แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 190 เดินวนเป็นวงกลมคือการปกป้อง

“ดูสิ ข้าบอกแล้วว่าวนเป็นวงกลมแน่ เมื่อครู่เราเดินผ่านตรงนี้แล้ว” ชิงหลวนเริ่มหัวเสีย แผนที่ของหลิวหลีเป็นของปาหี่ชัด ๆ
“อืม ขอข้าดูหน่อย” หลิวหลีหยิบแผนที่ไป มองซ้ายมองขวา ก็ไม่ได้ดูผิดเสียหน่อย ถ้าอย่างนั้นนางโดนหม้อสามขาใจแคบนั่นหลอกหรือนี่ คงไม่น่าล่ะมั้ง
ส่วนสามคนที่เหลือก็เข้ามาร่วมวงด้วยเช่นกัน ทุกคนล้วนเห็นว่าแผนที่บอกไว้เช่นนั้นจริงๆ แต่พวกเขาก็กำลังเดินเป็นวงกลมอยู่
“ทำไมถึงรู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ” หลิวหลีลูบคางขณะพูด เหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง
“ผิดปกติอย่างไรล่ะ มันก็เป็นแบบนี้นี่” ชิงหลวนหยิบแผนที่ขึ้นมอง แต่ไม่ว่าจะมองตรงๆ หรือมองกลับด้าน ก็มองอะไรไม่ออก
“หลิวหลี เจ้าคิดว่าขาดอะไรไปงั้นหรือ?” หยวนเทียนถาม เพราะเขาก็ไม่เห็นว่าขาดอะไรไป
“ไม่แน่ใจ แค่รู้สึกว่าเหมือนขาดอะไรไป?” หลิวหลีเองก็บอกไม่ถูก แค่รู้สึกว่าเหมือนขาดอะไรไป แผนที่นี้ไม่น่าจะใช่ของปลอม หม้อสามขาเทียนสิงคงจะไม่หลอกลวงแน่ และนี่เป็นรางวัลของผู้ถูกเลือกอันดับหนึ่ง ของที่ได้มาต้องดีเยี่ยม แต่แผนที่แผ่นนี้ดูเหมือนขาดอะไรอยู่ตลอดเวลา เพลิงดวงใจพสุธา เพลิงอัคคี
“อ้าว นังหนู คิดอย่างไรถึงได้เรียกข้าออกมา” หลิวหลียื่นมือขวาออกมา แล้วเพลิงลมสลาตันก็ปรากฏตัวขึ้น
“เจ้าไปเผาแผนที่แผ่นนั้นให้ข้าหน่อย” หลิวหลีชี้แผนที่บนมือชิงหลวน
“หลิวหลี เจ้าทำอะไร มีแผนที่อยู่แค่แผ่นเดียวเท่านั้น เจ้าไม่อยากจะหาเพลิงอัคคีแล้วหรือ” ชิงหลวนร้อนใจ ถึงแผนที่จะพาพวกเขาเดินวนไปมา แต่จะไม่มีแผนที่ก็ไม่ได้
ชิงหลวนเพิ่งพูดจบ เพลิงลมสลาตันก็พุ่งเข้ามาราวลมพัด เผาแผนที่จนไม่เหลืออะไร
หลังจากแผนที่ถูกเผา อยู่ๆก็มีตราประทับสีเหลืองปรากฏขึ้น ส่องประกายระยิบระยับ ส่องสว่างไปยังทิศทางหนึ่ง
“ทางนั้นนี่เอง ขอบคุณมาก เพลิงลมสลาตัน เจ้ากลับไปทำหน้าที่พี่ใหญ่ของเจ้าต่อเถอะ” หลิวหลีพูดจบก็ทำท่าจะเก็บเพลิงลมสลาตันเข้าร่าง
“สุดยอด ใครจะไปนึกว่าเผาแผนที่แล้วจะกลายมาเป็นแบบนี้ หลิวหลี เจ้าคิดออกได้อย่างไร” ชิงหลวนถามด้วยความสงสัย เพราะคนปกติเมื่อได้แผนที่เพลิงอัคคีมาย่อมต้องเก็บรักษาเป็นอย่างดี เมื่อรู้ว่าต้องใช้ไฟเผาคงเสียดายน่าดู แถมยังต้องเผาโดยเพลิงอัคคีอีก
“อืม เพราะว่านึกขึ้นมาได้ว่ากำลังหาเพลิงอัคคีดังนั้นจึงลองดู นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะใช้ได้” หลิวหลีเองก็แสดงออกว่าตนเองนั้นก็ไม่อาจล่วงรู้ได้เช่นกัน เพียงแต่ทำตามที่นึกขึ้นมาได้เท่านั้นเอง
เหตุผลนี้ดูยิ่งใหญ่จริงๆ แต่คนที่กล้าทำเช่นนี้ คงจะมีแต่หลงหลิวหลี ที่ไม่เคยจัดการกับปัญหาด้วยวิธีปกติแบบคนทั่วไป
หลิวหลียื่นมืออกมา แล้วตราประทับนั้นค่อยๆลอยลงมาประทับอยู่ในอุ้งมือหลิวหลี บอกเส้นทางนาง
“ทางนี้” หลิวหลีมองตามเส้นทางที่ตราประทับบอก
“นี่ก็เราก็กำลังเดินวนกันอยู่ไม่ใช่หรือ” ชิงหลวนรู้สึกเหมือนยังเดินบนทางเดิมๆ
“เดินตามที่มันบอกเถอะ เพราะอย่างไรแผนที่ก็เหลือแค่นี้” หลิวหลีบอกว่าแผนที่ถูกเผาทิ้งไปแล้ว ทิ้งไว้แต่ตราประทับนี้ ที่พอจะทำได้ก็คงจะแค่เดินตามสัญลักษณ์ไป
ชิงหลวนไม่พูดอะไรและทำตาม
“เอ่อ เมื่อครู่ตรงนี้ไม่มีทางเดินนี่นา ทำไมถึงมีทางเดินโผล่ออกมา” ไม่รู้ว่าเดินอยู่นานเท่าไหร่ ชิงหลวนพบความต่างเป็นคนแรก เพราะนางเองเคยมาที่นี่มาก่อน เดินวนอยู่หลายเดือนกว่าจะออกไปได้ ดังนั้นจึงจำได้อย่างแม่นยำ ตอนนี้จู่ๆพบว่ามีเส้นทางเพิ่มขึ้นมา จึงอุทานออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“จริงหรือนี่ พอได้ยินชิงหลวนพูดเช่นนี้ ข้าก็รู้สึกขึ้นมาเลย” เฟยเผิงเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ส่วนสามคนท่ีเหลือไม่รู้สึกอะไร เพราะพวกเขาเพิ่งจะเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก
“เช่นนี้นี่เอง แสดงว่าตราประทับถูกต้องแต่พวกเราหยุดกันก่อนเถอะ” หลิวหลีพูดพลางขมวดคิ้ว ทำไมที่นี่ถึงมีพลังมารมากมายขนาดนี้ พอนึกถึงคำพูดของมั่วหราน เขาบอกว่าเมื่อแช่เมล็ดต้นโพธิ์ไว้ในสระน้ำวิญญาณ ก็มีรากงอกออกมาอีกทั้งยังมีเมล็ดต้นโพธิ์ออกมาอีกหลายเม็ดด้วย ในเมื่อปลูกต้นโพธิ์ได้ จะขาดแคลนเมล็ดต้นโพธิ์ได้อย่างไร
“นังหนู เป็นอะไรไป?” หนานกงเวิ่นเทียนถาม เขารู้สึกไม่ชอบมาพากลนัก แต่ประสาทสัมผัสก็ไม่อ่อนไหวเช่นนังหนู
“ด้านหน้ามีพลังมารรุนแรง นี่เป็นของที่เพื่อนข้าให้มา กินคนละหนึ่งเม็ดแล้วบำเพ็ญเพียรก่อน” หลิวหลีแบ่งเมล็ดต้นโพธิ์ออกไป
“มะ เมล็ดต้นโพธิ์ นี่เป็นของศักดิ์สิทธิ์ของโลกพุทธะ หลิวหลีเจ้ามีด้วยหรือนี่ แถมยังมีเยอะเสียด้วย เจ้าแน่ใจหรือว่าเพื่อนให้มา ไม่ใช่ว่าเจ้าไปปล้นมา” หยวนเทียนกล่าวขณะมือที่ถือเมล็ดต้นโพธิ์นั้นสั่นระริก ของสิ่งนี้เป็นประโยชน์ต่ออสูรมากเหลือเกิน เฟยเผิงกับชิงหลวนที่อยู่ข้างๆก็มือสั่นเช่นเดียวกัน
“ก็ได้ เพื่อนข้าให้ข้ามาหนึ่งเม็ด (อีกทั้งยังเป็นเม็ดที่ไม่สมบูรณ์) ตัวข้ามีสวนยาประจำตัว จึงเพาะพันธุ์ได้ อายุอาจไม่มากพอแต่กินได้ ด้านหน้ามีพลังมาร สัมผัสโดนเพียงเล็กน้อยก็อาจถูกควบคุมได้ อย่ามัวแต่เสียดายเลย ของที่ดีคือของที่ส่งผลดีกับตนเอง ของอย่างอื่นก็เป็นเพียงแค่ของตกแต่งเท่านั้นเอง” หลิวหลีเห็นว่าอสูรทั้งสามเสียดาย กลัวว่าพวกเขาจะเก็บไว้ จึงจงใจเล่าข้อเสียของพลังมารนั่นให้มากขึ้น
“ข้ากินแน่” อสูรทั้งสามเห็นว่าหลิวหลีมองพวกเขา จึงรีบใส่ยาเข้าปาก จากนั้นก็หลอมฤทธิ์ยา แล้วดูดซึมมันมาใช้
“นังหนู เจ้านี่ร้ายจริง ๆ” หนานกงเวิ่นเทียนเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นอสูรทั้งสามทำตามอย่างเชื่อฟัง
“ข้าไม่ใช่สักหน่อย เสี่ยวเทียนรีบกินเข้า ข้าก็จะกินด้วยเช่นกัน” หลิวหลีกล่าว
หลิวหลีพูดจบก็ยัดยาเม็ดหนึ่งเข้าปากหนานกงเวิ่นเทียน และตนเองก็กินเข้าไปเม็ดหนึ่งเช่นกัน เพียงแต่พอมาถึงช่วงพลังบำเพ็ญเพียรอย่างพวกเขาจึงหลอมพลังได้ค่อนข้างเร็วมาก เพียงชั่วพริบตาพลังบำเพ็ญเพียรของหลิวหลีก็เพิ่มขึ้นไประยะปลาย ส่วนหนานกงเวิ่นเทียนเพิ่มขึ้นไประยะกลาง อสูรทั้งสามก็ได้อะไรมาไม่น้อยเช่นกัน เพียงแต่ชิงหลวนพลังบำเพ็ญเพียรต่ำที่สุด จึงได้ประสิทธิภาพดีที่สุด แต่ก็ดูดซึมช้าที่สุดเช่นเดียวกัน รอจนชิงหลวนดูดซึมเสร็จสิ้น นางก็พบว่าทุกคนกำลังรอนางอยู่
“พวกเราไปกันเถอะ” หลิวหลีนำทาง แล้วคนที่เหลือเดินตามหลังอย่างระมัดระวัง เพื่อรับประกันว่าจะไม่หลงกับกลุ่ม หลิวหลีเดินตามตราประทับอย่างระมัดระวัง พลังแห่งความชั่วร้ายที่หนาแน่นทำให้ทุกคนไม่ค่อยสบายตัวนัก เกราะจากเมล็ดต้นโพธิ์ที่คลุมร่างกายพวกเขา ทำให้พวกเขารู้สึกดีขึ้นมา
“ดีที่กินเมล็ดต้นโพธิ์เข้าไป ไม่เช่นนั้นอาจจะถูกกลืนกินจนไม่เหลือซากแล้ว” เฟยเผิงมองพลังมารที่แน่นหนานั้นด้วยความหวาดกลัวน้อยๆ
“ดังนั้นการเดินวนเป็นวงกลมนั้นเท่ากับเป็นการปกป้องพวกเราล่ะสิ หากเราเหยียบเข้ามาในนี้แม้แค่ครึ่งก้าว ก็คงจะไม่เหลือแม้แต่ซาก” ชิงหลวนเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง การเดินเป็นวงกลมจริง ๆ แล้วก็เพื่อที่จะปกป้องพวกเขา หากว่าเหยียบเข้ามาจริงๆร่างกายคงเละแน่นอน
“หากไม่เป็นอะไรล่ะก็ พวกเราเดินทางต่อเถอะ เส้นทางข้างหน้ายังมีพลังมารอยู่” หลิวหลีบอกว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะมาคุยกัน ที่สำคัญที่สุดก็คือรีบผ่านไปตรงนี้ไปก่อนให้ได้
ทุกคนพยักหน้าแล้วเดินหน้าต่อจนไม่รู้นานเท่าไหร่ กว่าพลังมารจะเบาบางลง ทุกคนต่างก็โล่งใจ
“น่าจะเดินออกมาพ้นแล้ว” เฟยเผิงกล่าวพลางมองดูพลังชั่มารที่อยู่ด้านหลังด้วยความหวาดกลัว
เมื่อพลังชั่วร้ายสลายไป เมล็ดต้นโพธิ์ก็กลับเข้าไปอยู่ในร่างกายตามเดิม พวกหลิวหลีก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ข้างหน้าน่าจะไม่มีพลังมารแล้วใช่หรือไม่” ชิงหลวนยังไม่วางใจ
“ตอนนี้ยังสัมผัสไม่ได้” หลิวหลีพูดพลางส่ายหัว
“หลิวหลี ถึงแล้วหรือ?” หยวนเทียนถามขึ้น
“ยังเลย ยังต้องเดินอีกสักระยะ” หลิวหลีส่ายหัว บอกคนอื่นๆว่ายังต้องเดินไปอีกสักระยะ นางยังไม่สามารถสัมผัสได้ถึงเพลิงอัคคีประเภทใหม่
“ระวัง” อยู่ดีๆหลิวหลีก็พูดขึ้น ทำให้ทุกคนรีบหลบตามสัญชาตญาณ
“นกปีศาจโผล่มาจากไหน ระดับสูงมากเสียด้วย”  ชิงหลวนหลบพร้อมพูด นกปีศาจพวกนี้เป็นศัตรูกับพวกอสูรอย่างพวกเขา น่ารำคาญมากเลยจริง ๆ
“ทำไมในโลกอสูรจึงมีสิ่งมีชีวิตของโลกมารอาศัยอยู่” หยวนเทียนก็รู้สึกว่าโลกอสูรไม่ปลอดภัย ถิ่นของเขายังจะปลอดภัยกว่า
“นกปีศาจพวกนี้ไม่มีสติปัญญา มีเพียงแต่พลังโจมตีที่มีตามกำเนิดเท่านั้น ระวังอย่าโดนพวกมันจิกจนบาดเจ็บล่ะ หากพวกมันได้กลิ่นเลือด จะยิ่งทำให้นกปีศาจพวกนี้คลั่งขึ้นไปอีก” หลิวหลีกำชับ
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิวหลี ทุกคนก็ระมัดระวังตัวกันมากขึ้น
“นังหนู หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว พลังบำเพ็ญเพียรของนกปีศาจไม่ถือว่าสูงมาก แต่จำนวนมากจนน่ารำคาญ
“รู้แล้ว” หลิวหลีหยุดเดิน ยื่นมือทั้งสองข้างออก โดยมือขวาเป็นเพลิงลมสลาตัน และมือซ้ายเป็นเพลิงอัสนีคราม
“ในที่สุดก็ถึงตาข้าออกโรงแล้ว” เพลิงลมสลาตันตะโกน ต้องให้คำแนะนำน้องๆอยู่ทุกวัน น่าเบื่อเหลือเกิน มันควรได้ยืดเส้นยืดสายบ้างแล้ว
“จริงด้วย นกปีศาจข้างหน้าฝากพวกเจ้าด้วยนะ” หลิวหลีพยักหน้า
“คอยดูข้าก็แล้วกัน” เพลิงลมสลาตันกล่าว
เพลิงลมสลาตันพุ่งถลาไปด้านหน้า เพลิงอัสนีครามตามไปติดๆ และทุกสถานที่ที่มันลอยผ่าน นกปีศาจก็กลายเป็นฝุ่นละอองสีดำลอยคละคลุ้ง
“สมแล้วที่เป็นเพลิงอัคคี สุดยอดมาก” เฟยเผิงพูดด้วยความตกใจ
“ชมเกินไปแล้ว” หลิวหลีเก็บเพลิงอัคคีแล้วพูดอย่างถ่อมตัว
“น่าจะไม่มีนกปีศาจแล้วล่ะ” หลิวหลีลองสัมผัสดูแล้วจึงพูดขึ้น
“พวกเราเดินต่อเถอะ” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว
และทางที่เดินต่อไปไม่มีนกปีศาจเลยแม้แต่ตัวเดียวจริงๆ แต่หลิวหลีชะงักฝีเท้า ทำไมถึงมีแนวเขตต้องห้ามอยู่ หากว่าเป็นเพลิงอัคคีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ทำไมจึงมีของพวกนี้ หลิวหลีรู้สึกสงสัยขึ้นมา
“ข้างหน้าดูเหมือนจะมีแนวเขตต้องห้าม” หนานกงเวิ่นเทียนสัมผัสได้เมื่อเดินไปข้างหน้า
“ใช่แล้ว”
“อ้าว ทำไมยังมีแนวเขตต้องห้ามอีกล่ะ” ชิงหลวนรู้สึกหมดหวัง นางไม่รู้เรื่องแนวเขตต้องห้ามเลย
หลิวหลีใช้มือที่มีตราประทับอยู่สัมผัสแนวเขตต้องห้าม ผลคือนางข้ามเข้าไปได้ในทันที ตราประทับทำแบบนี้ได้ด้วยหรือนี่?
“หลิวหลี เจ้าข้ามไปได้อย่างไร”
“อือ เหมือนว่าแค่ยื่นมือออกมา ก็ข้ามได้แล้ว” หลิวหลีมองมือตนเอง ดูเหมือนเมื่อครู่นางจะใช้มือข้างที่มีตราประทับ เพื่อเป็นทดลองนางลองใช้มือข้างที่ไม่มีตราประทับ ผ่านไม่ได้แฮะ
หลิวหลีจึงเปลี่ยนไปใช้มือข้างที่มีตราประทับและเดินออกมา
“หลิวหลี เจ้า” ทำไมจึงเข้าออกได้อย่างอิสระ
“ข้าขอทดลองอะไรดูหน่อย เสี่ยวเทียน จับข้าไว้” หลิวหลีพูดกับหนานกงเวิ่นเทียน เขาทำตามที่นางบอก มือข้างที่มีตราประทับของนางผ่านได้แต่มือข้างที่จับหนานกงเวิ่นเทียนไว้ ไม่อาจผ่านเขตต้องห้ามนั้นได้
“มีเพียงแต่ข้าเท่านั้นที่ข้ามมาได้” หลิวหลีปล่อยมือหนานกงเวิ่นเทียน เมื่อพบว่าตัวเองเข้ามาได้เพียงลำพัง แต่ว่าพาคนอื่นเข้าไปไม่ได้
“ถ้าเป็นเช่นนี้ หลิวหลีเจ้าเข้าไปคนเดียวเถอะ ระวังตัวให้มาก” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว
“ได้ คงต้องรบกวนให้ทุกท่านรออยู่ที่นี่แล้ว” หลิวหลีเองก็เข้าใจว่าหนทางต่อจากนี้ นางต้องเดินทางเพียงลำพัง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็นำถุงเก็บของใบหนึ่งออกมามอบให้กับหนานกงเวิ่นเทียน
“เสี่ยวเทียน ข้าไม่รู้ว่าจะได้ออกมาเมื่อใด นี่คือเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ ข้าให้เจ้าเผื่อไว้”
“ได้” หนานกงเวิ่นเทียนพยักหน้า บ่งบอกว่าเขาเข้าใจ
 ……………………….

แม่ครัวยอดเซียน

แม่ครัวยอดเซียน

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน! นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน! หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต! เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!! เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า… นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ? แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!

Options

not work with dark mode
Reset