ณ วังนภาธารา หนานกงเวิ่นเทียนเข้าฌานอีกครั้ง สำหรับเขาแล้วพลังบำเพ็ญเพียรเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ส่วนเรื่องอื่นสามารถปล่อยผ่านไปก่อนได้ โดยเฉพาะเทียบเชิญจากเจ้าตำหนักต่างๆเกือบจะกองเต็มห้องในตำหนักหลิวหลีอยู่แล้ว ทุกคนต่างก็เจ็บช้ำใจกับความเย็นชาของหนานกงเวิ่นเทียนอย่างยิ่ง
“เวิ่นเทียนเย็นชามากเกินไปแล้ว คิดว่าตนเองเป็นเจ้าตำหนักชายเพียงคนเดียว แล้วพวกเราต้องคอยเอาใจเขาหรือ”สุ่ยโหยวพูดอย่างเจ็บใจ
“ช่วยไม่ได้ เมื่อเทียบกับเขาแล้ว พวกเราก็สู้เขาไม่ได้จริงๆ พลังบำเพ็ญเพียรของเขาเท่าพวกเราทั้งที่อายุยังไม่ถึงพันปีด้วยซ้ำ แถมพอบรรลุเป็นเซียนก็อยู่ในขั้นพลังเช่นนี้ แต่พวกเราต้องใช้เวลาบำเพ็ญฝึกฝนเป็นระยะเวลาหลายหมื่นปี เมื่อเทียบกันแล้วเวิ่นเทียนก็มีสิทธิ์ให้ทะนงตนจริงๆ” สุ่ยโหยวพูดขณะมองตำหนักเวิ่นเทียน
“ข้าน่ะ สงสัยเรื่องฮูหยินที่เวิ่นเทียนพูดถึง หรือฮูหยินของเขาจะดีกว่าพวกเราสามคนจริงๆหรือ ข้าไม่เชื่อหรอก พวกเราเป็นผู้หญิงที่งดงามติดอันดับในโลกเซียน จะแพ้ให้คนชั้นต่ำที่บรรลุเป็นเซียนจากโลกเบื้องล่างได้อย่างไร” สุ่ยหลิงยืดอกแล้วพูดขึ้น
“แต่ว่าเวิ่นเทียนไม่ตอบรับคำเชิญของพวกเรา ไม่เช่นนั้นพวกเราควรหาข่าวฮูหยินของเขา จะได้มีข้อมูลมาเปรียบเทียบบ้าง” สุ่ยหยากล่าว
“แต่ปัญหาคือเวิ่นเทียนเข้าฌานอีกแล้ว” สุ่ยโหยวนวดหว่างคิ้ว ไม่รู้หรืออย่างไรว่าเข้าฌานก็ต้องพักบ้างเพื่อให้เกิดความสมดุล เอาแต่เข้าฌานอย่างเดียวก็ไม่ดีนัก
ณ ดินแดนนภาเพลิง ทหารสวรรค์ผู้หนึ่งบอกกับพวกอวิ๋นเฟยว่า เขาจะบรรลุขั้นแล้ว เร็วกว่าที่คาดไว้ถึง 200 ปี และคนในตำหนักเวิ่นเทียนไม่ไปรับยาเซียนศักดิ์สิทธิ์อีกเลย หลังจากที่อีมู่ประกาศเอาไว้ ทำให้ยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้ดูแลเหอแอบเก็บไว้ให้ตำหนักเวิ่นเทียนไม่ได้ถูกส่งออกไปเลยแม้แต่ชุดเดียว เมื่ออับจนหนทาง ผู้ดูแลเหอก็ทำได้เพียงไปหาผู้อาวุโสจู
“ผู้อาวุโสจู ตั้งแต่ที่เซียนนักปรุงยาอีมู่พูดเช่นนั้น คนในตำหนักเวิ่นเทียนก็ไม่มีใครมาขอรับยาศักดิ์สิทธิ์ในส่วนของตำหนักเวิ่นเทียนอีกเลย ข้าน้อยแอบเก็บไว้หลายชุดแต่ก็ไม่มีใครมารับยาเลย ท่านดูนี่สิ” ผู้ดูแลเหอไม่รู้จะทำอย่างไร แต่สิ่งที่เขาไม่ได้พูดต่อจนจบคือ คนในตำหนักเวิ่นเทียนอย่าหัวแข็งเช่นนี้ได้ไหม อย่ามีทิฐิกับยาพวกนี้เลย
“ไม่มารับเลยแม้แต่ครั้งเดียวหรือ” ผู้อาวุโสจูเน้น เคาะนิ้วไปเรื่อยๆโดยที่ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
“ขอรับ ไม่ได้มารับไปเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
“ข้ารู้แล้ว เจ้าไปเถอะ”ผู้อาวุโสจูบอกว่าเขาเข้าใจแล้วให้ผู้ดูแลเหอออกไป
“เป็นอย่างที่องค์จักรพรรดิทรงตรัสไว้จริงๆเจ้าตำหนักหลิวหลีก็เป็นนักปรุงยาเช่นกันและยังเป็นนักปรุงยาที่โดดเด่น ไม่ได้ ข้าจะต้องไปรายงานองค์นจักรพรรดิ” ผู้อาวุโสจูกล่าว
“ฝ่าบาท หลังจากที่อีมู่ประกาศกร้าวเช่นนั้นก็ไม่มีคนจากตำหนักเวิ่นเทียนไปรับยาศักดิ์สิทธิ์ที่ห้องปรุงยาอีกเลย” ผู้อาวุโสจูพูดเข้าประเด็นทันที
“เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่ต้องการยาศักดิ์สิทธิ์ มีความเป็นไปได้เพียงแค่อย่างเดียว หลิวหลีสามารถปรุงยาได้ อีกทั้งมีอัตราสำเร็จในการปรุงยาสูงด้วย” จักรพรรดิทรงวิเคราะห์
“แต่ท่านเจ้าตำหนักหลิวหลีเข้าฌาณตั้งนานแล้ว” ผู้อาวุโสจูกล่าว
“เข้าฌานแล้วหรือ เด็กคนนี้ช่างมุมานะจริงๆ” จักรพรรดิทรงรู้สึกว่านังหนูคนนี้ขยันขันแข็งทีเดียว
“ใช่ ตอนนี้เจ้าตำหนักท่านอื่นๆก็พยายามไม่น้อยเช่นกัน” นั่นเพราะถูกเจ้าตำหนักหลิวหลีท่านนี้กดดัน
“ผู้อาวุโสจู ส่งคนไปสังเกตการณ์ตำหนักเวิ่นเทียนไว้ คอยจับตาดูว่าในพวกเขามีคนที่มีแววจะบรรลุขั้นหรือไม่ แล้วดูว่ามีคนออกจากตำหนักเวิ่นเทียนหรือไม่” จักรพรรดิทรงสั่งการ
“พะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดิ” ผู้อาวุโสจูรับคำสั่ง
ซึ่งหลิวหลีที่เข้าฌานอยู่ย่อมไม่รู้ว่าตำหนักเวิ่นเทียนตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน และในตอนนี้นางอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน อีกแค่เพียงนิดเดียวเพลิงบุปผาเหมันต์ก็จะบรรลุขั้นกลายเป็นเพลิงเซียนบุปผาเหมันต์ เส้นชีพจรเส้นนั้นเริ่มกลายเป็นสีฟ้า นางพยายามดูดซึมพลังเพลิง จนในที่สุดก็เหลืออีกแค่เพียงนิดเดียวก็จะสามารถเปิดเส้นชีพจรนี้ได้อย่างสมบูรณ์ และเพลิงบุปผาเหมันต์ก็จะกลายเป็นเพลิงเซียนบุปผาเหมันต์
สีฟ้าราวน้ำแข็งปรากฏไปทั่วท้องฟ้าในโลกเซียน ทุกคนตกอยู่ในความประหลาดใจ มีเพลิงเซียนชนิดใหม่ปรากฏขึ้นอีกแล้วในระยะเวลาอันสั้น ‘เพลิงเซียนบุปผาเหมันต์’
ณ วังนภาธารา เพลิงบุปผาเหมันต์ในตัวของหนานกงเวิ่นเทียนก็รับรู้ได้เช่นเดียวกัน มันค่อยๆเริ่มเปลี่ยนเป็นเพลิงเซียนบุปผาเหมันต์ หนานกงเวิ่นเทียนจะพลาดการเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างไร ตอนนี้เพลิงอัคคีทั้งสองชนิดของนังหนูเปลี่ยนเป็นเพลิงเซียนแล้ว ทำให้เขาได้ประโยชน์เช่นกันจากการที่เพลิงบุปผาเหมันต์เปลี่ยนเป็นเพลิงเซียนบุปผาเหมันต์ ทำให้พลังบำเพ็ญเพียรของหนานกงเวิ่นเทียนเพิ่มขึ้นไม่น้อย อีกเพียงนิดเดียวเขาก็จะกลายเป็นเทพเซียนสุวรรณนภา
ณ วังนภาเพลิง เพลิงเซียนบุปผาเหมันต์เคลื่อนไหวอยู่ภายในตัวหลิวหลี จนสุดท้ายก็กลับไปที่จุดตันเถียน หลิวหลีผ่อนลมหายใจ เพลิงเซียนที่มีพลังโจมตีเช่นนี้ถือว่าไม่เลวทีเดียว เมื่อหลิวหลียื่นมือขวาออกมาก็ปรากฏเปลวเพลิงสีฟ้ากระโดดโลดเต้นไปมามันพุ่งตัวเข้ามาถูไถใบหน้าของหลิวหลี และเมื่อนางยื่นมือซ้ายออกมาก็ปรากฏเพลิงเซียนสีเขียวขึ้น จากนั้นเพลิงเซียนทั้ง 2 ก็หมุนวนรอบตัวหลิวหลี ราวจะสื่อให้นางเห็นความดีใจของพวกมัน
หลิวหลีมองดูเพลิงเซียนทั้งสองดวงแล้วถอนหายใจ ต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไรจึงจะเปลี่ยนเพลิงที่เหลือให้กลายเป็นเพลิงเซียนได้ แค่เพลิงเซียนสองชนิดนี้ก็กินเวลาของนางไปแล้วตั้ง 500 ปี ทางที่ดีนางควรจะต้องออกไปท่องโลก เผื่อจะเจอทะเลเพลิง ใช่แล้ว เดี๋ยวต้องลองถามว่าที่นี่มีทะเลเพลิงที่มีชื่อเสียงติดอันดับในโลกเซียนหรือไม่ นางจะจะลองกินดูว่าจะใช้ได้ไหม และนางก็ตัดสินใจออกจากฌาณเมื่อรู้สึกว่าถึงเข้าฌานต่อก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร
ณ ตำหนักเวิ่นเทียน ทุกอย่างยังเป็นไปตามเดิม เพียงแต่ค่อนข้างได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ ไม่ใช่เพราะเรื่องอะไร แต่เป็นเพราะระยะเวลา 200 ปีมานี้ตำหนักเวิ่นเทียนไม่ไปรับยาศักดิ์สิทธิ์ที่ห้องปรุงยาแม้แต่ครั้งเดียว แต่ทหารสวรรค์ของตำหนักกลับมีคนบรรลุขั้นอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนว่าทุกคนก้าวหน้ากันเล็กน้อย ซึ่งนั่นแหละที่เป็นปัญหา พวกเขาไม่ได้ใช้ยาจากห้องปรุงยา ในเมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเขาจะบรรลุขั้นได้อย่างไร ทำให้ทุกตำหนักเริ่มพุ่งเป้ามาที่พวกเขา และเมื่อหลิวหลีกกลับมาที่ตำหนักก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี นางขมวดคิ้วมุ่น 200 ปีที่นางไม่อยู่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ ทำไมสายตาที่มองนางถึงได้เหมือนกับหมีเห็นน้ำผึ้ง เหมือนผุ้งที่เห็นเกสรดอกไม้อย่างไรอย่างนั้น
“นายท่าน ท่านออกฌานแล้ว” อวิ๋นเฟยตื่นเต้นอย่างยิ่งเมื่อเห็นหลิวหลี จื่อจู๋กับชิงหลิ่วก็เช่นกัน
“อืม” การดูดซึมพลังเพลิงเซียนสำหรับนางไม่ได้มีประโยชน์อะไรอีกต่อไป นางจึงตัดสินใจออกฌาน เพลิงเซียนคุณภาพสูงมีน้อย อยู่ๆหลิวหลีก็รู้สึกปวดใจ
“นายท่าน หากท่านยังไม่ยอมออกจากฌาน ข้าน้อยเกือบรับมือไม่ไหวแล้ว” ชิงหลิ่วพูดอย่างมีอารมณ์
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมข้ารู้สึกว่าสายตาที่ทุกคนมองข้า ดูยินดีเป็นพิเศษอย่างไรไม่รู้” หลิวหลีครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่
“นายท่าน ตั้งแต่เมื่อ 100 ปีก่อน พวกเราก็ใช้ยาศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านเป็นคนปรุงขึ้น ประสิทธิภาพของยาดีกว่ายาของเซียนนักปรุงยาอีมู่ถึง 3 เท่า ทำให้ทหารสวรรค์ในตำหนักเวิ่นเทียนบรรลุขั้นไปหลายคน และอีกหลายสิบคนที่ใกล้จะบรรลุขั้น เรียกได้ว่าแทบทุกคนมีความก้าวหน้า ทำให้ตำหนักเวิ่นเทียนตกเป็นเป้าสายตาของหลายตำหนัก อีกอย่างชีวิตใรช่วงนี้ของเซียนนักปรุงยาอีมู่ก็ดูจะลำบากไม่น้อย” เมื่อพูดถึงเซียนนักปรุงยาอีมู่ ทุกคนก็อดจะยินดีในความทุกข์ของเขาไม่ได้ สมควรแล้ว ใครให้เขากล้ามาดูถูกนายท่านของพวกเขา หน้าแหกอย่างแรงเลยล่ะสิ
“ไหนลองว่ามา” หลิวหลีเริ่มรู้สึกสนใจ เขาใช้ชีวิตลำบากอย่างไร
“พราะคำพูดของเซียนนักปรุงยาอีมู่ ถึงผู้ดูแลเหอจะไม่ได้เก็บยาศักดิ์สิทธิ์ไว้ให้กับตำหนักเวิ่นเทียนอย่างโจ่งแจ้งแต่เขาก็แอบเก็บไว้ให้พวกเราทุกครั้งอย่างลับๆ แต่อวิ๋นเฟยไม่เคยไปรับยา ผู้ดูแลเหอจึงนำเรื่องนี้ไปบอกกับผู้อาวุโสจู แล้วไม่รู้ว่าผู้อาวุโสจูเริ่มสนใจตำหนักเวิ่นเทียนตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็เริ่มสังเกตเห็นว่าตำหนักเวิ่นเทียนมีคนบรรลุขั้น” พูดถึงตรงนี้ชิงหลิ่วก็ตื่นเต้นขึ้นมาน้อยๆ
“จากนั้น ผู้อาวุโสจูจึงได้วางแผนหลอกเอายาศักดิ์สิทธิ์เม็ดหนึ่งจากทหารสวรรค์ในตำหนักไป ทหารสวรรค์คนนั้นปวดใจไปอยู่หลายเดือนทีเดียว เขาถูกเพื่อนหัวเราะเยาะอยู่นาน ผลคือผู้อาวุโสจูนำยาศักดิ์สิทธิ์ที่ได้กลับไปตรวจสอบ และพบว่าประสิทธิภาพของยาดีจนทำให้เขาตกใจ ผู้อาวุโสจูจึงรีบไปรายงานองค์จักรพรรดิ เจ้าตำหนักมู่หยางออกฌานอยู่กับท่านจักรพรรดิพอดี เมื่อได้เห็นยาศักดิ์สิทธิ์ก็อึ้งไปเช่นกัน ทำให้เรื่องนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งวังนภาเพลิง จนตอนนี้ทั้งวังนภาเพลิงพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะได้ยาศักดิ์สิทธิ์ของตำหนักเวิ่นเทียน แต่ว่าจากที่ผ่านมาทำให้เห็นว่าทหารสวรรค์พวกนั้นเห็นยาศักดิ์สิทธิ์สำคัญกว่าดวงตาเสียอีก” อวิ๋นเฟยพูดต่อชิงหลิ่ว ความภาคภูมิใจที่ปรากฏขึ้นในดวงตาทำให้หลิวหลีที่ไม่อยากจะมองก็ยังยากจะมองข้าม
“ดังนั้นทั้งวังนภาเพลิงรู้แล้วว่าข้าสามารถปรุงยาได้?” หลิวหลีเคาะนิ้วแล้วพูดขึ้น
“น่าจะเป็นเช่นนั้น” ทุกคนก็ไม่ใช่คนโง่ จะเดาไม่ออกได้อย่างไร
“แล้วเรื่องอีมู่ล่ะ ข้าสนใจเรื่องนี้มากกว่า” หลิวหลีค่อนข้างจะอยากรู้เรื่องของอีมู่ เพราะอย่างไรเสียการปรุงยาทีละมากๆของเขาก็สามารถสร้างเซียนนักปรุงยาได้หลายคนทีเดียว
“ตั้งแต่เรื่องยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ของนายท่านถูกแพร่ออกไป ผู้อาวุโสจูก็บอกให้เซียนนักปรุงยาอีมู่ปรับปรุงประสิทธิภาพยาของเขาให้ดีขึ้น ตอนแรกเซียนนักปรุงยาอีมู่ยังจะเล่นตัว ผู้อาวุโสจูจึงบอกประสิทธิภาพของยาศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านปรุงขึ้น และบอกเรื่องที่หลายปีมานี้ตำหนักเวิ่นเทียนไม่ไปรับยา แต่เรื่องก็ไม่ได้จบเพียงเท่านี้ ตำหนักอื่นๆต่างมาที่ห้องปรุงยาเพื่อขอยาศักดิ์สิทธิ์ที่ฤทธิ์ยาเทียบเท่ากับของตำหนักเวิ่นเทียน ซึ่งเซียนนักปรุงยาอีมู่ทำไม่ได้ด้วยซ้ำ ทุกคนจึงเริ่มดูแคลนเขา เรียกได้ว่าสถานะของเซียนนักปรุงยาอีมู่ร่วงจากฟ้าลงมาสู่พื้นดิน ส่วนจะร่วงลงไปที่จุดต่ำสุดนั้นอยู่ที่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น” อวิ๋นเฟยอธิบาย
“ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก วังนภาเพลิงคนเยอะขนาดนั้น จำเป็นต้องอาศัยเซียนนักปรุงยาแบบอีมู่ที่สามารถปรุงยาออกมาได้ทีละมากๆ และยาศักดิ์สิทธิ์ของข้าเพียงพอสำหรับตำหนักเวิ่นเทียนเท่านั้น”หลิวหลีส่ายหัว เพื่อบอกว่ายาเซียนศักดิ์สิทธิ์ของนางเพียงพอกับการใช้สอยในตำหนักเท่านั้น
“แต่ว่าการสร้างความยุ่งยากให้กับคนอื่นก็ควรให้พิจารณา” หลิวหลีพูดพลางลูบคางโดยเฉพาะคนที่คิดว่าตัวเองเก่งเหนือคนอื่น
“อวิ๋นเฟย ไปรับพืชเซียนมา” หลิวหลีสั่งการ
“ขอรับ” ใต้ฝ่าเท้าอวิ๋นเฟยมีลมพัดทำให้เวลาเดินเหมือนล่องลอย นายท่านจะปรุงยาอีกแล้ว ดีจริงๆ
Related
แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 216 ความน่าเกรงขามของนายท่าน
Posted by ? Views, Released on February 8, 2022
, แม่ครัวยอดเซียน
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน!
นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน!
หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ
จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง
แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต!
เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!!
เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า…
นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว
ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน
ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ?
แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!