“ไม่ทราบว่าขอร่วมโต๊ะด้วยได้หรือไม่” หลิวหลีกำลังเหม่อมองริมถนน อยู่ๆก็มีคนเดินเข้ามาหา นางเงยหน้ามอง ก็พบว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่แต่งตัวคล้ายตนเองสองคน
“เอาสิ” หลิวหลีพูดจบก็เหม่อมองข้างนอกต่อ ผู้บำเพ็ญทั้งสองคนสบตากัน ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงตรงข้ามนาง และสำรวจมองนางอย่างละเอียด นี่เป็นของชั้นดีจริงๆ
“ไม่ทราบว่าสหายมีนามว่าอะไร ข้าน้อยเฉินหมิง นี่คืออู๋เจียง” เฉินหมิงกล่าวแนะนำ
“หลี่หลิ่ว” หลิวหลีใช้นามแฝง
“พี่หลี่ การได้พบกันก็คือโชคชะตา กินข้าวด้วยกันสักมื้อดีไหม” เฉินหมิงกล่าว
หลิวหลีทำสีหน้าประหลาด ประโยคนี้ทำไมดูคุ้นๆ
“พี่หลี่ ท่านก็เป็นผู้ชื่นชอบเจ้าตำหนักหลิวหลีหรือ ข้าเองก็เช่นกัน” อู๋เจียงอวดชุดแบบเดียวกับหลิวหลีบนตัว
“ชุดแบบนี้มีอะไรพิเศษหรือ” หลิวหลีมองการแต่งกายของนาง เพียงแต่ว่าคำว่าผู้ชื่นชอบ รู้สึกไม่คุ้นเคยอย่างไรไม่รู้
“สหายไม่รู้หรือ แล้วทำไมจึงแต่งตัวเช่นนี้ล่ะ” อู๋เจียงงุนงง
“ข้าเข้าฌานมาหลายปี เมื่อออกมาก็พบว่าใครๆก็แต่งตัวแบบนี้ ก็เลยแต่งตัวเช่นนี้ตามน่ะ” หลิวหลีอธิบาย
“เป็นเช่นนี้นี่เอง สหายอาจจะยังไม่รู้ ในช่วง 100 ปีมานี้ อันดับในการประลองระหว่างตำหนักเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เจ้าตำหนักหลิวหลีได้สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน แถมนางยังได้อันดับหนึ่งไปครอง ตอนนั้นเจ้าตำหนักหลิวหลีก็แต่งตัวเช่นนี้ ตอนแรกมีแค่คนในวังนภาเพลิงเท่านั้นที่แต่งกายเลียนแบบนาง แต่ตอนนี้ทุกดินแดงต่างก็นิยมแต่งกายเช่นนี้” เฉินหมิงอธิบาย
“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง” หลิวหลีแสร้งทำราวเพิ่งกระจ่างแจ้ง
“ไม่ทราบว่าพี่หลี่จะไปที่ไหนต่อ” อู๋เจียงแอบสอบถามข้อมูล
“ไม่แน่ใจ ก็ว่าจะลองเดินๆดู” หลิวหลีไม่มีเป้าหมายอะไร
“อย่างนี้นี่เอง พี่หลี่จะไปกับพวกเราไหม ได้ยินมาว่าที่เขาต้าสิงมีลูกแก้วเซียนอัคคี แล้วก็ยังมีวิญญาณเซียนอัคคีด้วย” เฉินหมิงกระซิบบอกหลิวหลี
“ฟังแล้วดูไม่เลว” หลิวหลีกล่าว ใจเต้นรัว แต่ถ้าไม่เข้าถ้ำเสือ จะได้ลูกเสือได้อย่างไร
“พี่หลี่ สนใจหรือไม่” อู๋เจียงเชื้อเชิญ
“รบกวนพี่เฉินกับพี่อู๋ด้วย” หลิวหลีก็กินเบ็ดอย่างง่ายดาย
“พี่หลี่ เจ้าไม่รู้จักเขาต้าสิงหรือเมื่อก่อนบำเพ็ญเพียรที่ไหนหรือ” อู๋เจียงหยั่งเชิง
“เมื่อบรรลุเป็นเซียนก็ไปหาสถานที่เข้าฌาน พยายามบำเพ็ญเพียรจนตอนนี้พลังบำเพ็ญเพียรเข้าสู่ขั้นเทพเสวียนเซียนจึงเพิ่งจะกล้าออกมา” หลิวหลีโกหกตาไม่กระพริบ
“ไม่ทราบว่าพี่หลี่ใช้เวลานานเท่าไรจึงจะเข้าสู่ขั้นเทพเสวียนเซียนได้” เฉินหมิงกล่าวถามต่อ ไม่รู้ว่าอู๋เจียงสาดแป้งผงอะไรใส่หลิวหลี นางใช้เพลิงเซียนแอบทำลายผงนั้นด้วยใลหน้าเรียบเฉย และพูดคุยกับคนแปลกหน้าสองคนนี้ต่อ
“น่าจะประมาณหมื่นปี” หลิวหลีเดาจากเวลาของอาจารย์
“พี่หลี่ถือเป็นอัจฉริยะ ทำไมจึงไม่ขอเข้าไปอยู่ในวังนภาเพลิง ด้วยคุณสมบัติของพี่หลี่ จะต้องมีเจ้าตำหนักใดตำหนักหนึ่งสนใจแน่นอน” เฉินหมิงทำท่าทีตกใจ
“เฮ้อ ตอนข้าอยู่โลกเบื้องล่างข้าเป็นศิษย์มีสำนัก สามารถฝากตัวเข้า 2 สำนักได้หรือ” หลิวหลีกล่าวและมองเฉินหมิงกับอู๋เจียงอย่างใสซื่อ
อยู่ๆหลิวหลีก็รู้สึกเวียนหัว เดินเซไปเซมา
“พี่เฉิน อย่าขยับเยอะเลย ข้าดูแล้วเวียนหัว” หลิวหลีเอียงไปเอียงมาแล้วพูดขึ้น
“พี่หลี่ ข้าไม่ได้ขยับ” เฉินหมิงแสยะยิ้ม
“จริงหรือ หรือเกิดแผ่นดินไหว” หลิวหลีพยายามถ่างตาไว้ พูดจบก็หมดสติไป
“เด็กคนนี้อดทนได้นานจริงๆ ข้าก็ยังกลัวว่ายาจะออกฤทธิ์ตอนถึงแล้ว” เฉินหมิงกล่าวขณะใช้เท้าเขี่ยหลิวหลี
“เด็กคนนี้ดีกว่าทุกคนก่อนหน้า ดูสิอ้อนแอ้นขนาดนี้” อู๋เจียงลูบหน้าหลิวหลี ลื่นยิ่งกว่าผ้าแพรที่ทำมาจากไหมของตัวไหมเซียนเสียอีก
“ใช่แล้ว ยาชนิดนี้มีฤทธิ์แรงมาก ยังล้มเทพเทพเซียนสุขาวดีได้ นับประสาอะไรกับแค่เทพเสวียนเซียน”
“รีบไปกันเถอะ อย่าให้มีปัญหาตามมา” เฉินหมิงกล่าว แบกหลิวหลีและหายตัวไปอย่างรวดเร็ว
หลิวหลีสะลึมสะลือฟื้นขึ้นมาและพบว่าเหมือนตัวเองอยู่ในสถานที่ที่คล้ายกับถ้ำเหมืองแร่ ที่นี่คือที่ไหน หลิวหลีพยายามลองใช้พลังเซียนก็พบว่าพลังเซียนถูกผนึกเอาไว้
“ฟื้นแล้วหรือ”
“พี่เฉิน พี่อู๋ เกิดอะไรขึ้นกับข้า ทำไมข้าขยับไม่ได้” หลิวหลีทำหน้าสับสน ไร้หนทางยิ่งทำให้ดูมีเสน่ห์เย้ายวนมากขึ้นไปอีก
“ไม่เลว ครั้งนี้พวกเจ้าสองคนทำได้ดีมาก เป็นของดีจริงๆ” อยู่ๆก็มีเสียงผู้ชายปรากฏขึ้น มองหลิวหลีด้วยใบหน้าที่หิวโหย
“ขอบคุณผู้ดูแลหยาง” เฉินหมิงกับอู๋เจียงพูดอย่างดีอกดีใจ ดูท่าแล้วครั้งนี้พวกเขาทั้งสองคนคงจะได้ผลตอบแทนไม่น้อย
“แม่สาวงาม เดี๋ยวพี่จะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี” ผู้ดูแลหยางเข้ามาหาหลิวหลี แต่…
“เจ็บ เจ็บ เจ็บ” ผู้ดูแลหยางร้องตะโกนขึ้นเสียงดัง พลังเซียนถูกสะกดไว้แล้วไม่ใช่หรือ ทำไมถึงมีแรงเหลือมากขนาดนี้
“พวกเจ้าทั้งสองคนกล้าหลอกข้า” หลิวหลีมองไปที่เฉินหมิงกับอู๋เจียงด้วยใบหน้าเหลือเชื่อ
“นี่เป็นงานของพวกเราอยู่แล้ว หลอกพวกที่เพิ่งจะเป็นเซียนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรอย่างเจ้าโดยเฉพาะ พี่หลี่ท่านน่ะ เป็นของที่ดีที่สุดที่พวกช้าเคยเจอมา” เฉินหมิงพูดด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไป
“พลังเซียนของเจ้าถูกสะกดไว้แล้วไม่ใช่หรือ” ผู้ดูแลหยางรู้สึกว่าข้อมือของตัวเองเหมือนจะหัก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาชักมือกลับได้เร็ว ก็คงจะถูกเด็กหักเสียแล้ว
“เป็นพละกำลังของข้าที่มีมาตั้งแต่เกิด” หลิวหลียักไหล่ หากกล้าเข้ามาอีกจะจัดการพวกเจ้าทุกคนเลย
“ใครก็ได้ ส่งมันไปขุดแร่ที่ถ้ำเหมืองแร่ ให้ลิ้มรสความลำบากเสียหน่อย จะได้ว่านอนสอนง่ายหน่อย” ผู้ดูแลหยางพูดด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม
หลิวหลีไม่สนใจ ดังนั้นหลิวหลีจึงถูกส่งไปเหมือง
“ผู้ดูแลเหยา นี่เป็นเสี้ยนหนามที่เพิ่งมาใหม่ ผู้ดูแลหยางให้ส่งมาหาเจ้าที่นี่”
“มีคนไม่เชื่อฟังอีกแล้วหรือ ดูคนตรงนั้นก็น่าจะพอแล้ว” ผู้ดูแลเหยาชี้ไปที่บุคคลนิรนามที่หมดสภาพที่ถูกแขวนไว้อยู่ด้านบน
“อสูรเทพ” หลิวหลีตกใจ ทำไมอสูรเทพมาอยู่ที่นี่ หลิวหลีคาดว่าแขวนไว้ปี 2 ปีไม่เป็นไร ก็เลยไม่ดูต่อ
“นี่เอาไป เจ้าหนู ทุกปีจะต้องส่งมอบลูกแก้วเซียนอัคคี 500 ชิ้น ไม่เช่นนั้นก็รอโดนโบยได้เลย” ผู้ดูแลแซ่เหยาส่งจอบให้หลิวหลี แล้วผลักนางเข้าไปในถ้ำเหมืองแร่
“กลับไปบอกผู้ดูแลหยาง เพียงไม่นานก็จะถูกกำราบจนเชื่องแน่นอน” ผู้ดูแลเหยากล่าว
“ผู้ดูแลเหยา ขอตัวก่อน”
หลิวหลีเข้าถ้ำเหมืองแร่อย่างสงสัย ต่างจากถ้ำเหมืองแร่ในโลกเบื้องล่างที่นางเคยไป ที่แห่งนี้ เพียงแค่สูดหายใจลึก นางก็สัมผัสได้ถึงกระแสของพลังบำเพ็ญเพียร เป็นที่บำเพ็ญฝึกฝนที่ดี
แต่ลูกแก้วเซียนอัคคีก็ไม่ได้จะหาได้ง่ายๆ หนึ่งปีจะต้องส่ง 500 ชิ้น หลิวหลีไม่ได้รู้เลยว่า คนอื่นต้องส่งเพียง 100 ชิ้นต่อปีเท่านั้น เป็นเพราะพวกเขาต้องการให้นางยอมแพ้ต่อความยากลำบาก หลิวหลีรู้เรื่องนี้หลังจากที่ได้เจอกับคนงานเหมืองคนอื่นๆ
แต่ว่าเรื่องที่คนอื่นคิดว่ายาก สำหรับหลิวหลีกลับเป็นเรื่องง่าย นางเป็นร่างวิญญาณอัคคีมาตั้งแต่เกิด จึงมีสัมผัสที่ไวต่อสิ่งของที่มีอัคคีเป็นส่วนประกอบ บวกกับตอนนี้นางเป็นร่างวิญญาณเพลิงอัคคีผสม ยิ่งทำให้สัมผัสถึงอัคคีได้มากขึ้นกว่าเดิม
และเพลิงหยินหยางที่อยู่ภายในร่างกายร้องเรียกขึ้นมา
“ทำไม ที่นี่มีของที่เจ้าชอบหรือ?” หลิวหลีเลิกคิ้ว ดีที่ส่งนางมาที่ถ้ำเหมืองแร่ แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาจะคิดอย่างไร เมื่อรู้ว่าตัวเองส่งแกะเข้ากองหญ้า
“มีเพลิงเซียน”
“เจ้ายอมเปิดปากพูดแล้วหรือ ไม่ง่ายเลยจริงๆ” ในฐานะที่เป็นเพลิงอัคคีแปลงกาย 1 ใน 3 ชนิดของโลกเบื้องล่าง เพลิงหยินหยางรู้สึกเหมือนโดนกระทบกระเทือนจทางจิตใจ จนไม่อยากพูดอะไร แม้แต่กับพี่น้องของตนเอง เขาก็ไม่อยากพูดคุยด้วย
“รู้สึกผิด”
“มีอะไรน่ารู้สึกผิด พี่น้องของเจ้าไม่โทษเจ้าเสียหน่อย เจ้าเป็นเพียงแค่เปลวเพลิง การมองคนไม่ออกเป็นเรื่องปกติ พูดมาเถอะ ไปทางไหน” หลิวหลีถาม
“ทางซ้าย” เพลิงหยินหยางทำตัวล่องหน ทำไมคนที่เขาเจอคนแรกถึงไม่ใช่นายท่านผู้นี้
หลิวหลีย่อมไม่รู้ว่าเพลิงหยินหยางกำลังฟุ้งซ่าน นางเดินตามคำแนะนำ วนไปหลายรอบ แล้วไปเจอคนงานเหมือง
แต่ว่าดวงตาสองข้างไม่มีชีวิตชีวา เสื้อผ้าขาดรุ่ย โบกอุปกรณ์ราวเครื่องจักร นี่ถูกทรมานมานานเท่าไหร่แล้ว
หลิวหลีสงสารแต่ก็เดินหนีไป ก่อนจะเดินไปนางแอบดีดลูกไฟเข้าร่างคนผู้นั้น
ผู้ที่ดวงตาไร้ชีวิตชีวามองหลิวหลีที่อยู่ในชุดใหม่สะดุดตา ผู้เคราะห์ร้ายคนใหม่มาอีกคนแล้ว ตอนที่เขากำลังโบกอุปกรณ์ในมือก็พบว่า พลังเซียนที่ถูกผนึกในร่างกายก็เต้นตุบๆ หรือเป็นเพราะคนเมื่อครู่นะ เขาไม่ได้ถูกสะกดพลังเซียนหรือนี่
หลิวหลีเดินต่อตามคำแนะนำ เมื่อเจอกับคนงานเหมืองแร่ก็ดีดลูกไฟออกไป นางไม่ได้ช่วยคนพวกนั้นทันทีทันใด แต่ก็ไม่ควรจะประเมินลูกไฟของนางต่ำเกินไป
หลิวหลีนำป้ายบัญชาการของตำหนักเวิ่นเทียนออกมา แล้วปล่อยประสาทเซียนลงไปด้านใน
“ทหารทุกคนในตำนานเวิ่นเทียนจงฟังคำสั่ง รีบมาที่เขาต้าสิง รอฟังคำสั่ง อวิ๋นเฟย ไปเชิญผู้อาวุโสในขั้นเทพเซียนนภานพเก้าเผื่อด้วย จำไว้ ทุกอย่างต้องเป็นความลับ อย่าให้คนรู้เรื่องนี้มาก มีเรื่องสำคัญรอให้พวกเจ้ามาจัดการ”
ณ ตำหนักเวิ่นเทียน ทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเดิม อยู่ๆทุกคนก็ต้องตกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่นายท่านใช้ป้ายบัญชาการของตำหนักเกิดอะไรขึ้น
“น้อมรับคำสั่ง” ทุกคนพูดขึ้นพร้อมกัน
“ขุนนางอวิ๋น ไปเชิญผู้อาวุโสจูมา ผู้อาวุโสจูสนิทกับนายท่านที่สุด” ทหารนายหนึ่งเสนอขึ้น
“จื่อจู๋ เจ้านำทหารไปที่นั่นก่อน ข้าจะไปเชิญผู้อาวุโสจู” อวิ๋นเฟยกล่าว
“ได้”
……………