แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 205 วิธี

“แย่แล้ว แย่แล้ว หยาจื้อกับต้าเฟิ่งที่อยู่ข้างนอกอยู่ๆก็ระเบิดตัวเอง ด้านนอกมีคนบาดเจ็บล้มตายไม่น้อย อีกอย่างได้ยินมาว่ายังมีระเบิดอีก 3 จุดเช่นกัน พฤกษานานาพรรณตายเรียบ กระทั่งสิ่งมีชิวิตเมื่อสัมผัสก็จะตายเช่นกัน”
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้”
เยี่ยซิงหวงหมายถึงเรื่องนี้ เรื่องที่พวกเขาก่อเรื่องทั้ง 5 จุด
“ไป ออกไปดูกัน” หลิวหลีออกไปดูก่อน คนจำนวนไม่น้อยพบว่ามีแสงบารมีไหลเข้าในร่างหลิวหลี และหนานกงเวิ่นเทียน รวมไปถึงอสูรเทพทั้งสามตัวเช่นกัน พวกเขาต่างมั่นใจในการรับวิบากสวรรค์ที่กำลังจะมาถึงมากขึ้น คนอื่นๆมีแสงแห่งบารมีที่แตกต่างกันออกไป เพียงแต่ไม่มากเท่ามนุษย์ 2 คนกับอสูรเทพทั้งสามตรงหน้า
หลิวหลีมองดูพื้นที่มรณะกลางอากาศ พลางขมวดคิ้วมุ่น นางอดสาปแช่งอีกฝ่ายไม่ได้ ขนาดตายไปแล้วก็ยังจะสร้างความวุ่นวายได้อีก เมื่อมองดูรูปร่างของพื้นที่มรณะก็พบว่าถึงจะไม่ได้ใหญ่มาก แต่ก็ขยายตัวได้
หลิวหลีดูพวกนี้เสร็จ ก็ไปดูสามแห่งที่เหลือ หลังจากกลับมาก็นิ่งเงียบไม่พูดอะไร คนอื่นมองนางแล้วก็สับสน
หลิวหลีขังตัวเองไว้อยู่ในห้องหนึ่งเดือนเต็ม ๆ หลังจากหนึ่งเดือนจึงเปิดประตูออกมา
“จื่อฉี แจ้งผู้นำทั้งห้าสกุลให้มาที่นี่” หลิวหลีกล่าว
“นังหนู เจ้าจะทำอะไร?” เอ๋าเลี่ยรู้สึกได้ว่าหลิวหลีคิดจะทำการใหญ่ อีกทั้งเรื่องนี้ยังเป็นเรื่องที่สำคัญมากเสียด้วย
“ไม่ทำอะไร ทำเรื่องที่ถูกต้อง” หลิวหลีเองก็ไม่ค่อยอยากจะทำ แต่ความแน่วแน่ที่มีทำให้นางลงมือ
“นังหนู เจ้าไปเจออะไรเข้า?” หนานกงเวิ่นเทียนรู้สึกว่าหลิวหลีสามารถจัดการพื้นที่มรณะทั้ง 5 แห่งนั้นได้ แต่อาจจะต้องชดใช้อย่างหนักทีเดียว
“อืม รอให้ผู้นำสกุลทั้งห้ามาก่อน แล้วค่อยว่ากัน” หลิวหลีมองฟ้าราวครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“นังหนู เรียกพวกเรามามีเรื่องอะไร?” หลงเหวินเซวียนถาม เพราะช่วงนี้พื้นที่มรณะทั้ง 5 ทำให้พวกเขาหัวเสีย เมื่อครู่พวกเขาไปดูพื้นที่มรณะ มันขยายตัวออกมาจนมีขนาดเท่าฝ่ามือ และหากเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่นานนัก สถานที่ตรงนี้ก็จะกลายเป็นพื้นที่มรณะไปจริงๆ แต่ตอนนี้พวกเขากลับไร้ซึ่งหนทางแก้ไข
“ผู้นำสกุลทุกท่านคิดว่าพอจะมีทางแก้เรื่องพื้นที่มนณะหรือไม่?” หลิวหลีถามนอกเรื่อง
“ทางแก้ แม้แต่สาเหตุเรายังไม่รู้เลย แล้วจะรู้วิธีแก้ได้อย่างไรกัน” จ้านเฟิงอวี้ระอาใจ เดิมเขาออกจากฌานอย่างสบายใจและตั้งใจจะลงจากตำแหน่งผู้นำสกุลจ้าน แต่ผลคือต้องลากยาวมาจนตอนนี้ พูดถึงสาเหตุก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ น่าปวดหัวมากๆ
“ถ้าเช่นนั้นผู้นำสกุลทุกท่านคิดว่าควรทำอย่างไร?” หลิวหลีถามต่อ
“ไม่รู้ แต่หลิวหลี เจ้าเรียกพวกเรามา เจ้าคิดจะพูดอะไรกันแน่?” หลินต้าหมิงถาม เขารู้สึกเหมือนหลิวหลีรู้ว่าควรจะทำอย่างไร แต่ต้องละทิ้งอะไรหลายอย่าง
“พูดอะไรกัน ผู้นำสกุลทุกท่านได้นำป้ายหยกประจำสกุลมาด้วยหรือไม่?” หลิวหลีถอนหายใจ นางว่าแล้วสวรรค์คงจะทนเห็นนางมีของล้ำค่าไม่ได้
“ป้ายหยกประจำสกุลต้องเอามาอยู่แล้ว” หนานกงชางฉยงนำป้ายหยกออกมา ซึ่งเป็นป้ายหยกที่หนานกงเวิ่นเทียนคืนให้เขาตอนก่อนจะออกไปท่องโลกภายนอก
“ผู้นำสกุลทุกท่านโปรดนำป้ายหยกออกมา” หลิวหลีถอนหายใจแล้วพูดขึ้น หนานกงเวิ่นเทียนกับเอ๋าเลี่ยที่อยู่ข้างๆก็เข้าใจทันที คิดไม่ถึงว่านี่จะเป็นวิธีแก้ มิน่านังหนูถึงได้ลังเลนานขนาดนี้
ถึงผู้นำสกุลทั้งห้าจะงุนงงแต่ก็ทำตามแต่โดยดี พวกเขานำป้ายหยกออกมา
“ท่านผู้นำสกุลทั้งห้าคิดว่าพื้นที่มรณะคล้ายกับอะไร?” หลิวหลีถามต่อ
“คล้ายกับอะไร? พยัคฆ์ขาว” ฮัวเชียนหนิวกล่าว แล้วก็มองไปที่หยกในทันที พื้นที่มรณะแห่งหนึ่งเหมือนตัวพยัคฆ์ที่มีการขยายใหญ่
“หากพูดเช่นนั้น มีพื้นที่มรณะแห่งหนึ่งที่คล้ายกับกิเลนเป็นอย่างมาก” หลังจากจ้านเฟิงอวี้ได้ยินคำพูดของฮัวเชียนหนิว ก็นึกออกขึ้นมาในทันที
“มังกรเขียว”
“หงส์”
“เต่าดำ”
“นังหนู หรือว่าป้ายหยกประจำสกุลนี้จะสามารถช่วยฟื้นฟูพื้นที่มรณะได้” หลงเหวินเซวียนพูดอย่างมีความหวัง
“ใช่แล้วก็ไม่ใช่” หลิวหลีลูบทรวงอกของตนเอง
“นังหนู อย่ามัวรีรออยู่เลย รีบพูดเถอะ”
“เจ้าค่ะ ข้าจะเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้พวกท่านฟัง มีเด็กสาวอายุ 6 ขวบคนหนึ่ง อยู่มาวันหนึ่งมีเซียนมาเยือนที่บ้านนางจึงทำให้รู้ว่านางเป็นลูกเจ้าของบ้าน และมีแกนวิญญาณ จากนั้นจึงได้ไหว้ศาลบรรพชนสกุล ก่อนไปนางได้ไปกราบมารดาที่จากไปแล้วของนาง นางเก็บหยกลายมังกรชิ้นหนึ่งได้ที่นั่น นางเก็บมันเอาไว้เพราะนางชื่นชอบมังกรเหลือเกิน เด็กสาวบำเพ็ญเพียรจนเริ่มก้าวหน้าเล็กน้อย อาจารย์บอกกับนางว่าบิดามารดาของนางอาจไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริงของนาง นางจึงกลับไปยังโลกมนุษย์ ใช้สัมผัสทางสายโลหิตเพื่อทดสอบดูและได้พบว่านั่นไม่ใช่พ่อแม่ของนางจริงๆ ผลคือในระหว่างทางกลับมาก็ได้เจอท่านลุงที่ออกตามหานางและท่านแม่ของนาง จึงได้รู้สถานะที่แท้จริงของตนเอง แต่เด็กสาวผู้นั้นไม่ได้อยากจะกลับไป” หลิวหลีนิ่งเงียบ ทุกคนต่างพากันเงียบ และนี่คือเรื่องราวของหลิวหลี
“เด็กสาวออกไปท่องโลกภายนอก เก็บหินเวทมนตร์กลับมาได้ เก็บภูตวิญญาณธาตุทอง ธาตุไม้ ธาตุน้ำ ธาตุดินได้ครบสี่ธาตุ จึงสร้างสวนสมุนไพรส่วนตัว แต่กลับพบว่าตนเองก็ยังมีมิติขนาดเล็กสมบูรณ์ แถมนางยังพบว่าท่านแม่ของนางอยู่ด้านใน และยังมีลมหายใจอยู่” หลิวหลีเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“เมื่อพบว่าท่านแม่ยังมีลมหายใจ นางจึงตัดสินใจช่วยแม่ตนเอง แต่กลับได้ยินจากปากอาจารย์ว่ามีเพียงแต่ยาศักดิ์สิทธิ์ระดับ 8 อย่างยาคืนวิญญาณเท่านั้นที่จะสามารถช่วย แต่พืชหลักในการปรุงยานั้นมีอยู่แค่ในแดนลี้ลับในโลกที่ท่านแม่ของนางถือกำเนิดเท่านั้น นางจึงตัดสินใจกลับบ้าน เมื่อไปถึงก็พบว่าคนในครอบครัวของท่านแม่นางรักนางมาก นางจึงแย่งชิงตำแหน่งที่จะเข้าไปในแดนลี้ลับได้สำเร็จ และเด็กสาวได้มิติที่อยู่ในหยกอีกสามชิ้นมาครอบครองในการแข่งขันครั้งนั้น”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิวหลี หนานกงชางฉยงจับจมูกตัวเองเบาๆ เพราะตอนนั้นเขายังคิดไม่ได้ว่าจะให้ใครเป็นผู้สืบทอด จึงไม่ได้มอบหยกให้ใคร หากตอนนั้นเขามอบหยกให้เด็กสักคนในบ้านสกุลหนานกง สถานการณ์ก็คงจะแตกต่างออกไป
“เมื่อเข้าไปในแดนลี้ลับ เด็กสาวเจอพืชคืนวิญญาณ นางขอให้อาจารย์ช่วยปรุงยา จนกระทั่งนางกับชายที่รักได้หมั้นหมายกัน ชายผู้นั้นรักนางมาก เมื่อได้ยินว่านางอยากได้ป้ายหยกจึงมอบมันให้นาง และนับแต่นั้นเด็กสาวก็ได้ครอบครองหยกทั้ง 5 ชิ้น รวมมันเป็นมิติเดียวที่สมบูรณ์”
เมื่อฟังคำพูดของหลิวหลี หนานกงชางฉยงก็ส่งสายตามองหนานกงเวิ่นเทียน ยังไม่ทันได้แต่งงานก็มอบป้ายหยกประจำสกุลหนานกงให้คนอื่นแปลว่าที่เขาลังเลในตอนนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
“นังหนู ว่ามา ต้องทำอย่างไร” เมื่อหลงเหวินเซวียนฟังเสร็จก็เข้าใจ นั่นแปลว่าป้ายหยกประจำสกุลนั้นมีมิติขนาดเล็กอยู่ เมื่อเอามารวมกันก็จะกลายเป็นมิติที่สมบูรณ์ ถ้าเช่นนั้นจะต้องแยกมิติออกจากกันใหม่อีกครั้งหรือ
“พูดถึงตรงนี้ พวกท่านคงจะรู้แล้วว่าคนที่พูดถึงคือข้า ในหยกประจำสกุลทั้งห้ามีมิติอยู่ ข้ารู้เข้าโดยบังเอิญ แล้วก็ถูกบังคับบวกกับความโลภเล็กน้อยของตัวเอง จึงไปเก็บมิติที่อยู่ในป้ายหยกประจำสกุลของทุกสกุลมา ตอนนี้ทุกคนก็น่าจะมองรูปร่างกับทิศทางการขยายตัวของพื้นที่มรณะออก หากจะรับมือกับความตาย ก็ต้องใช้สรรพชีวิต ในมิติขนาดเล็กมีพลังชีวิตที่เพียงพอ ข้าจะแยกมิติออกจากกัน แล้วใส่เข้าไปในหยกของแต่ละคน จากนั้นก็โยนลงไปที่พื้นที่มรณะ เรื่องนี้ถือเป็นการสร้างบุญบารมีท่านผู้นำสกุลทุกท่านจะยอมเสียสละป้ายหยกประจำสกุลหรือไม่”
“ยอมสิ ไม่ยอมแล้วได้อะไร นังหนู หากเจ้าไม่พูด ใครจะรู้ว่าในป้ายหยกประจำสกุลจะมีความลับใหญ่ขนาดนี้ เพื่อตัวพวกเราเอง แล้วก็เพื่อสรรพชีวิตบนโลก พวกเรายอมได้ จะต้องทำอย่างไร นังหนูพูดเถอะ” ป้ายหยกประจำสกุลส่วนมากมีไว้เพื่อเป็นที่ระลึกเท่านั้น ตอนนี้รู้ประโยชน์ของมัน แต่พวกเขาจะทำอะไรได้
“นังหนู เจ้าจะทำแบบนี้ไม่ได้ โม่หรานจะทำอย่างไร ถึงแม้ว่าเขามักจะไม่เชื่อฟังเจ้า สร้างปัญหาให้เจ้า แต่ว่าโดยรวมแล้วก็ไม่ได้เลวร้าย พืชศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดของเจ้า โม่หรานก็เป็นคนปลูกให้ นังหนู หากไม่จำเป็นจริงๆก็ไม่ควร” เอ๋าเลี่ยพูดค้าน
“โม่หราน?” ฮัวเชียนหนิวทวน เขาพบว่าคู่พันธสัญญาของหลิวหลีกับสหายของนางมักจะมีความเกี่ยวข้องกับสีสัน
“โม่หรานเป็นภูติอาวุธในมิติ หากแยกมิติออกจากกัน แล้วโม่หรานจะทำอย่างไร” เอ๋าเลี่ยถามต่อ
“ในเมื่อมีภูตอาวุธ ถ้าเช่นนั้นก็น่าเสียดายไม่น้อย” สิ่งของที่มีภูตอาวุธ มีไม่มาก หากต้องฉีกแยกมิติเพราะพื้นที่มรณะ จนต้องทำลายภูตอาวุธ ไม่ค่อยคุ้มเท่าไรนัก
“นังหนู ไม่เช่นนั้น พวกเราลองคิดวิธีอื่นกันดูไหม” ของดีขนาดนี้ทำลายไป มันก็น่าเสียดายจริงๆ
“ไม่ต้องหรอก ทำแบบนี้เถอะ มีเพียงแต่วิธีนี้เท่านั้น อะไรที่ไม่ใช่ของข้า สุดท้ายก็ไม่ใช่ของข้าอยู่ดี สำหรับโม่หราน ข้าคิดแล้วว่าจะให้เขาไปอยู่ที่ไหน” หลิวหลีกล่าว
“เจ้าจะให้เขาไปอยู่ที่ไหน?” เอ๋าเลี่ยรู้สึกไม่ค่อยอยากจะเชื่อ สัญชาตญาณบอกว่าหลิวหลีกำลังพูดโกหก
“มีดยักษ์ของข้า” หลิวหลีนำมีดเล่มใหญ่ออกมา ทุกคนปากกระตุกน้อยๆ มีดเล่มนี้ไม่เลวก็จริง แต่ชื่อของมันที่เจ้านายตั้งให้ดูไร้รสนิยมอย่างไรไม่รู้
“มีดธรรมดาของเจ้าเล่มนั้นสามารถเทียบกับมิติได้หรือ” เอ๋าเลี่ยรู้สึกตัวเองจะโมโหตายเพราะหลิวหลี
“ข้าไม่มีที่อื่นที่จะให้เขาไปอยู่แล้ว” หลิวหลีบอกว่าตัวเองมีเพียงมีดเล่มใหญ่เล่มเดียวเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นอีก
“พวกท่านอยู่ครบพอดี”
“ผู้รู้ฟ้าดินตวนมู่” ผู้นำสกุลทั้งห้าพูดด้วยอย่างนับถือ
“อาเหยา มีเรื่องอะไรหรือ เจ้าเพิ่งจะได้รับตำแหน่งหัวหน้าหอพยากรณ์ไม่ใช่หรือ ทำไมถึงมีเวลาว่างมาที่นี่” หลิวหลีกลอกตาใส่ตวนมู่เหยา มาวางท่าอะไรที่นี่
“แค่กๆพวกท่านกำลังคุยเรื่องภูตอาวุธของหลิวหลีตนนั้นอยู่ใช่หรือไม่” ตวนมู่เหยาถาม เขาที่เป็นถึงผู้นำหอพยากรณ์แต่วางมาดต่อหน้าหลิวหลีไม่ได้เลยจริง ๆ
“เจ้ามีวิธีหรือ” หลิวหลีมองตวนมู่เหยาแล้วถามขึ้น
“ใช่ มีอยู่วิธีหนึ่ง ข้ารู้ว่าเจ้าอยากจะทำลายมิติเพื่อฟื้นฟูพื้นที่มรณะ มีภูตอาวุธตนหนึ่งไม่รู้จะจัดการอย่างไร หอพยากรณ์ของข้ามีหินย้อนเวลา สามารถส่งภูตอาวุธตนนั้นกลับไปเกิดใหม่ได้”
“หินย้อนเวลา” เห็นได้ชัดว่าหนานกงเวิ่นเทียนรู้ว่าหินย้อนเวลาคืออะไร
“ข้าจะลองถามโม่หรานดูว่าตกลงไหม” หลิวหลีบอกว่านางจะลองถามโม่หรานดู เมื่อลองถามแล้ว โม่หรานก็ตกลง เขาเองอยากบำเพ็ญเพียรเช่นกัน
เมื่อจัดการเรื่องนี้แล้ว มิติก็ถูกแยกออกเป็นห้าส่วน และกลับเข้าไปอยู่ในป้ายหยกประจำสกุลตามเดิม โม่หรานเข้าไปในหินย้อนเวลา ย้อนกลับไปเกิดใหม่ เพราะเขาเสียสละทำให้บนตัวของเขาก็มีแสงแห่งบารมีเช่นกัน ช่วยคุ้มครองให้การบำเพ็ญเพียรเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ต้องเจอกับสิ่งชั่วร้าย
ส่วนพื้นที่มรณะกลับมามีพลังชีวิตอีกครั้ง เกียรติยศชื่อเสียงของทั้งห้าสกุลก็เพิ่มขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
Related

แม่ครัวยอดเซียน

แม่ครัวยอดเซียน

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน! นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน! หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต! เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!! เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า… นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ? แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!

Options

not work with dark mode
Reset