แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 20 ต่อจากนั้น

เรื่องบุญวาสนามันเทียบกันไม่ได้จริงๆ หากไม่ถูกศัตรูอาฆาต ปีศาจฆ่า ก็อาจจะโมโหตายไปเลยก็ได้
เทียนเย่ากลับมาถึงสำนักโอสถแล้วก็ถอดทอนใจอย่างหดหู่ มนุษย์ไม่สามารถเทียบกันได้ หลังเขาบรรลุช่วงพื้นฐานแล้วถึงจะสามารถปรุงยาคุณภาพชั้นเลิศออกมาได้ แต่ศิษย์น้องกลับทำได้ก่อนบรรลุช่วงพื้นฐานเสียอีก ภาพนิมิตตอนบรรลุช่วงพื้นฐานของเขาคือหม้อสามขาลายมังกรนพเก้าสีม่วง อนาคตในการปรุงยายาวไกลเกินคาดเดาได้ แต่ของศิษย์น้องกลับเป็นเทพมังกรเก้าสี ตอนนี้เขาพอจะฝืนเก็บเพลิงอัคคีม่วงได้แต่ก็จะใช้ก็ไม่ได้ แต่ศิษย์น้องกลับพิชิตเพลิงบุปผาเหมันต์ได้ ช่างเทียบกันไม่ติดเลยสักนิด และยังมีคนอื่นๆรวมไปถึงเทียนเซียนจื่อที่คิดเช่นนี้
หลังจากที่ทุกคนจากไป เสวียนหั่วและหลิวหลีต่างมองหน้ากันไปมา มีทั้งผู้ชมเหตุการณ์อย่างยอดฝีมือเสวียนหลิง เด็กปลอมๆอย่างหนานกงเวิ่นเทียนและเอ๋าเลี่ยที่ดูดพลังอยู่ในมิติอสูรเทพ ความรู้สึกที่ได้บรรลุอีกครั้งมันช่างดียิ่งนัก
 “ศิษย์ข้า เจ้าลองปรุงยาโดยใช้เพลิงบุปผาเหมันต์ดูสิ” เสวียนหั่วพูดขึ้น มีเพลิงอัคคีเหมือนกันแต่กลับแตกต่างกันมากมายขนาดนี้ ช่างน่าอึดอัดจริงๆ
 “เจ้าค่ะ” หลิวหลีพยักหน้าอย่างจนใจ อาจารย์จะจริงจังอะไรขนาดนี้
หลิวหลีนำหม้อยาที่ตัวเองใช้ทำอาหารออกมา แล้วจัดการวัตถุดิบอย่างเป็นระเบียบ การเคลื่อนไหวไหลรื่นราวสายน้ำทำให้ดูเพลินตา หลังจากจัดการพืชศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดแล้วหลิวหลีก็หายใจเข้าลึก เปลวไฟสีฟ้าปรากฏขึ้นบนฝ่ามือข้างขวาของนาง เปลวไฟนั้นคือเพลิงบุปผาเหมันต์
เริ่มจากนำเพลิงบุปผาเหมันต์ใส่เข้าไปในหม้อปรุงยา ในหม้อปรุงยามีความรู้สึกที่หนาวเหน็บแต่กลับมีอุณหภูมิที่สูงมาก เพราะพิชิตเพลิงบุปผาเหมันต์แล้ว ทำให้หลิวหลีสามารถเปลี่ยนอุณหภูมิหม้อได้ตามใจปรารถนา หลิวหลีรู้สึกว่าใช้คล่องมือกว่าไฟปกติเสียอีก พอถึงตอนท้ายหลิวหลีก็เคลือบยาด้วยน้ำตาลอีกหนึ่งชั้น แล้วความคิดก็บรรเจิดใช้ประสาทเซียนแกะสลักรูปดอกบัวบนเม็ดยา และเพราะเป็นเพลิงบุปผาเหมันต์ ยาทั้งหมดจึงเป็นสีฟ้าอมขาวและมีไอเย็น รูปดอกบัวบนเม็ดยาราวมีชีวิต มีทั้งหมด 6 เม็ด ล้วนเป็นยาคุณภาพชั้นเลิศ
เสวียนหั่วและเสวียนหลิงจ้องยาพูดอะไรไม่ออก คุณภาพชั้นเลิศ กลิ่นหอมเหมือนส้มหวาน เพราะทำมาจากเพลิงบุปผาเหมันต์จึงทำให้มีกลิ่นอายของเพลิงบุปผาเหมันต์แฝงอยู่เล็กน้อย เพียงแต่ว่าดอกบัวบนเม็ดยานี่มันคืออะไรกัน ดอกบัวแต่ละดอกที่ราวกับมีชีวิต
 “หลิวหลี ล้วนเป็นยาคุณภาพชั้นเลิศทั้งสิ้น ทั้งยังมีกลิ่นอายของเพลิงบุปผาเหมันต์ด้วยซึ่งมีผลดีต่อผู้บำเพ็ญธาตุวารีหรือเหมันต์ เพียงแต่เจ้าบอกอาจารย์ได้หรือไม่ ว่ารูปดอกบัวนี่มันอะไรกัน?” เสวียนหั่วถามพลางชี้รูปดอกบัวบนเม็ดยา
 “เอ่อ อาจารย์เจ้าคะ มันก็มีเอกลักษณ์มากมิใช่หรือ” ดวงตาของหลิวหลีวูบไหวน้อยๆ คงไม่ต้องถึงขนาดบอกอาจารย์หรอกว่านางเสียสมาธิเพราะคิดเรื่องเพลิงบุปผาเหมันต์จนจิตใจฟุ้งซ่าน พอรู้สึกตัวอีกทีดอกบัวก็ถูกแกะสลักลงไปแล้ว สายตาที่กำลังเหม่อลอยอยู่ก็พลันเหลือบไปเห็นหนานกงเวิ่นเทียนกำลังจะกลืนยาเข้าไป
 “เสี่ยวเทียน ยาจะกินมั่วซั่วไม่ได้ เจ้าไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า ต้องกินยาปี้กู่ตัน (ยาทิพย์) ชั้นเลิศเท่านั้นสิ เสี่ยวเทียนเจ้าหิวแล้วหรือ อดทนหน่อยนะเดี๋ยวพี่จะไปทำของอร่อยมาให้” ถึงแม้หลิวหลีจะรู้ว่าหนานกงเวิ่นเทียนไม่ได้เป็นเด็กแบบที่นางเห็น แต่นางก็อดที่จะปฏิบัติต่อเขาเหมือนเด็กคนหนึ่งไม่ได้
หลิวหลีหยิบอุปกรณ์ทำครัวของตัวเองออกมา จัดแจงส่วนประกอบอย่างเป็นระเบียบ หลิวหลีกำลังจะทำข้าวอบหม้อดินซึ่งตอนนี้น่าจะเรียกว่าข้าวอบหม้อสามขามากกว่า เนื่องจากทำจากหม้อปรุงยา โดยนำเตาปรุงยามาทำความสะอาดแล้วใส่เพลิงบุปผาเหมันต์เข้าไป  เสวียนหั่วและเสวียนหลิงที่ดูอยู่กระตุกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ดีมาก ใช้เตาปรุงยาเอามาทำกับข้าว ไฟก็ยังใช้เพลิงบุปผาเหมันต์อีกด้วย ศิษย์รักช่างอู้ฟู่เสียจริง
หลิวหลีใส่ข้าวศักดิ์สิทธิ์ลงไปรอจนเกือบสุกแล้วจึงใส่ผักกับเนื้อสัตว์ลงไป แล้วก็ตอกไข่ไก่ฟ้าลงไปด้วย จากนั้นก็ต้มต่อ ช่วงใกล้จะเปิดหม้อก็ใส่เครื่องปรุงลงไป หลังจากใกล้จะนำออกจากเตา กลิ่นก็หอมลอยมาเตะจมูก เสวียนหลิงรู้สึกว่าต่อมรับรสของตัวเองถูกปลุกให้ตื่นในรอบหลายพันปีเลยทีเดียว
หลิวหลีตักข้าวให้อาจารย์อาและอาจารย์คนละถ้วย จากนั้นก็ตักให้หนานกงเวิ่นเทียนอีกหนึ่งถ้วย ก่อนจะเทเศษที่เหลือใส่ชามใบใหญ่ เริ่มลงมือกินได้ ไม่รู้ว่าเพราะบรรลุช่วงพื้นฐานแล้วหรือเปล่า นางถึงรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้หิวมากมายเหมือนแต่ก่อนแล้ว เสวียนหั่วกับเสวียนหลิงกินกันไปคนละคำ กลิ่นข้าวหอมโชย ที่สำคัญคือพลังเซียนที่อัดแน่นนี้ หรือจะเป็นผลพลอยได้จากการใช้เพลิงอัคคีหุงข้าว
อย่างที่ทราบกันดีว่าตั้งแต่เริ่มบำเพ็ญก็ต้องกินให้น้อยลง เพื่อป้องกันสิ่งปนเปื้อนสะสมในร่างกายมากเกินไป ซึ่งจะส่งผลต่อการบรรลุช่วง คนส่วนใหญ่จะเลือกกินยาปี้กู่ตัน (ยาทิพย์) แทน จุดประสงค์เพื่อให้ร่างกายบริสุทธิ์เพื่อกลมกลืนกับธรรมชาติ อย่างหลิวหลีแม่ครัวที่สามารถทำอาหารโดยมีพลังเซียนหลงเหลืออยู่ในอาหารจะเรียกว่าแม่ครัวศักดิ์สิทธิ์ ปัจจุบันแม่ครัวประเภทนี้มีจำนวนน้อยนิดในโลกบำเพ็ญเพียร เพราะการฝึกฝนของแม่ครัวศักดิ์สิทธิ์ค่อนข้างยากลำบาก มีน้อยคนนักที่จะสามารถยืนหยัดอยู่ในหนทางเส้นนี้
หนานกงเวิ่นเทียนรู้สึกว่าตัวเองถูกหลิวหลีเลี้ยงจนกระเพาะแน่นไปแล้ว จะให้กินยาปี้กู่ตัน (ยาทิพย์) อีกก็คงไม่ได้ ทำไมแต่ก่อนเขาถึงไม่สังเกตเห็นว่าตัวเองอ่อนแอขนาดนี้
หลิวหลีจัดการกับอาหารจานใหญ่อย่างรวดเร็ว และเมื่ออาหารคำสุดท้ายเข้าปาก หลิวหลีก็รู้สึกอิ่ม
 “หลิวหลี ปริมาณอาหารของเจ้านี่มัน” เสวียนหลิงไม่รู้ว่าจะใช้คำอะไรมาอธิบายดี
 “อาจารย์อา หลังจากข้าผูกพันธสัญญากับอาเลี่ย ความอยากอาหารของข้าก็เพิ่มมากขึ้น แรงก็เพิ่มมากขึ้นด้วย” หลิวหลีครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ตั้งแต่นางฝึกบำเพ็ญ ‘เคล็ดวิชามังกรนพเก้า’ ตอนนี้นางน่าจะมีพละกำลังถึง 600 กิโลกรัมได้ ฝึกรอบหน้าต้องใช้ทรัพยากรมากกว่านี้ซึ่งต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นอีกแน่
 “เจ้ามีพละกำลังประมาณเท่าใด” เสวียนหลิงเดาว่าน่าจะประมาณ 400 กิโลกรัม
 “น่าจะประมาณ 600 กิโลกรัมแล้วเจ้าค่ะ” หลิวหลีพูดอย่างไม่แน่ใจ
600 กิโลกรัม นี่ไม่ใช่สาวหื่นแต่เป็นสาวคิงคองแล้วล่ะ หนานกงเวิ่นเทียนคิด แต่เสวียนหั่วกลับคิดว่าหากหลิวหลีบำเพ็ญเพียรร่ายกาย นางจะต้องกลายเป็นคนที่สุดยอดมากแน่ เสวียนหลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเปิดปากเอ่ย “เจ้ายินดีที่จะฝึกกระบี่กับข้าหรือไม่?”
เสวียนหั่วรู้สึกว่านี่คือของดีที่ตกลงมาจากฟากฟ้า ลูกศิษย์จะต้องตอบตกลงเป็นแน่ หนานกงเวิ่นเทียนกลับรู้สึกว่านางผู้นี้ช่างโชคดียิ่งนัก
 “ขอโทษด้วยเจ้าค่ะอาจารย์อา ข้าไม่ได้สนใจกระบี่มากนัก” หลิวหลีตอบตามความจริง นางไม่ได้มีความสนใจด้านนี้เลย ถ้าพูดกันตามจริงนางน่าจะชอบมีดมากกว่า เพราะเป็นแม่ครัวจึงคลุกคลีกับการใช้มีดมากกว่า
 “ข้าพอจะมีพื้นฐานเรื่องอาวุธอื่นอยู่บ้าง พื้นฐานไม่ค่อยแตกต่างกันมาก ข้าสามารถสอนเจ้าได้” เสวียนหลิงครุ่นคิดสักพักแล้วพูดขึ้น
 “ถ้าอย่างนั้นคงต้องรบกวนอาจารย์ด้วย” หลิวหลีไตร่ตรองดูแล้วเรียนรู้ไว้มากเท่าไรยิ่งดี เรียนไว้ก็ไม่เสียหายอะไร
ดังนั้นกิจวัตรประจำวันของหลิวหลีจึงต้องเหวี่ยงดาบไม้ไผ่หมื่นครั้งใต้ม่านน้ำตกทุกวัน และเสาะหาอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับฝึกบทถัดไปอยู่ไม่ขาด ส่วนยาเม็ดที่แกะสลักรูปดอกบัวก็ขายได้ราคาดีสมกับเป็นยาคุณภาพชั้นเลิศ เกรงว่าถึงแม้จะไม่กิน แค่เก็บไว้ดูก็คุ้มค่าแล้ว
เอ๋าเลี่ยได้สติกลับมา แต่กลับถูกหลิวหลีปฏิเสธไม่ยอมพบหน้า แต่ถึงอย่างไรก็สามารถสื่อสารกันทางสัมผัสเซียนได้ ไม่จำเป็นต้องเจอหน้ากันหรอก งูสี่ขาดูแปลกพิลึกจนนางรับไม่ได้ แต่เอ๋าเลี่ยอยากจะกินอะไร หลิวหลีก็ทำให้จนทำเอาเอ๋าเลี่ยไม่เข้าใจว่าทำไมหลิวหลีถึงให้ความร่วมมือดีขนาดนี้
ทุกๆวันผ่านไปอย่างปกติราบรื่นดี จนกระทั่ง….
“โลกภูตสวรรค์เป็นแดนลี้ลับที่คนบรรลุช่วงพื้นฐานหรือช่วงพลังที่สูงกว่าเท่านั้นที่จะเข้าไปได้” หลิวหลียากจะมีเวลาว่าง แต่นางได้ยินข่าวเรื่องนี้จากโจวอีผู้เป็นสหายของนาง
 “ใช่ หลิวหลี เจ้าจะไปไหม ถ้าจะไปเราจะจัดกลุ่มไปกัน” โจวอีถามขึ้น
 “ใช่ หลิวหลี พวกพี่ชายพี่สาวของข้าก็จะไปด้วยนะ” โจวมั่วกล่าว
 “ข้ากลับไปถามอาจารย์ของข้าก่อนนะ” หลิวหลีรู้สึกว่านางควรจะไป แต่ไม่จำเป็นต้องไป
………………………………………….

แม่ครัวยอดเซียน

แม่ครัวยอดเซียน

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน! นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน! หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต! เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!! เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า… นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ? แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!

Options

not work with dark mode
Reset