แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 193 เกิดความวุ่นวาย

“นึกไม่ถึงเลยว่าวิบากเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ของยาระดับ 9 จะทำให้รู้สึกปวดตัวเช่นนี้” ชิงหลวนสัมผัสมุมปากเบาๆ เจ็บจัง
“จริงด้วย แต่ก็รู้สึกดีมากเลย” ข้างๆคือเฟยเผิงที่มีรอยช้ำเป็นจ้ำอยู่บนแขน
“ไม่ได้มารับวิบากอัสนีบาตนานแล้ว รู้สึกดีมากจริง ๆ” หยวนเทียนคิดถึงช่วงเวลานั้นขึ้นมา เสื้อผ้าของเขายับเยินไปหมด
ส่วนหนานกงเวิ่นเทียนที่อยู่ข้างๆ หน้าไม่เปลี่ยนสีแม้แต่น้อย
แต่ก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่ อสูรทั้งสามมองคนบางคนที่ยังคงดูสง่าผ่าเผย
หลิวหลีรับยาใส่ขวด แล้วเก็บให้เรียบร้อย ตอนนี้นางอยู่ในระดับเดียวกันกับอาจารย์ของนางแล้ว
“ใคร ออกมา” หลิวหลีตะโกนยังทิศทางหนึ่ง
“เจ้าตำหนักชิงหลวน เจ้าตำหนักเฟยเผิง เจ้าตำหนักหยวนเทียน ข้าน้อยไป๋ลู่ ได้รับคำสั่งจากเจ้าตำหนักชิงเฟิ่ง ให้มาตามพวกท่านกลับไป” วิบากอัสนีบาตไม่ได้ทำให้ไป๋ลู่ตกใจ แต่ตกใจที่เจ้าตำหนักทั้งสามที่เข้าไปรับวิบากเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ทำให้ตกใจจนวิญญาณเกือบจะหลุดออกจากร่าง นั่นคืออะไร นั่นคือวิบากเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์เชียว แล้วยังกล้าเข้าไปรับอีกอยากตายหรืออย่างไร
“รีบกลับ เกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นหรือ?” ชิงหลวนถาม
“เรียนเจ้าตำหนัก เกิดสงครามขึ้นในโลกบำเพ็ญเพียรแล้ว โลกมารบุกเข้าโจมตีดินแดนอื่น ทำให้เกิดสงครามขึ้น” ไป๋ลู่พูดด้วยท่าทีจริงจัง
“กลับไปกันก่อน” เฟยเผิงกล่าว
“ตามข้ามา” หลิวหลีจับทุกคนไว้ พวกเขาเดินไปไม่กี่ก้าวก็พบว่าตัวเองถึงอยู่ตำหนักขนวิหคแล้ว
“ทำไมพวกเจ้าถึงได้รวดเร็วเช่นนี้” ชิงเฟิงมองคนเหล่านี้ที่ปรากฏตัวขึ้นที่นี่อย่างประหลาดใจ
“ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ชิงหลวนไม่มีท่าทีรื่นเริงอีกต่อไป ถามขึ้นด้วยท่าทีจริงจัง
“สถานการณ์เร่งด่วน ข้าจะพูดสั้นๆแล้วกัน องค์ชายรองแห่งโลกมารเยี่ยซิงหวงสังหารบิดาและพี่ชายของตน กุมอำนาจในโลกมาร เริ่มเข้าโจมตีดินแดนในโลกบำเพ็ญ ตอนนี้ชายแดนของดินแดนต่างๆเริ่มรวบรวมกำลังพล เพื่อรับมือกับโลกมาร หอเทียนจีเก๋อส่งคนมาบอกให้รีบเตรียมตัวตั้ง อีกอย่างหลงหลิวหลี หนานกงเวิ่นเทียน พวกเจ้าทั้งสองคนรีบกลับไปที่โลกอสูรเทพโดยด่วน” ชิงเฟิ่งอธิบายสั้นๆ
“ทำไมถึงเป็นเยี่ยซิงหวงได้ เขาไม่ได้เป็นผู้ถูกเลือกอัจฉริยะด้วยซ้ำ” ชิงหลวนไม่อยากเชื่อว่าเป็นองค์ชายรองคนนั้น องค์ชายใหญ่ที่เป็นผู้ถูกเลือกอัจฉริยะจะถูกสุดยอดผู้ถูกเลือกสังหารได้อย่างไร
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ  ชิงหลวนต้องเชื่อข้า ตอนนั้นคนผู้นั้นปิดบังความสามารถไว้มาก ข้ารู้สึกว่าเขาอันตรายแต่ทำอะไรไม่ได้ ข้าย่อมเชื่อว่าเขาทำเรื่องเช่นนี้ พวกเจ้ารีบเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ เสี่ยวเทียน พวกเรากลับโลกอสูรเทพกันก่อน พวกเจ้ารักษาตัวด้วย เจ้าตำหนักชิงเฟิ่ง ข้าขอตัวก่อน” หลิวหลีพูดจบ จับมือหนานกงเวิ่นเทียนเหมือนแทบไม่ได้ขยับตัว แต่ตัวกลับไปไกลเป็นหลายพันลี้
“ทำไมหลงหลิวหลีถึงมีพลังบำเพ็ญเพียรสูงขนาดนี้” ชิงเฟิ่งประหลาดใจ ก่อนนี้ไม่เคยพบเลยว่าอีกฝ่ายลึกลับเกินคาดเดาเช่นนี้
“หลิวหลีสุดยอดจริงๆ พิชิตเพลิงอัคคีแล้วเข้าสู่ช่วงมหายาน ตอนนี้เป็นผู้อาวุโสช่วงมหายานแล้ว” ชิงหลวนชี้ให้เห็นความเก่งกาจของหลิวหลี
“เพลิงอัคคีจริงด้วย” ชิงเฟิ่งเข้าใจกระจ่างแจ้ง
“ท่านพี่สาวเก่งจริงๆ รู้เรื่องนี้ด้วย” ชิงหลวนนับถือชิงเฟิ่งอย่างมาก
“เลิกพูดจาเยินยอได้แล้ว พวกเจ้าทั้งสองคนกลับไปก่อน ชิงหลวนเจ้าก็จะต้องเตรียมตัวให้ดี สงครามใหญ่กำลังจะมาถึง จะทำอะไรผ่านๆไม่ได้” ชิงเฟิ่งพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ทราบแล้ว ท่านพี่ (เจ้าตำหนักชิงเฟิ่ง)” ทั้งสามคนรับคำอย่างจริงจังทันที เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย ห้ามสะเพร่าโดยเด็ดขาด
ในอีกด้านเพราะพลังบำเพ็ญเพียรที่สูงขึ้น ทำให้หลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนมาถึงโลกอสูรเทพอย่างรวดเร็ว
หน้าหอเทียนจีเก๋อ ตวนมู่เหยากำลังรอหลงหลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนอย่างร้อนใจ ทำไมยังไม่ถึงอีก ทั้งๆที่ปู่ทวดคำนวนแล้วว่าต้องเป็นวันนี้ ตอนกำลังตัดสินใจว่าจะออกไปดู ก็มองเห็นคนคู่หนึ่ง
“สหายหลง สหายหนานกง” ตวนมู่เหยามองดูทั้งสองด้วยความประหลาดใจ ดีเหลือเกิน
“สหายตวนมู่ ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ หรือเจ้าคือคนของหอเทียนจีเก๋อ” หลิวหลีมองหอเทียนจีเก๋อกับตวนมู่เหยาอย่างประหลาดใจ
“สหายหลงเป็นผู้มีปัญญาเฉียบแหลม แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดคุยกัน ปู่ทวดกำลังรอเจ้าอยู่ รีบเข้าไปเถอะ” ตวนมู่เหยามองหลิวหลีด้วยแววตาที่ชื่นชม แต่เมื่อนึกถึงความเร่งรีบของสถานการณ์ จึงเร่งให้หลิวหลีรีบเข้าไป
พวกหลิวหลีทั้งสองคนถูกดันเข้าไปอยู่ในห้องลับแห่งหนึ่ง มีผู้เฒ่าคนหนึ่งอยู่ด้านใน
“ดาวมังกร ดาวหงส์ ในที่สุดพวกเจ้าก็มา” เมื่อผู้เฒ่าลืมตาขึ้น หลิวหลีก็พบว่าดวงตาผู้เฒ่าคนนี้ราวท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ทำให้คนอ่านไม่ออก ลึกลับอย่างยิ่งยวด
“ผู้น้อยหลงหลิวหลี (หนานกงเวิ่นเทียน) คารวะผู้อาวุโส” คนทั้งสองงทำความเคารพอย่างนอบน้อม
“เหอะๆ ไม่ธรรมดาจริงด้วย ดาวมังกรปรากฏขึ้นบนฟ้าแล้ว ส่วนดาวหงส์ยังขาดเล็กน้อย อาเหยา พาดาวหงส์ไปที่หอดาวจรัสฟ้า เอาป้ายของข้าไป สิ่งไหนที่เหมาะสมกับเขาก็ยกให้เขาเอาทั้งหมดแล้วให้พาไปบำเพ็ญเพียรที่หอดารากร” ผู้เฒ่าพูดจบก็มอบป้ายให้ตวนมู่เหยา
“ขอรับ ท่านปู่ทวด”
หลิวหลีบอกลาผู้เฒ่าอย่างมีมารยาท เตรียมจะหมุนตัวเดินออกไป
“ดาวมังกร เจ้าจะไปไหน กลับมา กลับมา” ผู้เฒ่าตะโกนสุดเสียงเมื่อเห็นว่าหลิวหลีจะจากไป
“ท่านผู้อาวุโส ท่านบอกว่าดาวหงส์ต้องเดินทางกับสหายตวนมู่ไม่ใช่หรือ” หลิวหลีรู้สึกสับสน ตั้งแต่โบราณมามังกรคือผู้ชาย หงส์คือผู้หญิง นางเดินตามไปก็ถูกแล้ว
“ดาวมังกร เจ้าอย่าพูดจาล้อเล่นเลย พลังบำเพ็ญเพียรของเจ้าในตอนนี้ หอดาวจรัสฟ้าของข้าไม่มีของล้ำค่าชิ้นไหนที่จะให้เจ้าใช้หรอก” ผู้เฒ่ายิ้มแล้วพูดขึ้น
“ดังนั้นแปลว่าข้าคือดาวมังกร” หลิวหลีชี้ตัวเอง เสี่ยวเทียนคือดาวหงส์
“ใช่แล้ว ดาวมังกรเจ้าอยู่ก่อน ส่วนดาวหงส์ เจ้าไปกับอาเหยาก่อน” ครั้งนี้พูดชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม ผู้เฒ่ามองหนานกงเวิ่นเทียน หนานกงเวิ่นเทียนหน้าแดงเล็กน้อยกล่าวลาท่านผู้เฒ่าแล้วเดินออกไป
หลิวหลีมองหนานกงเวิ่นเทียนที่หน้าแดงจนตาแทบถลน สมแล้วที่เป็นคู่หมั้นของนาง ช่างงดงามจริงๆ
“ดาวมังกรไม่ต้องอาลัยอาวรณ์ไป ดาวหงส์จะออกมาในไม่ช้า” ผู้เฒ่ากระเซ้า
“ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้เหลือแค่พวกเราสองคน ท่านมีเรื่องอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะ” หลิวหลีพูดอย่างตรงไปตรงมา
“ฮ่าฮ่า ดาวมังกรเจ้าตรงไปตรงมาจริงๆ ข้าก็จะไม่อ้อมค้อมแล้วนะ ดาวมังกร เจ้ารู้จักดาวหมาป่าสวรรค์หรือไม่” ท่านผู้เฒ่าถาม
“ท่านผู้อาวุโส ท่านเรียกข้าว่าหลิวหลีก็พอ ไม่ทราบเจ้าค่ะ” ดาวหมาป่าสวรรค์คืออะไร ฟังแล้วรู้สึกเหมือนเป็นคนไม่ดีอย่างไรไม่รู้ อีกอย่างดาวมังกรคืออะไร ฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ
“เอาเถอะ หลิวหลี ดาวหมาป่าสวรรค์ คือดาวแห่งความละโมบ คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้า ชื่นชอบทำสงครามเห็นชีวิตคนเป็นราวผักปลา” ท่านผู้เฒ่ากล่าว
นี่ก็คือผู้ที่กระหายสงครามและกระหายเลือด ถ้าเปรียบกับยุคสมัยนี้คงจะเรียกว่าผู้ก่อการร้าย แถมเป็นผู้ก่อการร้ายที่มีพลังการต่อสู้เหลือล้นเสียด้วย
“ตอนนี้ ดาวหมาป่าสวรรค์ได้ครอบครองดาวเหนือ เริ่มก่อสงครามขึ้น” ท่านผู้เฒ่าถอนหายใจ
“เริ่มก่อสงคราม โลกมาร เยี่ยซิงหวง เขาคือดาวหมาป่าสวรรค์” หลิวหลีเข้าใจทันที
“ถูกต้องแต่ว่าเกี่ยวอะไรกับข้าด้วยหรือ” หลิวหลีถามอย่างสงสัย อีกอย่าง ดาวมังกรกับดาวหงส์คืออะไร
“เกี่ยวสิ เกี่ยวมากด้วย สงสัยใช่ไหมว่าทำไมถึงเรียกเจ้าว่าดาวมังกร เรียกเด็กหนุ่มเดินออกไปคนนั้นว่าดาวหงส์” ผู้เฒ่ามองหลิวหลีแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ผู้อาวุโสได้โปรดอธิบายด้วย”
“เหอะๆ หลิวหลี เจ้าเกิดมาก็มีบุญกว่าคนทั่วไป ไม่ว่าใครที่เกี่ยวข้องกับเจ้าเพียงเล็กน้อยก็จะโชคดีไปด้วย เดิมโชคชะตาของหนานกงเวิ่นเทียนต้องประสบเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ถึงขั้นต้องกลายเป็นมาร แต่เพราะเจ้าทำให้ชะตาของเขาเปลี่ยนไป กลายเป็นดาวหงส์ที่อยู่เคียงคู่ดาวมังกร”
หลิวหลีคิดไม่ถึงเลยว่า โชคชะตาของหนานกงเวิ่นเทียนเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่เพราะตนเอง
“สกุลหลงก็เช่นกัน เดิมสกุลหลงจะกลายเป็นอันดับสุดท้ายของสกุลใหญ่ทั้งห้า พ่อแม่ของเจ้าจะไม่ได้เจอกันตลอดชีวิตนี้ นับประสาอะไรกับน้องสาวของเจ้าที่ไม่น่าจะได้เกิดมา”
เป็นแบบนี้หรอกหรือ
“เดิมสำนักเมฆาคล้อยเดิมจะกลายเป็นสำนักระดับสาม แต่เพราะเจ้าทำให้สำนักเมฆาคล้อยโด่งดังไปเป็นหมื่นปีไม่เปลี่ยนแปลง”
ตนเองมีอิทธิพลต่อสำนักด้วยหรือ หลิวหลีนึกไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะสร้างความเปลี่ยนแปลงมากมายขนาดนี้
“ดังนั้นผู้อาวุโส ท่านต้องการจะบอกอะไรกันแน่เจ้าคะ” หลิวหลีถามตรงๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายขนาดนี้ นางทำอะไรได้ เปลี่ยนกลับไปให้เป็นเช่นเดิมหรือ?
“หลิวหลี เจ้าคือดาวมังกร เจ้าต้องเป็นคนทำลายดาวหมาป่าสวรรค์” ผู้เฒ่าพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแล้วมองหลิวหลี
“หากข้าต้องทำล่ะก็ ข้าจะไม่ปฏิเสธแน่นอน” หลิวหลีกล่าว
“ไม่ต้องให้เจ้าร่วมมือกับดาวหงส์” ผู้เฒ่าส่ายหัวแล้วพูดขึ้น
“ร่วมมือกับเสี่ยวเทียนหรือ” เหมือนคำพูดนี้มีความนัยซ่อนอยู่
“ใช่ ข้าขอถามอะไรหน่อย จุดพรหมจรรย์ของเจ้ายังอยู่หรือไม่?”
“แค่กๆ ท่านผู้อาวุโส ข้ายังไม่ได้เข้าหอกันเจ้าค่ะ” หลิวหลีหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ผู้อาวุโสอย่าถามตรงไปตรงมาเช่นนี้ได้หรือไม่
“ถ้าเช่นนั้น โอกาสชนะก็ยิ่งมีมากขึ้น”
ชัยชนะเกี่ยวอะไรกับการที่นางเข้าหรือไม่เข้าหอด้วย
“เจ้าจำเป็นต้องใช้ร่างบริสุทธิ์ ถึงจะรับเพลิงอัคคีได้ หากจะเข้าหอให้รอวิบากกรรมครั้งนี้ผ่านไปก่อน ดังนั้นหลิวหลีเจ้าต้องอดทนไว้ ถึงแม้คู่หมั้นของเจ้าจะมีเสน่ห์เพียงใดก็ตาม” ผู้เฒ่าพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง หลิวหลีที่ฟังอยู่ก็นึกว่าเรื่องอะไร เห็นนางเป็นคนบ้ากามขนาดนั้นเลยหรือ ทำไมถึงพูดกับนางแบบนี้
“หลิวหลีจะจำไว้” หลิวหลีแสดงออกว่าตนเองจะไม่แอบขโมยกินผลไม้ต้องห้ามแน่นอน อุตส่าห์วางแผนไว้ว่าจะแต่งงาน ช่างเถอะเป็นแม่ชีก็ได้
“อีกอย่างรีบหาเพลิงอัคคีชนิดสุดท้ายให้เจอ เพลิงอัคคีชนิดสุดท้ายเป็นกุญแจที่สำคัญที่สุด” ผู้เฒ่าพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“เพลิงนพเก้ามอดนภา” นางจะไปตามหาเพลิงอัคคีอันดับหนึ่งจากที่ไหน ความยากยิ่งกว่าระดับ 10 ขึ้นไป
“ใช่แล้ว วิบากกรรมในครั้งนี้ กุญแจสำคัญอยู่ที่เพลิงนพเก้ามอดนภา”
“ยากเกินไปแล้ว ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเพลิงอัคคีอันดับหนึ่งอยู่ที่ไหน”
“เรื่องนี้น่ะหรือ ข้าเคยคำนวนดู เขากับเจ้าเคยพบกันผ่านๆ คำทำนายบอกว่าสุดท้ายเจ้าจะหาเพลิงอัคคีเจออย่างแน่นอน”
เดินสวนกัน นางไปมาตั้งหลายที่ ไปคลาดกันที่ไหน
“หากมีวาสนาต่อกัน ก็จะต้องได้เจอกันอย่างแน่นอน” ผู้เฒ่าเห็นว่าหลิวหลีครุ่นคิดวนไปวนมา จึงพูดพลางหัวเราะ
“มีวาสนาต่อกันหรือ ก็ใช่ ถ้าเช่นนั้นผู้อาวุโส ตอนนี้ข้าควรทำอะไร” หลิวหลีถามอย่างสงสัย
“ตอนนี้เจ้าไปยังแนวหน้าได้ ถึงตอนนี้เจ้าจะยังเอาชนะดาวหมาป่าสวรรค์ไม่ได้ แต่ก็สามารถเขย่าขวัญโลกมารได้” ผู้เฒ่ากล่าว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะไปแนวหน้าก่อน ท่านผู้อาวุโส ข้าน้อยขอตัว” หลิวหลีพยักหน้า นางยินดีจะมีส่วนร่วม
“วางใจเถอะ หลิวหลี เมื่อดาวหงส์มีพลังบำเพ็ญเพียรพร้อม เขาย่อมไปหาเจ้าแน่นอน”
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสมาก” หลิวหลีพูดจบ ก็พยักหน้าแล้วจากไป
……………………….

แม่ครัวยอดเซียน

แม่ครัวยอดเซียน

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน! นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน! หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต! เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!! เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า… นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ? แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!

Options

not work with dark mode
Reset