แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 203 การหลอมรวมครั้งสุดท้าย

เพราะได้หนานกงเวิ่นเทียน เอ๋าเลี่ย จื่อฉี เฟิ่งอิงเสวี่ยมาช่วย ทำให้สถานการณ์บริเวณชายแดนกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง อีกทั้งความโหดร้ายของหนานกงเวิ่นเทียน ทำให้เผ่ามารถึงกับอกสั่นขวัญหาย ไม่ว่าเยี่ยซิงหวงจะยั่วโมโหหนานกงเวิ่นเทียนอย่างไร หนานกงเวิ่นเทียนก็ทำเป็นไม่ได้ยิน นิ่งเฉยราวท่อนไม้ จนโลกมารมอบฉายาให้ว่า ‘มารน้ำแข็ง’ โลกมารไม่รู้จะทำอย่างไร คนใจมารเพิ่งจะหายไป ก็มีมารน้ำแข็งที่โหดร้ายโผล่ออกมาแทน หนานกงเวิ่นเทียนได้เข้ามาอยู่ในสามอันดับแรกของการจัดอันดับผู้โหดร้าย และถึงแม้หลิวหลีจะหายตัวไปนานหลายปี แต่ตำแหน่งผู้โหดร้ายอันดับหนึ่งของนางก็ยังไม่มีใครสามารถสั่นคลอนได้
“50 ปีแล้ว” เอ๋าเลี่ยมองสนามรบที่ผ่านการรบราฆ่าฟันมาหลายครั้งหลายคราว จนกลายเป็นสีแดงฉาน ไม่รู้ว่าป่านนี้นังหนูจะเป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้พวกเขายังไม่สามารถสัมผัสถึงกันได้
“นั่นสิ ท่านพี่เอ๋าเลี่ย” ในสามปีมานี้ เอ๋าเลี่ยใช้สารพัดวิธี จนในที่สุดจื่อฉีก็ยอมเรียกเขาว่าพี่ ตอนนี้ความสามารถในการใช้เนตรกิเลนของเขาคล่องแคล่วมากขึ้น แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรสายธรรมที่สบตากับจื่อฉียังต้องขนลุก
“สัตว์เดรัจฉานสองตัวนั้น ข้าล่ะอยากจะฆ่าพวกมันจริงๆ” เพราะพันธสัญญาทำให้เฟิ่งอิงเสวี่ยได้รับผลกระทบจากอารมณ์ของหนานกงเวิ่นเทียนไม่น้อย จึงยิ่งเย็นชามากขึ้น
“ท่านพี่อิงเสวี่ย อดทนไว้ สัตว์เดรัจฉานสองตัวนั้นก่อเรื่องอะไรใหญ่โตไม่ได้หรอก” จื่อฉีกล่าวขณะใช้เนตรกิเลนมองอสูรร้ายทั้งสองตัว แล้วเหมือนจะเห็นร่องรอยของพลังชีวิตที่ถูกแผดเผาบนร่างกาย น่าจะอยู่เล่นกับพวกเขาไปได้อีก 30 ปี
“ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้น นั่นเป็นเพราะข้าใช้พันธสัญญาสัมผัสได้ว่าหัวใจของเวิ่นเทียนตอนนี้กำลังจะถูกปิดตายเป็นน้ำแข็ง เขาในตอนนี้ถ้าไม่ใช่เวลาออกรบ เขาเป็นแค่น้ำแข็งก้อนหนึ่ง” อิงเสวี่ยพูดพลางถอนหายใจ เมื่อมีสงครามเขาก็ออกไปรบ ยามสงบก็จะทอดสายตามองทิศที่ตั้งหมู่บ้านเพลิงอัคคี นางมองแผ่นหลังของเขาด้วยความรู้สึกละเหี่ยใจ
ในระหว่างนั้น บิดามารดาของหนานกงเวิ่นเทียนก็มาถึง เมื่อเห็นลูกชายของตนเองผมขาวโพลนก็รู้สึกเศร้าโศก แต่ไม่ว่าพวกเขาจะถามอะไร หนานกงเวิ่นเทียนก็ไม่ยอมตอบ ทันทีที่โลกมารเริ่มทำสงครามเขาถึงจะมีปฏิกริยา วิถีชีวิตที่โหดร้ายเช่นนี้ทำให้พ่อแม่ของเขาน้ำตาซึม แต่ก็ห้ามปรามตักเตือนอะไรไม่ได้
ฟากพ่อแม่ของหลิวหลีก็แวะมาเช่นกัน ตามมาด้วยน้องสาวของนางกับน้องเขย เมื่อจ้านโม่หลีมาถึงก็ปรี่เข้าไปตบหน้าหนานกงเวิ่นเทียน หยางจิงหู่ตกใจจนรีบดึงตัวนางออกไป ผลปรากฏว่าแม่พริกขี้หนูโมโหจนสบถออกมา หนานกงเวิ่นเทียนจึงเริ่มมีปฏิกิริยาขึ้นมาเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นก็นิ่งไป จ้านโม่หลีที่มองอยู่ถึงกับถอนหายใจ
“พี่เขย ข้าไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมท่านพี่ถึงกลายเป็นแบบนี้ ข้ารู้แค่ว่าต้องเกี่ยวกับพี่สาวข้าแน่นอน เอ๋าเลี่ยกับจื่อฉีก็อยู่ พวกเขาเป็นคู่พันธสัญญาของท่านพี่ จะแยกจากนางได้อย่างไร ส่วนท่านกับท่านพี่ยิ่งไม่มีวันแยกจากกัน ท่านบอกว่าท่านพี่นางเจอเพลิงอัคคีอันดับหนึ่ง แต่ที่มันมีอะไรมากกว่านั้นใช่หรือไม่ โคมวิญญาณของนางยังไม่ดับแปลว่ายังไม่มีอันตรายร้ายแรง ดังนั้นพี่เขย ท่านต้องรักษาตัวให้ดี ท่านพี่นางย่อมไม่อยากให้ท่านเป็นแบบนี้ ไม่เช่นนั้นนางคงต้องเสียใจมากแน่” โม่หลีพูดจบก็เดินจากไปพร้อมกับหยางจิงหู่ ช่วยไม่ได้โม่หลีตั้งครรภ์ สภาพแวดล้อมเช่นนี้ไม่เหมาะกับคนท้อง ส่วนหลงซินเยว่กับจ้านเฟิงหลิงเลือกที่จะอยู่ต่อพร้อมกับหนานกงชางอวี้กับฮัวเชียนอวี่ นอกจากให้ความช่วยเหลือแล้ว มากไปกว่านั้นก็เพื่อดูแลลูกของตนเอง
ณ หมู่บ้านเพลิงอัคคี ผู้บำเพ็ญเพียรที่มาบำเพ็ญเพียรต่างรู้สึกร้อนกว่าเดิม เหตุเพราะประสิทธิภาพของหยกเหมันต์น้อยลงไปทุกที
มองดูลาวาที่เดือดขึ้นเรื่อยๆ เพลิงนพเก้ามอดนภานอกจากชื่นชม ก็มีแต่ชื่นชมเท่านั้น
นังหนูใช้เวลา 50 ปี ผนึกพลังหยินในร่างกายให้กลายเป็นไข่มุกพลังหยิน แล้วเก็บไว้ในมิติ จากนั้นก็เริ่มฝึกฝนเคล็ดวิชา เพื่อฟื้นฟูอย่างช้าๆ เมื่อเห็นว่าเพลิงอัคคีเรียงลำดับจากสีฟ้าน้ำแข็ง สีม่วง สีเขียว สีทอง สีฟ้าคราม สีดำ สีเทา สีเหลืองทยอยเข้าสู่ร่างของหลิวหลีตามลำดับ เพลิงนพเก้ามอดนภาก็รู้ว่าหลิวหลีคิดที่จะทำอะไร จริงๆเลย ไม่ให้โอกาสได้เจอหน้าทักทายกันก่อนเลย
หลิวหลีผนึกพลังหยินให้กลายเป็นก้อนพลังแล้วขับออกจากร่างกาย จากนั้นจึงเริ่มฟื้นฟูร่างกายตนเอง ปราณก่อนกำเนิดของหลิวหลีกลายร่างเป็นมังกรตัวน้อยเช่นเดิม หลิวหลีเริ่มฝึกเคล็ดวิชาคัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณใหม่อีกครั้ง ปราณก่อนกำเนิดของนางหม่นหมองไร้แสง ปลดปล่อยพลังบริสุทธิ์ไม่ได้ หลิวหลีจึงเริ่มบำเพ็ญเพียรตั้งแต่ฝึกฝนลมปราณ ไปจนถึงช่วงพื้นฐาน เรียกเพลิงบุปผาเหมันต์กลับมา สร้างเส้นลมปราณธาตุเหมันต์ใหม่อีกครั้ง และเมื่อถึงช่วงบำเพ็ญศีล เพลิงอัสนีครามกลับมาเป็นเส้นลมปราณธาตุอัสนี จนมาถึงช่วงมหายาน เพลิงดวงใจพสุธาก็กลับมา พลังบำเพ็ญเพียรของหลิวหลีจึงถือว่าฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิม แต่หลิวหลียังไม่หยุดเพียงเท่านี้ นางยังคงเดินหน้าดูดพลังต่อไป ศิลาเกสรลอยออกมาจากร่างของหลิวหลีอย่างไม่รู้ตัว มันดูดลาวาโดยรอบ และปราณก่อนกำเนิดสีม่วงของหลิวหลีไม่ได้กลับเป็นคนตัวเล็กๆแล้ว แต่ยังเป็นมังกรตัวน้อยบำเพ็ญเพียรต่อไป แสง 8 สีของเพลิงอัคคีทำให้มังกรตัวน้อยดูโดดเด่นอย่างยิ่ง
“อาจิ่ว ทำไมแขนซ้ายของเจ้าหายไป” หงหลินพบว่าแขนของสหายหายไป
“เฮ้อ พี่สาวของเจ้าเป็นนังมารสมชื่อจริงๆ แม้แต่พลังหยินภายในร่างกายก็เอามาใช้ประโยชน์ได้ นางกลั่นพลังหยินให้กลายเป็นไข่มุกหยิน คาดว่าคงเอาให้หนานกงเวิ่นเทียนใช้ เรื่องนี้ยังไม่เท่าไร ตอนนี้เริ่มดูดซึมร่างเดิมของข้า อีกทั้งยังได้ศิลาเกสรที่เป็นล้ำค่ามาช่วยอีก ช่างเป็นเด็กที่สวรรค์เมตตาและเอ็นดูมากจริงๆ” เพลิงนพเก้ามอดนภาไม่ได้เศร้าเสียใจเลยแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกชื่นชมมากกว่า
หงหลินพูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองแขนซ้ายของเพลิงนพเก้ามอดนภาค่อยๆสลายไปตามด้วยแขนขวา และขา จนไปถึงร่างกายจนสุดท้ายเหลือเพียงส่วนหัวเท่านั้น
“อาจิ่ว เจ้าเหมือนผีเลย” เหลือแค่หัวลอยไปลอยมา
“ฮ่าฮ่า หงหลินเจ้าควรจะดีใจแทนข้า ในที่สุดวันที่ข้ารอคอยก็มาถึง จะได้บรรลุเป็นเซียนเสียที เจ้าก็รู้ว่าข้ารอคอยวันนี้มานานแค่ไหร” เพลิงนพเก้ามอดนภาที่เหลือแต่หัวดีใจเป็นอย่างมาก
“รู้สิ ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่ให้ข้าติดตามนางไปตั้งแต่ตอนแรก อาจิ่วสายตาของเจ้าก็ยังคงแหลมคมเช่นเดิมไม่เปลี่ยนเลย” หงหลินไม่อยากจากลา เป็นเพื่อนกันมาตั้งหลายปี
หลิวหลีเข้าสู่ช่วงสุดท้าย เพลิงนพเก้ามอดนภายังไม่ทันได้บอกลาหงหลิน ส่วนหัวของเขาก็กลายเป็นเปลวเพลิงเข้าสู่ภายในลาวา หงหลินมองดูลาวาแล้วก็ปาดน้ำตา ลาก่อนนะ สหาย
หลิวหลีกับเพลิงนพเก้ามอดนภาเข้าสู่การหลอมรวมขั้นสุดท้าย ศิลาเกสรก็เข้าไปในร่างกายของหลิวหลีเช่นกัน เพลิงอัคคี 8 ดวงในร่างนางต้อนรับการมาถึงของพี่ใหญ่ของพวกเขาอย่างดีใจ ต่างพากันสลายตัวเป็นเปลวเพลิงเพื่อต้อนรับเพลิงนพเก้ามอดนภา ทำให้ร่างกายของหลิวหลีสว่างเหมือนเรืองแสง ชวนมองอย่างมาก และเกล็ดมังกรสีแดงชิ้นสุดท้ายบนตัวของมังกรตัวน้อยในร่างของหลิวหลีปรากฏขึ้นอย่างเลือนลาง มังกรตัวน้อยคายพลังเซียนบริสุทธิ์ออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลือนาง
ณ บริเวณชายแดน อยู่ๆเยี่ยซิงหวงก็บุกเข้าโจมตีอย่างบ้าคลั่ง เวลายืดเยื้อนานเกินไปแล้ว เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี ความรู้สึกนี้ไม่เกิดขึ้นเพราะหนานกงเวิ่นเทียน แต่เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากหลงหลีที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนด้วยซ้ำไป ความรู้สึกนี้กินเวลาอยู่สักพัก ดังนั้นครั้งนี้เขาโจมตีรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม
“ฮ่าฮ่า ดาวมังกรเปล่งแสง เข้าสู่ตำแหน่งดาวเหนือแล้ว ในที่สุดสงครามใหญ่ครั้งนี้ก็ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว ดางหงส์ ข้าจะช่วยเจ้าอีกแรงแล้วกัน หอพยากรณ์ฟังคำสั่ง ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตวนมู่เหยาเป็นผู้ดูแลหอพยากรณ์คนใหม่ กลายเป็นผู้หยั่งรู้ฟ้าดินคนใหม่” ผู้เฒ่าพูดจบ ก็สลายตัวกลายเป็นแสงพุ่งตัวไปยังบริเวณชายแดน
“ท่านปู่ทวด” ตวนมู่เหยาเศร้าใจเล็กน้อย สุดท้ายตนเองก็ต้องมารับตำแหน่งผู้รู้ฟ้าดินอยู่ดีหรือ
“น้อมส่งท่านผู้เฒ่า” ทุกคนในหอพยากรณ์คุกเข่าทำความเคารพ พวกเขาเข้าใจดีว่าท่านผู้เฒ่าจะไปทำอะไร
ในสนามรบ หนานกงเวิ่นเทียนที่โดนเยี่ยซิงหวงโจมตีอย่างบ้าคลั่งจนทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ จู่ๆก็มีลำแสงสายหนึ่งปรากฏขึ้นบนฟ้า
“ดาวหงส์ ข้ามาช่วยเจ้าอีกแรง” เมื่อแสงนั้นพูดจบก็ไหลเข้าร่างหนานกงเวิ่นเทียน ทันใดนั้นเองพลังบำเพ็ญเพียรของหนานกงเวิ่นเทียนก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดูน่ากลัวขึ้นอย่างยิ่ง
“ท่านผู้เฒ่า ท่านทำเช่นนี้ทำไม” หนานกงเวิ่นเทียนพูดประโยคที่ยาวที่สุดที่พูดมาในรอบหลายปีนี้
“ถือว่าข้าชดใช้เรื่องที่ให้เจ้าดูหินย้อนเวลาก็แล้วกัน ของทุกสิ่งทุกอย่างต่างก็มีราคา ข้าก็เช่นกัน” เมื่อผู้เฒ่าตอบเสร็จ เขาก็สลายหายไปในทันที
ได้พลังของท่านผู้เฒ่ามาช่วย ทำให้หนานกงเวิ่นเทียนไม่ได้รู้สึกอิดโรยขนาดนั้นแล้ว เพียงแต่การโจมตีของเยี่ยซิงหวงกับเพลิงหยินหยางก็ยังคงรุนแรงอยู่ ส่วนเหล่าอสูรเทพที่กำลังต่อกรกับอสูรร้าย เมื่อนึกถึงคำพูดของเพลิงนพเก้ามอดนภา ทั้งสามก็ทำได้เพียงอดทนไว้ ไม่เช่นนั้นไม่รู้ว่าอสูรร้ายพวกนี้โดนฉีกเป็นชิ้นๆไปกี่รอบก็ไม่รู้แล้ว
ส่วนฟากหลิวหลีมาถึงช่วงสุดท้าย เพลิงนพเก้ามอดนภาดิ่งเข้าเส้นชีพจร บนท้องฟ้าก็ปรากฏภาพเทพเจ้ามังกรขนาดใหญ่ มีเกล็ดมังกร 9 สี ทำให้สัมผัสได้ถึงความเก่าแก่ และทรงพลัง ทุกคนในสนามรบต่างพากันตกตะลึง เทพมังกรนพเก้านี้มาจากที่ใด
จนหลงหลิวหลีดูดซึมเพลิงนพเก้ามอดนภาหมดแล้ว เพลิงนพเก้ามอดนภากลายเป็นเส้นชีพจรธาตุไฟของหลิวหลี เมื่อนางเก็บเพลิงอัคคีครบทุกประเภทแล้ว นางก็ดูลึกลับกว่าที่เคย ราวกับสามารถใช้ของทุกอย่างที่อยู่บนโลกนี้ได้ ทันใดนั้นหลิวหลีก็ลืมตาขึ้น และหายตัวไปจากหมู่บ้านเหยียนหั่ว ทุกคนต่างก็พบว่าอุณหภูมิที่หมู่บ้านเพลิงอัคคีลดลง
อยู่ๆมังกรนพเก้ายักษ์ก็ส่งเสียงร้องออกมา ทั้งสองฝ่ายที่สู้กันนัวเนียก็ผละออกจากกัน เยี่ยซิงหวงอาศัยจังหวะที่หนานกงเวิ่นเทียนกำลังดูมังกรยักษ์ กำลังจะลอบโจมตีอีกฝ่าย แต่เมื่อกำลังจะพุ่งตัวเข้าไป ก็ถูกพลังหนึ่งโจมตีเข้ามา ลอยกระเด็นไปไกล จนได้รับบาดเจ็บ
“ข้ากลับมาแล้ว” หลิวหลีโอบเอวของหนานกงเวิ่นเทียน และโจมตีเยี่ยซิงหวงให้ถอยห่างออกไป เทพมังกรนพเก้าไหลเข้าร่างนางราวเจอผู้เป็นนาย
“หลิวหลี นั่นหลงหลิวหลี นางกลับมาแล้ว ดีจริงๆ” ทุกคนรู้สึกเหมือนเจอทางสว่าง
“พลทหารมาร ยังจะสู้รบต่อหรือไม่?” หลิวหลีถามคำถามนอกเรื่องขึ้นมา
“หึ หลงหลิวหลี เจ้ากลับมาแล้วอย่างไร คิดว่าโลกมารกลัวเจ้าหรือ” เยี่ยซิงหวงพูดอย่างมั่นใจ
“ไม่แล้วล่ะ หลายปีมานี้พวกข้าถูกเยี่ยซิงหวงบงการ พวกเราไม่อยากจะทำสงครามด้วยซ้ำ โลกมารของเราเองก็เละเทะเพราะคนเลวผู้นี้ ทำให้เรากลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดไปด้วย” แม่ทัพมารผู้หนึ่งกล่าวขึ้น
เยี่ยซิงหวงตกใจ ทหารของเขาทำไมหลุดจากการควบคุมแล้วล่ะ

แม่ครัวยอดเซียน

แม่ครัวยอดเซียน

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน! นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน! หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต! เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!! เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า… นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ? แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!

Options

not work with dark mode
Reset