุงยาคืนวิญญาณให้นาง นี่เป็นของขวัญแทนคำขอบคุณที่ท่านตาฝากข้ามามอบให้ท่าน” หลิวหลีจึงนำของขวัญที่ท่านตาของนางเตรียมไว้ออกมา
“คืนท่านตาเจ้าไปเถอะ  นังหนู เจ้าให้ค่าตอบแทนข้าแล้วไม่ใช่หรือ” ยิ่งไปกว่านั้น นังหนูก็เป็นคนรับวิบากอัสนีบาตในตอนนั้นไว้เอง
“อาจารย์รับไว้เถอะเจ้าค่ะ ท่านตาของข้ารู้สึกขอบคุณท่านอย่างยิ่งทีเดียว หากไม่เพราะเขายุ่งล่ะก็ เขาอยากจะมาด้วยตัวเองเสียซ้ำ” หลิวหลีส่ายหัว นี่คือน้ำใจของท่านตา อาจารย์รับไว้จะดีกว่า
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าจะรับไว้ เจ้าเป็นลูกศิษย์ข้า ต่อไปไม่ต้องทำเช่นนี้อีก” เสวียนหั่วรับของขวัญเอาไว้
“ข้าจะบอกท่านตาแน่นอน”
“เอาเถอะ ไหนตอนนี้เล่ามาสิ ทำไมเจ้าจึงมีน้องสาวโผล่มาอีกคนได้” เรื่องนี้สิถึงจะเป็นเรื่องสำคัญ นักบำเพ็ญเพียรจะให้กำเนิดทายาทไม่ใช่เรื่องง่าย มารดาของนางไม่ได้สติตั้งหลายสิบปี พอตื่นขึ้นมากลับสามารถให้กำเนิดทายาทได้ ช่างน่าอัศจรรย์ใจเหลือเกิน
“ท่านแม่ข้าให้อภัยท่านพ่อ แล้วทั้งสองก็แต่งงานกัน ความรักอย่างไรล่ะ เรื่องลูกจึงเป็นเรื่องที่ไม่ช้าก็เร็วอยู่แล้ว” หลิวหลีพูดอย่างไม่ได้สนใจอะไร สองคนรักกันมีลูกกันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ จะตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น
“เฮ้อ” คำพูดของหลิวหลีทำให้เสวียนหั่วไม่มีอะไรจะพูด คำพูดนี้ฟังดูมีเหตุผลตามหลักทั่วไป เขาก็พูดอะไรไม่ได้ แต่ประเด็นสำคัญคือ ยิ่งพลังบำเพ็ญเพียรสูงทำให้ยิ่งมีบุตรยาก เช่นแม่ของนางที่มีลูกแล้วผ่านไปครู่หนึ่งก็มีลูกอีกคน มีน้อยมาก เขาจะอธิบายเรื่องนี้ให้ศิษย์ที่ยังไม่ได้แต่งงานของเขาฟังได้หรือไม่ พูดไปแล้วพลังบำเพ็ญเพียรของนางสูงขนาดนี้ เขาจะมีศิษย์หลานหรือไม่ อีกอย่างลูกศิษย์ของเขาคงจะไม่บรรลุเป็นเซียนก่อนเขาใช่ไหม ความคิดนี้หยุดลงกระทันหัน ยิ่งคิดยิ่งออกนอกลู่นอกทาง
“ดังนั้นเจ้าจึงจะกลับบ้านไปสั่งสอนน้องสาวของเจ้า นังหนู เจ้าไม่คิดที่จะสอนศิษย์หลานพวกนี้ของเจ้าบ้างเลยหรือ” ไม่ว่าจะปล่อยแกะหนึ่งตัว หรือสองตัว อย่างไรก็ต้องปล่อยไปอยู่ดี
“ข้าน่ะหรือ ไม่กลัวว่าข้าจะทำให้พวกเขาเรียนช้าหรืออย่างไร” น้องสาวของตัวเองยังง่ายหน่อยใครจะไปรู้ว่าพวกศิษย์หลานพวกนั้นนิสัยเป็นเช่นไร
“ไม่ต้องกลัวหรอก ตอนนี้เจ้าเป็นคนดังในสำนักเมฆาคล้อย ลูกศิษย์ในสำนักนับถือเจ้ากันทุกคน หากเจ้าได้ไปสอนเด็กพวกนั้น พวกนั้นจะต้องมีความสุขมากแน่” เสวียนหั่วเห็นว่าลูกศิษย์ยังไม่รู้คุณค่าของนางจึงพูดอย่างอดไม่ได้
“ถ้าเช่นนั้น ก็ยิ่งสอนไม่ได้ใหญ่เลย ถ้ามัวแต่มองข้าแล้วจะเรียนอะไรได้” หลิวหลียิ่งไม่เห็นด้วยมากกว่าเดิม หากเอาแต่จ้องมองนาง แล้วจะมีกระจิตกระใจร่ำเรียนหรือ
“ศิษย์เอ๋ย เจ้าไม่ควรคิดเช่นนั้น เจ้าลองคิดดู หากเจ้าสอนพวกเขา พวกเขาจะยิ่งมีแรงจูงใจในการเรียน” นังหนูมีความคิดเช่นนี้ได้อย่างไร ช่างมองโลกในแง่ลบจริง ๆ
“เรื่องนี้ ขอข้ากลับไปถามท่านแม่ก่อนว่ายินดีให้ข้าพามั่วหลีมาที่สำนักหรือไม่ แล้วค่อยว่ากัน” ไม่ว่าจะปล่อยแกะหนึ่งตัว หรือปล่อยแกะสองตัว อย่างไรก็ต้องปล่อยอยู่ดี นางเองก็คิดเหมือนอาจารย์นาง
“พูดเช่นนี้ หมายความว่าเจ้าเห็นด้วยแล้วสิ” ศิษย์ยังคงเห็นความดีของสำนักอยู่บ้าง
“เจ้าจะไม่ไปเจอพวกศิษย์พี่กับเจ้าสำนักหน่อยหรือ” ศิษย์น้องเจ้าสำนักของเขาเห็นคนในลำดับหนึ่งก็เกือบจะทุบตำหนักเจ้าสำนักทิ้งแล้ว
“ไม่ล่ะ มีปัญหากับพวกเขามาตลอด จนข้าเกรงใจแล้ว” หลิวหลีรู้สึกว่าหากไปหาพวกเขาตอนนี้ แล้วพวกศิษย์พี่ถูกกดดันจนเกิดจิตฟากมือขึ้นมา คงไม่ดีนัก
“เอ่อ ก็มีเหตุผล แต่ไม่ว่าช้าหรือเร็วก็ต้องเจอกันอยู่ดี” เสวียนหั่วรู้ว่าสิ่งที่ลูกศิษย์พูดก็ถูก ขนาดเขาเองยังรู้สึกกดดันจนเกือบมีปัญหาเลย
“จริงสิ ศิษย์ข้าในเมื่อพลังบำเพ็ญเพียรของเจ้าก็คงจะไม่เปลี่ยนแปลงในระยะเวลาสั้นๆนี้แน่ เจ้าไปฝึกปรุงยาพัฒนาทักษะด้านนี้น่าจะดีกว่า” เสวียนหั่วนึกขึ้นได้ว่า มีแต่เรื่องปรุงยาเท่านั้นที่เขาจะสามารถสอนนางได้ ทำให้ความสามารถด้านการปรุงยาของลูกศิษย์ไปอยู่อันดับ 7 ช่วงสุดยอดน่าจะพอทำได้อยู่
“ทักษะปรุงยาหรือ ช่วงนี้ข้าไม่อยากจะปรุงยาสักเท่าไร ข้าปรุงยาระดับ 8 ได้แล้ว แต่ยังแตะขอบของระดับ 9 ไม่ได้แม้แต่น้อย ข้าจึงยังไม่คิดจะปรุงยาในตอนนี้” หลิวหลีแสดงออกว่าเรื่องปรุงยาก็เพลาๆได้ นางยังไม่แตะขอบของขั้นต่อไป จะปรุงยาก็ไร้ประโยชน์
“ศิษย์ข้า เจ้าว่าอะไรนะ อาจารย์ฟังไม่ค่อยชัด” เขาเข้าฌานนานเกินไปหรือเปล่า เหมือนจะได้ยินลูกศิษย์บอกว่าสามารถปรุงยาระดับ 8 ได้แล้ว แต่ยังไม่แตะขอบระดับ 9 นังมารตนนี้คือใคร คืนลูกศิษย์ของเขากลับมาเดี๋ยวนี้
“อาจารย์ ข้าเป็นนักปรุงยาระดับ 8 แล้ว ช่วงนี้ว่าจะไม่ปรุงยาแล้ว” หลิวหลีกล่าวซ้ำอย่างมีความสุข ส่วนเสวียนหั่วแข็งทื่อเป็นรูปปั้นอยู่ที่หอปรุงยา
เมื่อหลิวหลีเห็นว่าอาจารย์ตัวแข็งไป ทำไมถึงต้องให้นางพูดซ้ำด้วยนะ
“ศิษย์ข้า ตอนนี้เจ้าปรุงยาระดับ 8 ชนิดใดก็ได้ให้ข้าดูหน่อย” ต้องเห็นกับตาจึงจะเชื่อ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่เชื่อหรอกว่านางจะมีเก่งเช่นนั้น
“อาจารย์ ปรุงยาจะมีวิบากเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ พวกศิษย์พี่กับท่านเจ้าสำนักจะต้องมาแน่นอน” นางไม่อยากจะทำตัวเด่น
“จงลงมือปรุงยา เจ้าไม่เชื่อฟังอาจารย์แล้วหรือ” เสวียนหั่วทำหน้าบึ้งตึง วันนี้เขาจะต้องเห็นนางปรุงยาให้ได้ ไม่ว่าใครก็รั้งไว้ไม่ได้ทั้งนั้น
“เจ้าค่ะ” เมื่อหลิวหลีเห็นอาจารย์หนักแน่นขนาดนั้น ก็หวังว่าหัวใจของอาจารย์ก็จะเข้มแข็งเช่นกัน
ท่าทางคล่องแคล่วของหลิวหลียังคงงดงามเช่นเคย ทุกขั้นตอนสมบูรณ์แบบ จนปรุงยาลุล่วง ก็ยังไม่มีข้อบกพร่องใด เขาเห็นศิษย์ของเขามีท่าทีคล่องแคล่วงดงาม เขาต้องใช้เวลาหลายร้อยปีฝึกฝนจึงจะมีฝีมือขนาดนี้ กระทั่งวิบากอัสนีบาตปรากฏขึ้น เขากลับลืมหาคนมาช่วยรับ เมื่อเตรียมจะเรียกคน ก็เห็นศิษย์ตนเองเข้าไปรับวิบากเม็ดยาศิษย์ศิษย์อย่างแข็งขัน ไหนบอกว่านักปรุงยาร่างกายอ่อนแอ เสวียนหั่วดูลูกศิษย์ปรุงยาจนเสร็จด้วยใบหน้าบึ้งตึง และรับวิบากอัสนีบาตจนครบ หน้านางแค่ซีดขาวเท่านั้น ไม่ได้มีอาการอื่นใด พระเจ้า รีบมาพาปีศาจตนนี้ออกไปที!
 …………………………….

แม่ครัวยอดเซียน

แม่ครัวยอดเซียน

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน! นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน! หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต! เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!! เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า… นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ? แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!

Options

not work with dark mode
Reset