“นังหนู เจ้ายื้อมาร้อยกว่าปี ในที่สุดก็จะแต่งเสียที ดีจริงๆ ตาก็ยังกังวลว่าสินสอดทองหมั้นที่ไปหามาให้เจ้า สุดท้ายจะต้องกลับเข้ามาอยู่ในคลังของท่านตาเหมือนเดิม” หลงเหวินเสวียนทอดถอนใจ ในที่สุดนังหนูก็จะแต่งงาน นังหนูบำเพ็ญเพียรได้เร็วขนาดนี้ คงไม่ใช่ว่าภายหน้ายังไม่ทันได้ให้สินสอดทองหมั้น นังหนูก็บรรลุเป็นเซียนไปก่อน เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรภูมิใจหรือเสียใจดี
“นั่นสิ เจ้าดู ลูกของน้องสาวเจ้าโตขนาดนี้แล้ว เจ้าถึงเพิ่งจะตัดสินใจแต่งงาน ไม่รู้สึกผิดกับพ่อแม่บ้างหรือ” หลงซินเยว่ตำหนิลูกสาวคนโต
หลิวหลีฟังหูซ้ายทะลุหูขวา นึกไม่ถึงเลยว่าครอบครัวของนางจะไม่พอใจกันขนาดนี้ นางก็ไม่ได้แต่งงานเท่าหลายร้อยปีก็เท่านั้น นางก็ไม่ได้ยินดีที่เป็นเช่นนี้
“ทำให้ท่านตากับท่านแม่ต้องเป็นกังวลแล้ว ถ้าอย่างนั้นงานแต่งงานของข้าต้องรบกวนทั้งสองท่านช่วยจัดเตรียมแล้วกัน ข้าขอไปชำระหนี้ที่ติดค้างไว้ก่อน จริงสิ ในสามปีนี้ช่วยส่งผู้บำเพ็ญที่พลังบำเพ็ญเพียรอยู่ในช่วงปราณก่อนกำเนิดขึ้นไปของสกุลหลงมาเดือนละ 10 คน ข้าจะปรุงยาศักดิ์สิทธิ์ระดับ 8 ขึ้นไป รับวิบากเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ยังถือว่ามีประโยชน์อยู่” หลิวหลีพูดกับท่านตา
“นี่คือเรื่องดี ตาต้องขอบคุณเจ้าด้วย” หลงเหวินเซวียนรู้สึกว่านี่คือเรื่องดี ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีโอกาสได้ฝึกฝนร่างกายโดยรับวิบากเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์
“ตามความสมัครใจแล้วกัน ไม่บังคับ” หลิวหลีคิดดูแล้ว จึงพูดเสริมขึ้น
“ได้” ก็ดีเหมือนกัน ให้สมัครใจน่าจะดีกว่า เพราะอย่างไรเสียความเจ็บปวดนี้ไม่ใช่ว่าใครจะสามารถทนได้
ที่บ้านสกุลหนานกง หนานกงชางอวี้ตื่นเต้นอย่างมากเมื่อหนานกงเวิ่นเทียนบอกว่าตัวเองจะแต่งงานในอีกสามปีข้างหน้า ในที่สุดลูกชายของเขาก็จะแต่งงานแล้ว ดีจริงๆในที่สุดพวกเขาก็มีโอกาสจะได้เป็นปู่เป็นย่าแล้ว เมื่อหนานกงชางฉยงรู้มาว่าหลิวหลีเตรียมปรุงยาเป็นระยะเวลาสามปี จึงให้ลูกหลานในบ้านสกุลหลงรับวิบากเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์เพื่อฝึกฝนร่างกาย เขาถูมือแล้วพูดอ้อมๆว่า จะให้เด็ก บ้านสกุลหนานกงไปด้วยได้ไหม เพราะอย่างไรเสียนางก็มาเป็นสะใภ้บ้านสกุลหนานกงอยู่แล้ว หนานกงเวิ่นเทียนจึงบอกว่าจะลองไปถามฮูหยินของเขาดูให้
ตั้งแต่หลานชายคนนี้บำเพ็ญจนมีพลังบำเพ็ญเพียรสูงแล้ว เขาก็รู้สึกกลัวหลานชายน้ำแข็งคนนี้ไม่น้อย หลังจากผมขาวโพลนไปทั้งหัวตอนเกิดสงครามครั้งใหญ่ หลานชายคนนี้ยิ่งเย็นชาจนน่ากลัวมากกว่าเดิม เวลาพูดกับเขารู้สึกราวจะกลายเป็นน้ำแข็ง เอาเถอะ ไปถามหลานสะใภ้เองดีกว่า
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าฮัวจิงเฟยไปรู้ข่าวนี้มาจากไหน ร้องอ้อนวอนขอหลงเหวินเซวียนว่าอยากอยู่ในรายชื่อสกุลหลง ทำให้ฮัวเชียนหนิวโมโหจนเกือบตีฮัวจิงเฟยจนขาหัก สุดท้ายก็บอกไปว่าก็อ้อมแอ้มอ้างไปว่า อย่างไรเสียน้องสาวของหลิวหลีก็เป็นสะใภ้สกุลฮัว ถือเป็นญาติพี่น้อง จะขอเข้ารับสิทธิพิเศษนี้ด้วยได้หรือไม่
ฝั่งสกุลจ้าน ก็ใช้จ้านเฟิงหลิงเป็นข้ออ้าง อย่างไรเสียก็เป็นรุ่นน้องของพ่อตนเอง จะสนับสนุนหน่อยได้หรือไม่
ส่วนบ้านสกุลหลินกล่าวว่า ความสัมพันธ์ของพวกเขากับหลงเสี่ยวเสี่ยวดีขึ้นแล้ว ยาพิษที่หลงเหลืออยู่ก็ขจัดออกไปหมดแล้ว ไม่ว่าเสี่ยวเสี่ยวจะแซ่อะไร อย่างไรก็ขึ้นชื่อเป็นลูกหลานสกุลหลิน อยากจะขอสิทธิพิเศษด้วยจะได้ไหม แต่แย่หน่อยที่ในบรรดาทั้ง 5 สกุล มีเพียงแต่ข้ออ้างของสกุลหลินที่ฟังไม่ค่อยขึ้น เพราะออจะเป็นความสัมพันธ์ที่ไกลกันเกินไป
หลิวหลีกล่าวว่า นางจะปรุงยาอยู่ที่สกุลหลง พวกเขามาคุยกับท่านตาได้ แต่ท่านตาจะมีเกณฑ์อย่างไรนั้น ก็เป็นการตัดสินใจของท่านตา นางไม่เข้าไปยุ่ง
วันเวลาที่หลิวหลีปรุงยา ก็มีพวกเด็กๆแย่งกันรับวิบากอัสนีบาต แล้วจะถูกหลิวหลีตะเพิดออกไป วนเป็นวัฏจักรเช่นนี้ พวกเขาเหล่านี้เลื่อมใสยอดฝีมือผู้ที่อายุไม่แตกต่างจากพวกเขาคนนี้อย่างมาก โดยเฉพาะตอนที่พวกเขาโดนฟ้าผ่าจนเกือบตาย แต่ท่านผู้นี้กลับรับวิบากอัสนีบาตราวเดินเล่น ทำให้พวกเขาอิจฉาไม่น้อย อีกทั้งอัตราสำเร็จในการปรุงยาก็สูงจนน่าตกใจ พวกเขาไม่เคยเห็นหลิวหลีพลาดเลย
ส่วนหนานกงเวิ่นเทียนเข้าฌานเพื่อหลอมรวมไข่มุกหยิน ตอนนั้นหลิวหลีจัดการพลังหยินภายในร่างกาย สกัดออกมาแล้วรวมเป็นไข่มุกหยิน ซึ่งส่งผลดีต่อหนานกงเวิ่นเทียนอย่างมาก แล้วยกเรื่องแต่งงานให้ท่านพ่อท่านแม่และท่านลุงเป็นคนจัดการ ทั้งสามคนยังคงเป็นกังวลใจไม่น้อย ถึงจะไม่อยู่ที่บ้าน แต่ก็ต้องมีห้องหอใช่หรือไม่ จึงสาละวนเอาแต่ปรึกษาหารือกับผู้อาวุโสสกุลหลง หลงหลิวหลีเองก็ไม่ว่างเช่นกัน หากไม่ฟื้นฟูร่างกาย ก็ปรุงยา ยุ่งจนแทบจะไม่ได้เห็นหน้านาง จะได้เห็นลูกสะใภ้สักครั้งหนึ่งก็ตอนนางรับวิบากอัสนีบาตเท่านั้น ฮัวเชียนอวี่เริ่มเป็นห่วงลูกชายของนางว่าจะเจอความรุนแรงภายในครอบครัวหรือเปล่า เมื่อนางเห็นกับตาว่าหลิวหลีทำลายเนินเขาลูกหนึ่งกับมือ
วันเวลาล่วงเลยไปจนถึงก่อนงานวันแต่งงานหนึ่งเดือน อสูรเทพสามตัวนั่งอยู่ด้วยกัน หลังจากพูดคุยกันก็พบว่าวันที่พวกเขาจะต้องรับวิบากสวรรค์คือหนึ่งวันหลังจากวันแต่งงานของหลิวหลี อยู่ๆก็รู้สึกเสียใจ ที่จะไม่สามารถเข้าร่วมงานแต่งของคู่พันธสัญญาได้อย่างเต็มที่ ส่วนหลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนรับปากว่าหลังจากแต่งงานจะยกเลิกพันธสัญญา นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ทำไมพี่สาวต้องเลือกแต่งงานในวันนั้น” จื่อฉีงุนงง
“ได้ยินมาว่าให้คนจากหอพยากรณ์หาฤกษ์มา วันนั้นฤกษ์งามยามดี เหมาะแก่การแต่งงาน เป็นวันมหามงคล” เอ๋าเลี่ยไปที่หอเทียนจีเก๋อ ได้ยินมาว่าตวนมู่เหยาหัวหน้าหอเทียนจีเก๋อคนใหม่เป็นคนหาฤกษ์ให้ ตวนมู่เหยาก็อัดอั้น เขาจำใจต้องพูดออกไปเช่นนั้น จะให้เขาบอกหรือว่าเขาถูกหลิวหลีบังคับ ขายหน้าหอเทียนจีเก๋อแย่ แต่เขาได้พยากรณ์แล้วว่าทั้งสองจะไม่ได้เข้าห้องหอในโลกบำเพ็ญ
“ดูท่าแล้ว ช่วงนี้พวกเราจะต้องเตรียมตัวให้ดี จะให้ทั้งสองคนรู้ไม่ได้” เฟิ่งอิงเสวี่ยกล่าว
“เสี่ยวเทียน อีกหนึ่งเดือนก็จะถึงวันแต่งงานกับวันรับวิบากสวรรค์ของพวกเราแล้ว เตรียมของทุกอย่างไว้แล้วหรือยัง” หลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนทำตามที่พ่อแม่จัดแจงไว้ให้อย่างว่าง่าย นั่งพูดคุยกันขณะรอท่านแม่ทั้งสองมา เพื่อลองชุดแต่งงานกับเครื่องประดับ
“อือ หลอมรวมไข่มุกหยินแล้ว และของทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้เรียบร้อย พร้อมที่จะรับวิบากสวรรค์ได้ตลอดเวลา” หนานกงเวิ่นเทียนบอกให้นางวางใจ
“ข้าก็เช่นกัน ของขวัญแสดงความยินดีที่คนอื่นมอบให้ก็แบ่งไว้เป็นที่เรียบร้อย น่าจะไม่มีเรื่องที่รับมือไม่ทัน” หลิวหลีบอกว่าช่วงนี้โดนฟ้าผ่าจนแทบจะไม่รู้สึกอะไรแล้ว
ในวันแต่งงาน คนที่มีหน้ามีตาในโลกบำเพ็ญก็ปรากฏกายขึ้น ของที่มอบให้แต่ละชิ้นก็ชวนให้ผู้รับตื่นเต้น ผู้ใหญ่ทั้งห้าท่านที่นั่งอยู่ก็ยิ้มจนแก้มปริ โดยเฉพาะเสวียนหั่วที่ลูกศิษย์จัดให้นั่งกับบิดามารดาของนาง ทำให้คนแก่อย่างเขาเกือบจะน้ำตาไหล
“ถึงเวลาแล้ว” คนที่เป็นพิธีกรในงานคือคนที่หน้าหนาที่สุดอย่างฮัวจิงเฟย ส่วนเพื่อนเจ้าสาวคือเสี่ยวเสี่ยว หงหลินกับชิงหลวน หงหลิน ตั้งแต่เพลิงนพเก้ามอดนภาหลอมรวมไปกับหลิวหลี ก็ถูกชิงหลวนพาไปที่โลกอสูร และเพราะมีหน้าตาละม้ายหลิวหลี จึงได้รับการต้อนรับจากโลกอสูรเป็นอย่างดี ส่วนเพื่อนเจ้าบ่าวคือจื่อฉี หยวนเทียน แล้วก็เฟยเผิง แต่ตัวฮัวจิงเฟยนั้นลังเลระหว่างพิธีกรกับเพื่อนเจ้าบ่าวอยู่นาน จนสุดท้ายถึงเลือกเป็นพิธีกร
“ขอเชิญคู่บ่าวสาว” สถานที่ที่สองคนแต่งงานค่อนข้างกว้างขวาง หนานกงเวิ่นเทียนในชุดมงคลสีแดงลอยลงมาจากฟากฟ้า เรือนผมผมขาวกับชุดแดง ทำให้เขาดูสง่างามยิ่งขึ้น ฟากหลิวหลีออกมาจากอีกด้านหนึ่ง อยู่ในชุดแต่งงานที่งดงามเช่นกัน มงกุฏหงส์สีทองยิ่งทำให้หลิวหลีดูโดดเด่นมากขึ้น
“สุดยอด หลงหลิวหลีเป็นสาวงามขนาดนี้เชียวหรือ แต่ก่อนปกปิดไว้มิดจริงๆ”
“ใช่สิ ทั้ง ๆ ที่มีหน้าตาเป็นอาวุธ แต่กลับเลือกใช้ความสามารถ”
“ฉายาสาวงามอันดับหนึ่งของโลกบำเพ็ญก็ยังไม่เกินไป”
“ความสามารถก็เป็นที่หนึ่งในโลกบำเพ็ญเช่นเดียวกัน”
“ทั้งหน้าตา ความสามารถ อีกทั้งยังมีความสามารถพิเศษ หญิงสาวที่เพียบพร้อมขนาดนี้ น่าเสียดายที่วันนี้จะแต่งงานไปเป็นฮูหยินคนอื่นแล้ว”
“พอเถอะ เลิกโม้ได้แล้ว ถึงแม้ไม่มีเจ้าของ นางก็ไม่แต่งกับเจ้า ไม่ดูตัวเองเลยว่าคู่ควรกับนางหรือไม่”
ทั้งสองมองหน้ากันแล้วส่งเสียงหัวเราะ ได้ยินสิ่งที่ทุกคนพูดกันอย่างชัดเจน หนานกงเวิ่นเทียนจับมือหลิวหลีไว้แนบแน่น ในที่สุดพวกเขาก็ได้อยู่ด้วยกันโดยได้รับคำอวยพรจากทุกคนแล้ว
“หนึ่ง คำนับฟ้าดิน”
ขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้ข้าได้มาเจอเจ้า
“สอง คำนับพ่อแม่”
ขอบคุณท่านพ่อท่านแม่ที่ให้กำเนิด ทำให้ข้าเจอคนที่ใช่อย่างเจ้าในเวลาที่ใช่
“คำนับกันและกัน”
ขอบคุณที่ยอมให้ข้าเป็นคนดูแล ข้าจะดูแลเจ้าตลิดทุกชาติภพ
“เสร็จสิ้นพิธี”
สามคำนับ กับคำขอบคุณสามคำจากหนานกงเวิ่นเทียน
“ถึงเวลาที่พวกเราชื่นชอบกันที่สุด ส่งตัวเข้าหอ” ฮัวจิงเฟยถูมืออย่างดีใจ เรื่องส่งตัวเข้าห้องหอ ช่างทำให้คนมีความสุขมากจริงๆ เขาก็บอกแล้วว่าพิธีนี้ของโลกมนุษย์ไม่เลว โดยเฉพาะการเข้าห้องหอได้รับการยอมรับจากทุกคน รวมถึงครอบครัวทั้งสองฝ่ายด้วย
ภายในห้องหอ หนานกงเวิ่นเทียนเปิดผ้าคลุมออก หลิวหลีจ้องหนานกงเวิ่นเทียนตาไม่กระพริบ ผู้ชมที่อยู่ข้างๆผิวปากส่งเสียงครื้นเครงอย่างมาก
“อ่ะแฮ่ม พวกเราควรจะทำหน้าที่เพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่ดีหน่อยไหม ให้พื้นที่กับบ่าวสาวได้อยู่ตามลำพัง” จื่อฉีอยากจะทำหน้าที่ให้ดี แต่รู้สึกเหมือนเขาลืมอะไรไปบางอย่างอยู่ตลอดเวลา
จื่อฉีรู้สึกว่าการเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวถือเป็นความผิดพลาด เพื่อนเจ้าบ่าวคืองานใช้แรงงานและงานใช้สมองด้วย อีกทั้งยังต้องคอแข็ง ยังดีที่เขาพลังบำเพ็ญเพียรสูง ดื่มเหล้ากับดื่มน้ำไม่ได้แตกต่างอะไรกัน ไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าคงจะเป็นกิเลนตัวแรกที่ไม่ผ่านวิบากสวรรค์เพราะเมาสุราแน่ๆ ช้าก่อน วิบากสวรรค์ พันธสัญญาระหว่างเขากับพี่สาวยังไม่ได้ยกเลิก นั่นก็หมายความว่าพี่สาวของเขาจะต้องรับวิบากสวรรค์เช่นเดียวกัน จื่อฉีเหงื่อแตกพลั่ก ราวกับค้นพบเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ
“หลีกไป จะให้พวกเขาเข้าห้องหอไม่ได้” ท่านพี่ ท่านแน่ใจหรือว่าหอพยากรณ์หาฤกษ์ให้ดีแล้ว นี่เป็นวันมหามงคลงั้นหรือ ตวนมู่เหยาที่ต้องแบกรับความผิดที่ตัวเองไม่ได้ก่อ ก็จามออกมาหนึ่งที
“จื่อฉี ไม่ควรรบกวนคู่บ่าวสาว ไม่เช่นนั้นจะโดนฟ้าผ่านะ” หลงซินเยว่เตือน
“อาเอ๋าเลี่ย พี่อิงเสวี่ย รีบขัดขวางไม่ให้พวกเขาเข้าห้องหอ พรุ่งนี้พวกเขาก็ต้องรับวิบากสวรรค์เหมือนกัน” จื่อฉีมองดูกลุ่มคนที่ไม่ให้เขาเข้าไป จึงตะโกนออกมาอย่างจนปัญญา
“อะไรนะ” เอ๋าเลี่ยกับเฟิ่งอิงเสวี่ยที่กำลังดีใจอยู่ก็ตกใจ ทุกคนต่างก็ตกใจเช่นกัน
“จื่อฉี เจ้าพูดอะไร ข้าได้ยินไม่ชัด” เอ๋าเลี่ยกัดฟัน เขารู้สึกเหมือนตัวเองลืมอะไรไป พันธสัญญาของทั้งสองคนยังไม่สิ้นสุด นั่นก็หมายความว่า นังหนูก็ต้องรับวิบากสวรรค์พรุ่งนี้เหมือนกัน เจ้าเด็กนี่ช่างเหลือเกินจริงๆ พรุ่งนี้ลงจากเตียงไม่ได้จะทำอย่างไร
“หาเรื่องแท้ๆ ข้าก็ว่าข้าเหมือนลืมอะไรอยู่ตลอดเวลา” งานมงคลของทั้งสองคนทำให้เขาลืมไปเลย ถึงขนาดลืมเรื่องพันธสัญญาไปด้วย
บรรยากาศภายในห้องหอกำลังหวานชื่น ในขณะที่กำลังจะบรรลุขั้นสุดท้าย ก็ชะงักลงไปเพราะเสียงตะโกนด้านนอก กะอีแค่รับวิบากสวรรค์ในวันพรุ่งนี้ จะตื่นเต้นกันไปทำไม หลิวหลีสะบัดมือสร้างกำแพงกั้นขึ้นมาหนึ่งชั้น ก็ถูกจื่อฉีทำลายทิ้งทันที สีหน้านางเริ่มบึ้งตึง นางแค่จะเข้าห้องหอทำไมถึงยากเย็นขนาดนี้ นางรีบสร้างกำแพงเพลิงอัคคี 5 ชั้นขึ้นมาในทันที วันนี้ใครกล้ามาขัดขวางการเข้าห้องหอของนาง นางจะเผาให้เละไปเลย
Related
แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 207 เข้าห้องหอไม่ได้
Posted by ? Views, Released on February 8, 2022
, แม่ครัวยอดเซียน
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน!
นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน!
หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ
จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง
แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต!
เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!!
เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า…
นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว
ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน
ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ?
แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!