แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 201 ยังมีทางรอด

“หลงหลิวหลี บางครั้งข้าก็แอบคิดว่าทำไมต้องมีเจ้าปรากฏตัวขึ้นมา ทั้งๆที่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าเสียหน่อย” เยี่ยซิงหวงมองหลิวหลีที่หัวเสียออกนอกหน้านอกตา เขาจึงพูดพลางหัวเราะเสียงดัง
“อะไรที่เรียกว่าไม่เกี่ยวกับข้า เจ้าอย่าทำลายการมีตัวตนของข้าสิ ข้ากับเสี่ยวเทียนเป็นคู่สร้างคู่สม ไหนเลยจะแยกจากกันเพียงเพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำของเจ้า ไม่เคยได้ยินหรือว่าบาปยิ่งกว่าทำลายวัด 10 แห่ง คือการทำลายคู่รักหนึ่งคู่” หลิวหลีก็พูดอย่างไม่เกรงใจ ถึงแม้จะรู้ว่าตอนนี้ตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฝ่ายตรงข้าม แต่ก็ยังคงพูดออกไป
“ฮ่าฮ่า หลงหลิวหลี เจ้ารู้หรือไม่ตำแหน่งที่พวกเจ้ายืนอยู่ตอนนี้คือที่ไหน” เยี่ยซิงหวงระเบิดเสียงหัวเราะ แต่ก่อนเขารู้สึกว่าหลงหลิวหลีน่าสนใจ คิดไม่ถึงว่าเมื่อลองมองอีกที นางจะน่าสนใจมากกว่าเดิมเสียอีก
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร?” นางแค่มาหาหินมารรัตติกาลเท่านั้น จะไปรู้อะไรมากมายขนาดนั้นได้อย่างไรกัน
“ที่นี่เป็นสถานที่ที่คนด้านหลังเจ้าอยู่พิทักษ์ศิลามารเมื่อในอดีตชาติ” เยี่ยซิงหวงพูดขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วจึงเห็นใบหน้าหนานกงเวิ่นเทียนที่ยืนอยู่ด้านหลังไร้สี
“ไม่ใช่หินมารรัตติกาลหรือ ทำไมถึงมีผู้พิทักษ์ศิลามารได้” หลิวหลีขมวดคิ้ว สนใจแค่ชื่อผู้พิทักษ์ศิลามารที่ท้ายประโยค
“ผู้ที่ถือครองหินมารรัตติกาลจะเรียกว่าผู้พิทักษ์ศิลามาร ค่ายกลปีศาจกลืนนภาไม่จำเป็นต้องใช้ผู้พิทักษ์ศิลามารมากมายขนาดนั้น มีเพียงแห่งเดียวก็พอแล้ว” เยี่ยซิงหวงเหลือบมองหนานกงเวิ่นเทียนพร้อมกับตอบคำถามของหลิวหลี
“ดังนั้น ห้าจุดที่เหลือเป็นแค่ตัวหลอก จุดนี้ถึงจะเป็นของจริง แล้วคนที่เหมาะจะมาเป็นผู้พิทักษ์ศิลามารจริงๆก็คือเสี่ยวเทียน ข้าเข้าใจถูกต้องไหม” หลิวหลีมองตาเยี่ยซิงหวงแล้วพูดขึ้น
“ใช่แล้ว โฉมงามของข้าเหมาะจะมาเป็นผู้พิทักษ์ศิลามารที่สุด ธาตุหยินล้วนแถมยังเป็นร่างวิญญาณเหมันต์ พลังหยินบวกพลังเหมันต์ ช่างเหมาะแก่การเป็นผู้พิทักษ์ศิลามารยิ่งนัก ตำแหน่งที่พวกเจ้ายืนอยู่ตอนนี้ก็คือศูนย์กลางของค่ายกล ฮ่าฮ่า โฉมงามของข้า ข้าต้องขอบคุณเจ้า ขอบคุณที่เจ้ายังจำข้าได้ ช่วยข้าได้มากจริงๆ” เมื่อเสียงของเยี่ยซิงหวงสิ้นสุดลง ก็มีเงาดำคืบคลานเข้ามาจากด้านล่าง หนานกงเวิ่นเทียนอยากจะผลักหลิวหลีออกไป แต่หลิวหลีไม่ยินยอม
“เด็กโง่ ทำไมถึงไม่ยอมออกไป” หนานกงเวิ่นเทียนมองหลิวหลีที่ทำหน้าเศร้าสร้อยราวเขาจะทิ้งนาง ก็ยิ่งอบอุ่นใจแต่มากกว่าความอบอุ่นใจที่มีก็คือความเสียใจ
“ถ้าข้าไปแล้ว เจ้าจะทำอย่างไร ระเบิดตัวเองหรือ ไม่ล่ะ ข้าเป็นผู้หญิงที่อายุร้อยกว่าปีแล้วยังไม่ได้แต่งงาน นอกจากเจ้าแล้ว ใครจะเอาข้าอีก” หลิวหลีโมโหเล็กน้อย
“โถ ช่างเป็นคู่รักที่น่าอิจฉาจริงๆ ไม่รู้ว่าชาตินี้แม่โฉมงามได้รับความช่วยเหลือจากยอดฝีมือท่านไหน ถึงได้อำพรางคุณสมบัติร่างกายไว้ได้อย่างมิดชิด” เยี่ยซิงหวงมองหนานกงเวิ่นเทียนที่อำพรางคุณสมบัติร่างกายได้อย่างมิดชิดอย่างสงสัย หากไม่ใช่เพราะว่าเขาฝึกเคล็ดวิชาต้องห้าม ปลุกความจำในชาติที่แล้วช่วงหนึ่งกลับมา จะรู้ได้อย่างไรว่าคนที่เหมาะสมที่จะเป็นผู้พิทักษ์ศิลามารที่สุดเป็นผู้บำเพ็ญเพียรฝ่ายธรรมะ
“เรื่องนี้คงไม่จำเป็นต้องลำบากเจ้าต้องเป็นห่วง” หลิวหลีหรี่ตาลง กล้ารังแกเสี่ยวเทียนของนาง นางจะถลกหนังแล่เนื้อ หรือเผาให้ไม่เหลือซากดี
“หึหึ หลงหลิวหลีเจ้ารู้หรือไม่ แม่โฉมงามที่เจ้าคอยปกป้องอยู่ด้านหลังเป็นคนสวยแค่ไหน อีกทั้งยังเป็นคนสวยที่มีรสชาติดีเยี่ยม ตอนนั้นมีเสน่ห์เย้ายวนไม่น้อย” เยี่ยซิงหวงเลียริมฝีปากเบาๆเหมือนย้อนคิดถึงเรื่องในชาติก่อน
“จริงหรือ ดูเจ้าจะเข้าใจแจ่มแจ้งเชียวนะ” หลงหลิวหลีหรี่ตาลง ไม่ทันเห็นว่าหนานกงเวิ่นเทียนที่อยู่ข้างหลังปากสั่นระริก
“ใช่สิ เคยลองชิมมาก่อนน่ะ” เยี่ยซิงหวงตอบหลิวหลี ส่งสายตาเจ้าเล่ห์ให้หนานกงเวิ่นเทียน
หลิวหลีปล่อยพลังออกมาทั่วร่างกาย เพลิงอัคคีทั้ง 8 ชนิดปรากฏขึ้นมาพร้อมกัน แต่กลับถูกหยุดไว้
“เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้ เสี่ยวเทียนเป็นอย่างไร เจ้ารู้จักเขามากกว่าข้าหรือ ชาติที่แล้ว ชาติที่แล้วข้ายังเป็นสาวน้อยร่าเริงอยู่เลย หากเจ้ารู้เรื่องในอดีตชาติ คาดว่าก็คงจะรู้ว่าเจ้าไม่ได้ตายดีแน่” หลิวหลีโมโห หากว่าเป็นอย่างที่เขาพูด  หลิวหลีอยากจะทำลายปากของเขาไปเลยจริงๆ
“เฮ้อ นึกไม่ถึงเลยว่า หลงหลิวหลีจะเป็นคนอารมณ์ร้อนเช่นนี้” เยี่ยซิงหวงนึกไม่ถึงว่าหลิวหลีจะอารมณ์ร้อนขนาดนี้
“ข้าก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว” หลิวหลีแสดงออกว่าตัวเองก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว
“ฮ่าฮ่า คงไม่ใช่เพราะว่าโดนข้าแทงใจดำหรอกใช่ไหม” เยี่ยซิงหวงยั่วโมโหหลิวหลีต่อ
“แทงใจดำ ข้ามีจุดอ่อนตรงไหนให้เจ้าทำร้ายมากมายหรือ จะบอกอะไรให้เจ้ารู้ไว้ อย่าให้ข้าออกไปได้ รอข้าออกไป ข้าจะจัดการเจ้าให้ไม่เหลือแม้แต่ซากเลย” หลิวหลีกัดฟันพูด
“ฮ่าฮ่า ดูแลคนรักของเจ้าไว้ให้ดีๆเถอะ ที่นี่เป็นที่ที่พลังหยินหนาแน่นที่สุด อีกทั้งยังมีค่ายกลเพิ่มพลังหยินอีก ฮ่าฮ่า เชื่อว่าอีกไม่นาน คนรักของเจ้าก็จะกลายเป็นแม่ทัพคนสำคัญของเผ่ามาร” เยี่ยซิงหวงพูดพลางหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“เสี่ยวเทียน” หลิวหลีเพิ่งจะสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ หนานกงเวิ่นเทียนกำลังตกอยู่ในภวังค์ ดูดซึมพลังหยินอยู่ น่าตายจริงๆ
หลิวหลีทาบมือลงบนหลังหนานกงเวิ่นเทียน พลังเซียนอัคคีไหลเข้าร่างหนานกงเวิ่นเทียน เพื่อช่วยเขาสลายพลังหยินในร่างกาย และขณะเดียวกันก็ใช้เพลิงอัคคีสร้างเกราะป้องกันให้หนานกงเวิ่นเทียนอีกหนึ่งชั้น เพื่อป้องกันไม่ให้พลังหยินเข้าสู่ร่างกายของหนานกงเวิ่นเทียนได้
“หลิวหลี นังหนู” หนานกงเวิ่นเทียนลืมตาขึ้นและเห็นสายตาที่เป็นห่วงของหลิวหลี
“เสี่ยวเทียน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นบ้างไหม” หลิวหลีมองหนานกงเวิ่นเทียนอย่างร้อนใจ
“นังหนู เจ้าไม่รังเกียจข้าหรือ” หนานกงเวิ่นเทียนรู้อยู่แล้วว่าหลิวหลีจะตอบว่าอะไร แต่เขาก็ยังถามอยู่ดี
“จะรังเกียจเจ้าเรื่องอะไร?” หัวข้อสนทนาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
“นังหนู สิ่งที่เยี่ยซิงหวงพูดคือเรื่องจริง ข้าในชาติที่แล้วไม่ได้เป็นคนดีอะไร ไม่คู่ควรให้เจ้าทำเช่นนี้” หนานกงเวิ่นเทียนพูดพลางส่ายหัว
“เรื่องชาติก่อนใครจะไปรู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือปลอม ถึงจะเป็นเรื่องจริงแล้วอย่างไร เกี่ยวอะไรกับเจ้าในตอนนี้ด้วยหรือ ข้ารู้เพียงเจ้าในตอนนี้ เจ้าได้ช่วยเหลือโลกเอาไว้รู้ตัวไหม ผู้หญิงที่อายุมากขนาดนี้แต่ยังไม่ได้แต่งงานอย่างข้ามีคนต้องการ คิดดูสิ เจ้าสร้างความสุขให้กับมวลมนุษย์ เจ้ารู้ตัวบ้างไหม ห้ามคิดมากเด็ดขาด” เมื่อคิดแล้ว หลิวหลีจึงหอมแก้มหนานกงเวิ่นเทียนเบาๆ ทำไมแต่ก่อนไม่เคยรู้เลยว่าเสี่ยวเทียนเป็นคนที่คิดมากเช่นนี้ ชาติที่แล้วกับชาตินี้มันคนละเรื่องกัน ไม่อย่างนั้นทำไมเวลาคนเราตายไปต้องดื่มน้ำเพื่อให้ลืมเรื่องราวในชาติที่แล้วด้วยล่ะ หากว่าคนเราสามารถจำได้ทุกภพทุกชาติคงจะต้องใช้ชีวิตเหนื่อยกันน่าดู
“นังหนู พวกเราแต่งงานกันตอนนี้เลยดีไหม” อยากจะมีเจ้าข้างกายเพื่อให้แน่ใจว่านี่ไม่ใช่เพียงฝัน
“เรื่องนี้ รอพวกเราออกไปก่อน เสี่ยวเทียน เราจะจัดงานแต่งที่ยิ่งใหญ่ ให้ทุกคนมาร่วมแสดงความยินดีกับเรา” หลิวหลีกล่าว แล้วสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อ
“นังหนู ตอนนี้ไม่ได้หรือ?” หนานกงเวิ่นเทียนมองด้วยแววตาหม่นหมอง
“เพื่อสรรพชีวิตบนโลก ไม่ได้หรอก เสี่ยวเทียนเจ้าก็รู้ พวกเราจำเป็นต้องมีร่างบริสุทธิ์ รอจนวิบากกรรมครั้งนี้สิ้นสุดลงก่อนดีไหม” หลิวหลีกัดฟัน มือทั้งสองข้างไร้ซึ่งความรู้สึก ขาทั้งสองข้างเหมือนถูกแช่แข็ง
หนานกงเวิ่นเทียนได้สติ นี่เขาเป็นอะไรไป เพราะคำพูดของเยี่ยซิงหวงไม่กี่คำ ก็ทำให้เขาไขว้เขวหรือ เหอะๆ นี่ใช่ตัวเขาหรืออย่างไร
“นังหนู เจ้าหนู พวกเจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม” เอ๋าเลี่ยรีบตามมา จื่อฉีกับอิงเสวี่ยตามมาข้างหลัง
“ท่านอาเอ๋าเลี่ย ท่านช่วยหลีกหน่อยได้ไหม” จื่อฉีผลักเอ๋าเลี่ยออก ภาพด้านหน้าที่มองเห็นกลายเป็นสีม่วง จากนั้นกลายเป็นสีม่วงเข้ม แล้วจื่อฉีก็อ่านสถานการณ์ตรงหน้าออกทันที
“คนผู้นี้โหดเหี้ยมมาก ท่านอาเอ๋าเลี่ย ข้างหน้า 10 เมตรฝั่งขวาด้านบน พี่อิงเสวี่ย ข้างหน้า 20 เมตรเฉียงไปทางด้านหลัง ท่านอาเอ๋าเลี่ย พี่อิงเสวี่ย พวกเราจะต้องร่วมมือกัน” จื่อฉีกล่าว
“เรียกข้าว่าอา เรียกอิงเสวี่ยว่าพี่ นี่เป็นระดับอาวุโสแบบไหนกันแน่” ถึงเอ๋าเลี่ยจะไม่พอใจอย่างไรก็ต้องเชื่อฟัง ทำอย่างไรได้ ครั้งนี้นังหนูเหลวไหลกว่าเดิม
ทั้งสองคนนับถึงสามแล้วลงมือพร้อมกัน แนวเขตต้องห้ามกับค่ายกลถูกทำลายลงพร้อมกัน และเพลิงอัคคีบนตัวของหนานกงเวิ่นเทียนก็สลายออกไป
“นังหนู พวกเรามาแล้ว” หนานกงเวิ่นเทียนเพิ่งสังเกตเห็นความผิดปกติของหลิวหลี
“นังหนู นังหนู” หนานกงเวิ่นเทียนตะโกนอย่างร้อนใจ
“ข้าไม่เป็นไร แค่ง่วงเท่านั้นเอง เสี่ยวเทียน ข้าฝากเจ้าช่วยดูแลเพลิงอัคคีทั้ง 8 ดวง รวมถึงจื่อฉีกับเอ๋าเลี่ยด้วยได้ไหม ข้าง่วงแล้ว ไม่สามารถดูแลพวกเขาได้” หลิวหลีปลดปล่อยเพลิงอัคคีทั้ง 8 ออกจากร่าง แต่ไม่เหลือเรี่ยวแรงจะยกเลิกพันธสัญญา
เพลิงอัคคีทั้ง 8 หมุนรอบตัวหลิวหลีอย่างอาวรณ์
“เสี่ยวเทียน ข้าง่วงมาก ข้าขอนอนสักประเดี๋ยว” หลิวหลีไร้เรี่ยแรงจะพูดจริงๆ ก่อนจะปิดเปลือกตาลง
“นังหนู เกิดอะไรขึ้น” หนานกงเวิ่นเทียนกอดหลิวหลี รู้สึกว่าตัวของอีกฝ่ายเย็นเฉียบยิ่งกว่าเขา นังหนูเป็นร่างวิญญาณไฟ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้
“นังหนูใช้เพลิงอัคคีคุ้มครองเจ้า เพื่อไม่ให้พลังหยินเข้าสู่ร่างกายเจ้า แถมยังกลัวว่าจะป้องกันไม่ได้ทั้งหมด จึงดูดพลังหยินเข้าร่างตนเอง ตอนนี้นางขาดพลังหยาง จึงไม่แตกต่างอะไรจากเจ้าหญิงนิทรา” เอ๋าเลี่ยมองนังหนูที่ทำอะไรไม่คิด เฮ้อ
“นังหนู ตื่น นังหนู ตื่น” เมื่อสิ้นเสียงหนานกงเวิ่นเทียน ผมของเขาก็กลายเป็นสีขาวโพลนทันที
“เวิ่นเทียน ผมเจ้า” เฟิ่งอิงเสวี่ยคิดไม่ถึงว่าคนที่ทุกข์ระทมใจจนถึงที่สุด ผมจะกลายเป็นสีขาว
หนานกงเวิ่นเทียนลองดูดพลังหยินในตัวหลิวหลี แต่ไม่อาจดูดออกมาได้เลยแม้แต่น้อย
“แย่ล่ะ ดาวมังกรอับแสง ทำไมถึงไม่ส่องแสงแล้วล่ะ ดาวหงส์ก็ไม่สู้ดีนัก เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทั้งๆที่ใกล้จะเข้าสู่ตำแหน่งของดาวเหนือแล้วแท้ๆ ไม่สิ ถึงดาวมังกรจะอ่อนแสงลงไป แต่ก็ยังมีแสงรำไร แสดงว่ายังมีหวังอยู่” ผู้เฒ่าในหอพยากรณ์มองท้องฟ้าแล้วพูดขึ้น
“ข้ามาช้าไปหรือ” หงหลินลงมาจากฟ้า หัวเสีย ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้
“หงหลิน เจ้ามาได้อย่างไร” เอ๋าเลี่ยมองหงหลิน ใบหน้าเศร้าสร้อย โดยเฉพาะใบหน้านั้นละม้ายกับหลิวหลีอีกต่างหาก
“พวกเจ้าเศร้าอะไรกัน ท่านพี่ยังมีโอกาสรอด” หงหลินร้อนใจจนกระทืบเท้า
“เจ้าบอกว่าหลิวหลีมีทางรอดหรือ” แววตาของหนานกงเวิ่นเทียนกลับมามีประกายอีกครั้ง
“ใช่แล้ว” หงหลินพยักหน้า
“นังหนูหงหลิน เรื่องนี้จะล้อเล่นไม่ได้ หลิวหลีไม่ได้แตกต่างอะไรจากเจ้าหญิงนิทรา แม้แต่ข้าก็ยังไม่มีวิธีเลย” เอ๋าเลี่ยรู้สึกไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
“เฮ้อ ข้าไม่มีวิธี แต่ว่ามีคนมี ไม่ใช่สิ เป็นเพลิงอัคคี เขาเป็นคนให้ข้ามาที่นี่” หงหลินร้อนรนจนไม่รู้ว่าตนเองพูดอะไรออกไป
จนไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไร
“ใคร?”
“เพลิงนพเก้ามอดนภา เป็นเพลิงอัคคีอันดับหนึ่งในการจัดอันดับเพลิงอัคคี มีเพียงแต่เขาที่ช่วยท่านพี่ได้”

แม่ครัวยอดเซียน

แม่ครัวยอดเซียน

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน! นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน! หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต! เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!! เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า… นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ? แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!

Options

not work with dark mode
Reset