แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 196 ยาแรงของหลิวหลี

“ศิษย์พี่ ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องในสำนักเราเท่าไหร่ ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสท่านนี้เป็นผู้อาวุโสฝั่งไหนของข้าหรือ ศิษย์พี่ช่วยไขข้อสงสัยให้ศิษย์น้องหน่อยได้หรือไม่” หลิวหลีถามพลางมองใบหน้าที่ซีดเผือดของชางหยาง
“อะไรนะ เขาบอกว่าเขามีศักดิ์เป็นผู้อาวุโสของเจ้าหรือ?” ไม่มีสมองหรืออย่างไร ไปเอาความกล้าจากที่ไหนมา
“ใช่ แถมยังบอกว่าบ้านข้าอบรมสั่งสอนไม่ดี เฮ้อ ไม่รู้ว่าหากอาจารย์ได้ยินเข้าจะคิดเช่นไร แล้วไหนจะยังท่านตาและท่านพ่อท่านแม่จะละอายใจต่อบรรพชนของเราหรือไม่” หลิวหลีถอนหายใจยาว
“หึหึ ไม่รู้ว่าคนจำนวนเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ที่ภูมิใจนักที่มีลูกหลาน มีศิษย์เช่นเจ้า” สีหน้าของเทียนเย่าไม่สู้ดีนัก ส่วนชางหยางที่อยู่ข้างๆตัวสั่นเทิ้ม
“ว่าแต่ข้าก็ไม่เป็นไรหรอก แต่กระทั่งบ้านสกุลฮัวก็ไม่เว้น คนข้างข้าเป็นถึงลูกหลานสกุลฮัว เฮ้อ ได้ยินมาว่าผู้นำสกุลฮัวเป็นพวกให้ท้ายลูกหลานตัวเอง ไม่รู้ว่าหากตำหนิลูกหลานพวกเขาขนาดนี้จะไปโวยวายที่สำนักเมฆาคล้อยหรือไม่” หลิวหลีพูดแล้วชี้ฮัวจิงเฟยที่ทำหน้าละห้อยเพราะที่บ้านขาดการอบรมอยู่ข้างๆ
“เจ้า เจ้าพูดเช่นนั้นหรือ” เทียนเย่ารู้สึกโมโหเพราะศิษย์น้องผู้โง่เขลาของเขาทำให้เขาโมโหจนแทบบ้าก่อนที่เผ่ามารจะบุกเข้ามาเสียอีก
“เฮ้อ ท่านลุงใหญ่ของข้าไม่ได้หลับไม่ได้นอนเพราะยุ่งกับการทำสงคราม  ถึงแม้จะไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับเขา แต่การไม่มีเวลาได้บำเพ็ญฝึกฝนนั้นก็มีผลต่อเขาไม่น้อย ท่านถึงขนาดกล้าเรียกท่านลุงใหญ่ของข้าให้เสียเวลามาที่นี่อีก อีกอย่างคุณชายฮัวข้างๆนี้คือคนที่เคยผ่านการสู้รบมาก่อน คิดไม่ถึงว่าจะมาโดนคนด่า ตอนที่พวกเขาอยู่แนวหน้าเพื่อปกป้องแนวหลัง แต่กลับมีคนที่เป็นตัวถ่วงเช่นนี้ ช่างน่าเศร้าใจนัก” หลิวหลีทาบอกตนเองราวเศร้าใจหนักหนา เทียนเย่าโมโหจนหน้าตึง
“อีกอย่าง นักปรุงยาระดับ 7 เก่งมากเลยหรือ อยู่กับคนอื่นแล้วจะปรุงยาไม่ได้หรือ ปรุงยาไม่สำเร็จเป็นความผิดของคนอื่น ศึกสงครามกำลังจะประชิดอยู่แล้ว แต่กลับมีตัวถ่วงเช่นนี้ ศิษย์พี่เทียนเย่าอย่าปล่อยให้ออกมาจากสำนัก มาทำร้ายสหายที่แนวหน้าเลย” ประโยคสุดท้ายหลิวหลีพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แนวหลังที่เป็นตัวถ่วงเช่นนี้ จะทำให้ทุกคนต้องตายกันหมด
“ศิษย์น้อง เป็นความผิดของศิษย์พี่เอง” เทียนเย่ารู้สึกละอายแก่ใจอย่างมาก
“ศิษย์พี่ ท่านไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด ข้าเองก็รู้ดีว่าท่านเป็นคนเช่นไร ไม่ใช่ความผิดของท่าน ผู้อาวุโสชางหยางท่านนี้ ห้ามยั่วโทสะนักปรุงยามิเช่นนั้นชีวิตจะไม่ปลอดภัย ท่านไปเอาความกล้ามาจากไหนถึงกล้าพูดเช่นนี้” และพลังทั้งหมดในร่างหลิวหลีถูกปลดปล่อยออกมา เทียนเย่าที่อยู่ข้างๆยังได้รับผลกระทบเล็กน้อย ศิษย์น้องเขาในตอนนี้ดูลึกลับยิ่งกว่าอาจารย์ลุงเสียอีก
ชางหยางที่อยู่ภายใต้พลังอำนาจของผู้บำเพ็ญช่วงมหายานตัวสั่นเป็นลูกนก เข่าที่ทรุดลงสัมผัสลงพื้นรู้สึกเจ็บปวดไม่น้อย
“เอาเถอะ จิงเฟย พานักปรุงยาผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ไปชมสนามรบเสียหน่อย ศิษย์พี่ เรียกนักปรุงยาทุกคนออกมา ยาที่ปรุงจะเสียก็ปล่อยให้เสียไป พาพวกเขาไปดูที่แนวหน้ากันเสียหน่อย จะได้รู้ถึงความลำบากบ้าง นึกว่าตัวเองมาเป็นเถ้าแก่พักร้อนอยู่ที่นี่หรือไง” หลิวหลีพูดประโยคสุดท้ายออกมาด้วยความดุดัน
“ขอรับ” ทั้งสองคนขานรับคำสั่งของหลิวหลีอย่างไม่รู้ตัว
ขณะที่ทหารทั้งสองฝ่ายกำลังปะทะกัน ฮัวจิงเฟยก็พาชางหยางที่ตัวสั่นเป็นลูกนกขึ้นมาบนกำแพงเมือง
“จิงเฟย เจ้ามาที่นี่ทำไม แถมยังพาอาจารย์ชางมาด้วย ที่นี่เป็นที่เที่ยวหรือ รีบพาอาจารย์ชางกลับไปเลย” เมื่อหลงจิ่งอู๋เห็นฮัวจิงเฟยพาชางหยางมา ก็ตกใจ ทำไมถึงพานักปรุงยาที่เป็นทรัพยากรล้ำค่าเช่นนี้มาที่นี่ เล่นตลกอะไรกัน
“ท่านอาหลง อย่าว่าข้าเลย ข้าแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น ตัวการไม่ใช่ข้า” ฮัวจิงเฟยรีบบอกว่าตัวเองแค่ทำตามคำสั่งคนอื่นเท่านั้น
หลงจิ่งอู๋อยากจะพูดต่อ ก็เห็นเทียนเย่าพานักปรุงยาที่ใบหน้าบูดเบี้ยวกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา
“อาจารย์เทียนเย่า ทำไมพวกท่านถึงมาที่นี่กันหมด” หลงจิ่งอู๋ปวดหัว ทำไมถึงได้พานักปรุงยาที่ไม่มีสมอง ปรุงเป็นแต่ยา มาเป็นภาระที่นี่ แล้วก็เห็นหลานสาวของเขาที่เพิ่งแยกกับเขาได้ไม่นานเดินมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แนวหลังของเขาเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
“ข้าเป็นคนเรียกพวกเขามาเอง ท่านที่อยู่ตรงนั้น เดี๋ยวค่อยจ้องข้า มองไปตรงนั้นก่อน” หลิวหลีชี้นิ้ว
และเมื่อ นักปรุงยาที่หยิ่งทะนงตนพวกนั้นมองตามทิศทางที่หลิวหลีชี้แล้ว ก็เห็นภาพการนองเลือดที่โหดร้าย ทั้งผู้บำเพ็ญเพียรธรรมถูกผู้บำเพ็ญเพียรมารสังหาร และคราบเลือดของผู้บำเพ็ญเพียรมารที่โดนสังหารเปรอะเปื้อนบนใบหน้าของผู้บำเพ็ญเพียรธรรม
“พอได้แล้ว หลงหลิวหลี เจ้าให้พวกเรามาที่นี่เพื่ออะไรกัน” นักปรุงยาคนหนึ่งทนไม่ไหว จนต้องตะโกนใส่หลิวหลี
“มองไม่เห็นหรือ ผู้บำเพ็ญเพียรสายเต๋ากับผู้บำเพ็ญเพียรด้านร่างกายที่อยู่ตรงหน้าเรากำลังพยายามปกป้องแนวหลังและทุกคน นักปรุงยาที่ไม่ได้ความแย่างพวกเจ้า นอกจากปรุงยาก็เป็นตัวไร้ประโยชน์ ยังจะกล้าบ่นนั่นนี่ จงมองดูนักบำเพ็ญเพียรคนอื่นที่อยู่แนวหน้าบ้าง พวกเจ้ายังจะกล้าบ่นอีกหรือ” แววตาหลิวหลีฉายแววหงุดหงิด เมื่อกวาดตามองกลุ่มนักปรุงยาตรงหน้าที่มีหลากหลายอารมณ์ ทั้งโมโห ละอายใจ ไม่สนใจและรับไม่ได้
“หึ ผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มนี้ก็สมควรที่จะต้องปกป้องนักปรุงยาอย่างพวกเรา ก็สมควรแล้ว พวกเขาสู้สุดใจก็เป็นเรื่องสมควร หลงหลิวหลี เจ้าเองก็เป็นนักปรุงยายังกล้าพูดเช่นนี้อีก” มีนักปรุงยาตอกกลับหลิวหลี
“ฮ่าฮ่า การปกป้องนักปรุงยาเป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว เจ้ามองแววตาที่ผู้บำเพ็ญกลุ่มนั้นมองเจ้า อีกอย่างข้าจำเป็นต้องให้คนมาปกป้องข้าตั้งแต่เมื่อไหร่” หลิวหลีพูดจบ ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่แนวหน้าก็หันมองนักปรุงยากลุ่มนี้ด้วยแววตาโมโหและเหลือเชื่อ จากนั้นเมื่อหลิวหลียื่นมือออกไป แม่ทัพของเผ่ามารก็สลายกลายเป็นผุยผงทันที ทุกคนที่มองอยู่ถึงกับเหงื่อตก
“หึ พวกนักปรุงยาอย่างเจ้า ก็เป็นเหมือนอย่างที่ท่านหลงกล่าว นอกจากปรุงยาก็ทำอะไรกันไม่เป็น คุณสมบัติร่างกายก็ย่ำแย่ยิ่งกว่าผู้บำเพ็ญที่อยู่ในช่วงพื้นฐาน ร่างกายอ่อนแอ แต่กลับหยิ่งยโส ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะคิดว่าตัวเองปรุงยาได้ ข้ายอมบาดเจ็บจนตาย ก็ไม่ขอร้องนักปรุงยาที่จิตใจสกปรกอย่างพวกเจ้า” บางคนพูดขึ้นด้วยความโมโห
“นั่นสิ หากว่าไม่มีใครมาปกป้องพวกเจ้า กะแค่วิบากเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์เพียงครั้งเดียวพวกเจ้าก็รับไม่ได้ด้วยซ้ำ หากปรุงยาไม่ได้ พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าตัวเองเป็นนักปรุงยาในระดับนี้”
พูดจนนักปรุงยากลุ่มนั้นใบหน้าซีดเผือด ไม่กล้าที่จะเถียงกลับอีก พวกเขาไม่มีพลังพอจะรับวิบากเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์จริงๆ หากปรุงยาอยู่แล้วต้องรับวิบากเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ คงจะโดนฟ้าผ่าจนกลายเป็นเถ้าถ่านแน่ เกียรติยศของพวกเขาได้มาเพราะการปกป้องจากผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ โดยเฉพาะตอนนี้สงครามครั้งใหญ่เริ่มต้นขึ้น มีคนบาดเจ็บล้มตาย จำเป็นต้องใช้ยาศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น พฤติกรรมของพวกเขาแย่เกินไปจริงๆ
“น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า พวกเจ้าคิดว่าหากผู้บำเพ็ญมารยึดที่นี่ได้ แล้วจะไวีวิตคนไร้ประโยชน์ทำอะไรไม่เป็นแถมไม่รู้เรื่องราวอะไรอย่างพวกเจ้า เช่นดังบรรพชนของพวกเขาหรือ พวกเขาจะเลี้ยงพวกเจ้าเยี่ยงทาส กลายเป็นทาสปรุงยาที่ปรุงยาให้พวกเขาโดยเฉพาะ พวกเจ้าคิดว่าชีวิตแบบนี้ไม่เลวใช่ไหม” หลิวหลีพูดสะกิดนักปรุงยากลุ่มนี้ครั้งสุดท้าย
เมื่อทุกคนนึกภาพตัวเองใช้ชีวิตเช่นนั้น ก็รู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็น
“ศิษย์พี่เทียนเย่า พาคนกลุ่มนี้กลับไปเถอะ แต่ผู้อาวุโสชางหยาง ท่านส่งกลับเขาสำนักไปเถอะ แล้วก็นำเรื่องนี้แจ้งให้กับอาจารย์อา เจ้าสำนักทราบตามความเป็นจริง แล้วให้อาจารย์อาเจ้าสำนักเป็นคนจัดการเขาแล้วกัน” เมื่อหลิวหลีบรรลุเป้าหมายแล้ว ก็ให้เทียนเย่าพานักปรุงยากลุ่มนี้ที่โดนนางสั่งสอนให้กลับไปพิจารณาดูดีๆ
“ได้ ศิษย์พี่จะกลับไปรายงานเจ้าสำนักตามความเป็นจริง” เทียนเย่ามองชางหยางที่ไม่ได้สติ ขายหน้าสำนักเมฆาคล้อยจริงๆ
“นังหนู วันนี้เจ้ามาไม้ไหน” หลงจิ่งอู๋ไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลของหลิวหลีเท่าไหร่
“ไม่ได้มาไม้ไหน ท่านลุง ทุกคนต้องมีใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จึงจะรับมือกับศัตรูได้ หากแตกแยกกันจะรบชนะได้อย่างไร” หลิวหลีบอกจุดประสงค์ของตัวเอง“
“นั่นสิ ผู้อาวุโส ผู้นำสกุลหลง ท่านพูดถูกแล้ว มีแค่ความสามัคคีเท่านั้น พวกเราถึงจะได้รับชัยชนะ แต่หากแตกแยกกันแล้วไม่ว่าวันใดวันหนึ่งก็ต้องพ่ายแพ้” มีคนพูดเตือนหลงจิ่งอู๋ ทำให้รู้สึกว่าหลิวหลีพูดจามีเหตุผล
“เฮ้อ นักปรุงยากลุ่มนี้เหลวไหลจริงๆ แต่เพราะเป็นแบบนี้มานานเลยแก้ยากยาแรงครั้งนี้ของหลิวหลีน่าจะได้ผลอยู่บ้าง” หลงจิ่งอู๋จะไม่รู้ปัญหาที่สะสมมานานเช่นนี้ได้อย่างไร เพียงแต่ไม่รู้จะเริ่มจัดการอย่างไรก็เท่านั้น ได้หลานสาวมาจัดการเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะได้ผลก็ได้
“ข้าก็หวังเช่นนั้น ทุกคนต่างหวังให้วิบากกรรมครั้งนี้สิ้นสุดลงโดยเร็ว” หลิวหลีไม่ชอบสงคราม สงครามหมายถึงความตาย นางไม่ชอบ
“จริงด้วย ทั้งๆที่อยู่ในช่วงสงบศึก แต่กลับมีสงครามครั้งใหญ่เกิดขึ้น หวังว่าสงครามในครั้งนี้จะจบลงโดยเร็ว” หลงจิ่งอู๋ก็ไม่ชอบเช่นกัน
“นังหนู หลังจากนี้เจ้ามีแผนอย่างไร” หลงจิ่งอู๋ถามหลิวหลี ก่อนหน้านี้นางไปดูนักปรุงยา ณ จุดปรุงยา นึกไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
“มีแผนอยู่ แต่ทว่ายังขาดวัตถุดิบ ข้าต้องลองดู หากว่าสำเร็จจะเป็นอาวุธสังหารที่ร้ายแรง เพียงแต่ของพวกนั้นผิดธรรมชาติ สร้างหายนะ หลังจบสงครามข้าจะทำลายมันทิ้ง” หลิวหลีพูดความคิดที่เลอะเลือนของตัวเอง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นังหนู เจ้าตัดสินใจเองแล้วกัน” หลงจิ่งอู๋รู้ว่าหลิวหลีเป็นคนทำอะไรมีขอบเขต จึงไม่ซักไซ้นางนัก
“ขอบคุณท่านลุงมาก ข้ายังมีอีกความคิดหนึ่ง เพียงแต่ว่าจำเป็นต้องให้นักปรุงยาพวกนั้นช่วย” หลิวหลีนึกถึงเสียงเตาปรุงยาระเบิด ก็มีแผนที่อยากทดลองในใจ
“พอเถอะ วันนี้เจ้าก็อย่าไปทารุณพวกนักปรุงยาพวกนั้นนักเลย ปล่อยให้พวกเขาได้พักหายใจบ้าง” หลงจิ่งอู๋นึกถึงกลุ่มคนที่โดนหลานสาวของเขาสั่งสอน ตอนมาหยิ่งผยองราวนกยูง ตอนกลับเหมือนไก่ชนที่พ่ายแพ้ อยู่ๆเขาก็รู้สึกสงสารนักปรุงยากลุ่มนั้นขึ้นมาน้อยๆ
 ………………….

แม่ครัวยอดเซียน

แม่ครัวยอดเซียน

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน! นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน! หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต! เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!! เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า… นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ? แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!

Options

not work with dark mode
Reset