“ท่านพี่… ท่านรู้หรือยังว่าฮูหยินของเวิ่นเทียนมาที่วังนภาธารา” สุ่ยหลิงพูดกับพี่สาวทั้งสองคน
“แน่นอน นึกไม่ถึงเลยว่าจะกล้ามาที่ดินแดนนภาธารา พวกเราควรจะไปเจอสักหน่อย ให้ผู้หญิงที่หยาบกระด้างได้เห็นความโดดเด่นของผู้บำเพ็ญหญิงในวังนภาธารา เผื่อนางจะได้น้อยเนื้อต่ำใจที่สู้คนอื่นไม่ได้” สุ่ยหยากล่าว
“ได้ยินมาว่าฮูหยินของเวิ่นเทียนเป็นหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งในดินแดนนภาเพลิง” สุ่ยโหรวกล่าว
“หนุ่มรูปงามอันดับหนึ่ง ไม่ใช่สาวงามหรอกหรือ คิดว่าคงจะหน้าตาไม่เท่าไหร่นัก อีกอย่าง ดินแดนนภาเพลิงที่ป่าเถื่อนเช่นนั้น ผู้หญิงก็มีน้อยอยู่แล้ว ผู้หญิงเช่นนั้นได้รับเลือกให้เป็นความงามอันดับหนึ่ง คาดว่าคงจะไม่เคยเจอผู้หญิงวังนภาธาราของข้า ท่านพี่เราควรจะไปเจอเสียหน่อย ให้ผู้หญิงคนนั้นน้อยเนื้อต่ำใจจนต้องยอมจากไปเอง” สุ่ยหยากล่าว
“พี่รองพูดถูก พี่ใหญ่ พวกเราลองไปพบนางสักหน่อย” สุ่ยหลิงสนับสนุน
ณ ตำหนักหลิวหลี หลิวหลีพยายามทำตัวเป็นผู้หญิงที่เรียบร้อยอ่อนโยน ทำให้ทุกคนตกตะลึงในความงาม แทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสาวงามผู้นี้จะมาจากดินแดนนภาเพลิงที่มีความป่าเถื่อน
“ฮูหยินของนายท่านงดงามมากจริงๆ งามกว่าสามพี่น้องบ้านสกุลสุ่ยมากนัก”
“ใช่ ไหนบอกว่าดินแดนนภาเพลิงป่าเถื่อน เป็นเรื่องไร้สาระทั้งเพ ดูฮูหยินของนายท่านอ่อนโยนแค่ไหน ลูกศิษย์ในวังนภาธาราก็ยังไม่สามารถสู้ได้”
“อิจฉาฮูหยินของเจ้าตำหนักเวิ่นเทียนชัดๆเลย จงใจสร้างเรื่องให้นางเสียหน้าล่ะสิ”
“นายท่านเจ้าตำหนักสุ่ยโหรว เจ้าตำหนักสุ่ยหยา เจ้าตำหนักสุ่ยหลิงมาขอเข้าพบเจ้าค่ะ” อวิ๋นจูเข้ามากล่าวรายงาน ด้วยจุดประสงค์ถึงแม้ไม่พูดก็รู้กันดี
“เชิญ” หนานกงเวิ่นเทียนมองหลิวหลีทำตัวเป็นผู้หญิงที่เรียบร้อยด้วยความสนใจ นึกไม่ถึงเลยว่านังหนูของเขาจะสามารถเรียบร้อยได้ขนาดนี้ ไม่รู้ว่านังหนูของเขาจะสามารถแสดงไปได้นานเท่าไร กว่าจะหลุดตัวตนที่แท้จริงออกมา
“เจ้าตำหนักเวิ่นเทียน ท่านผู้นี้คือฮูหยินของท่าน” สุ่ยโหรวประหลาดใจเล็กน้อย สามพี่น้องรู้สึกตกใจ ถึงแม้จะแต่งกายธรรมดา ไม่แต่งหน้า แต่รูปหน้าที่งดงามเช่นนี้ทำให้พวกนางสามพี่น้องถึงกับกลายเป็นตัวประกอบไป นี่เป็นผู้หญิงที่มาจากดินแดนนภาเพลิงที่ป่าเถื่อนเช่นนั้นจริงๆหรือ อีกทั้งกิริยามารยาทก็ไม่ได้แตกต่างจากพวกนาง พวกนางดูเหมือนจะไม่มีข้อได้เปรียบอะไรเลยแม้แต่น้อย สมแล้วที่ได้ตำแหน่งความงามอันดับหนึ่งมาครอง
“ใช่ นี่คือคนของข้า นังหนู นี่คือเจ้าตำหนักสุ่ยโหรว เจ้าตำหนักสุ่ยหยา เจ้าตำหนักสุ่ยหลิง” หนานกงเวิ่นเทียนแนะนำ
“คารวะองค์หญิงทั้งสาม” หลิวหลีย่อตัวลงน้อยๆ จะให้นางทำความเคารพ พวกนางรับไหวหรือ เพราะอย่างไรเสียนางก็เป็นเจ้าตำหนักเหมือนกัน สถานะไม่เป็นรองพวกนาง
“ฮูหยิน” แพ้คนได้ แต่จะแพ้ด้านอื่นไม่ได้ ถึงทั้งสามคนจะเข้าใจอะไร แต่จะให้หัวหดคงไม่ได้ พวกนางจะแพ้ให้กับผู้หญิงที่มาจากดินแดนป่าเถื่อนเช่นนั้นได้อย่างไร
หลิวหลีค่อยๆทรุดตัวนั่งลงข้างหนานกงเวิ่นเทียนช้าๆ และส่งสายตาถามว่าผู้หญิง 3 คนนี้จัดการยากที่สุดเลยใช่ไหม หนานกงเวิ่นเทียนพยักหน้า ใช่แล้ว สามพี่น้องนี้น่ารำคาญที่สุด
“ไม่ทราบว่าฮูหยินเป็นคนที่ไหน?” สุ่ยหลิวกระพริบตาถามขึ้นอย่างใสซื่อ
“เป็นคนในดินแดนอสูรเทพ ตอนนี้ดำรงตำแหน่งเจ้าตำหนักของตำหนักเวิ่นเทียนในวังนภาเพลิง” หลิวหลีพูดอย่างเป็นการเป็นงาน เพื่อบอกพวกนางตรงๆว่า มีสถานะเท่าเทียมกัน อย่าเอาเรื่องสถานะมาพูดดีกว่า
“ตำหนักเวิ่นเทียน?” คู่นี้ก็ดูน่าอิจฉาไม่น้อย ใช้ชื่อของฝ่ายตรงข้ามมาตั้งเป็นชื่อตำหนัก
“ใช่” หลิวหลีพยักหน้า
“คาดว่าฮูหยินมาที่นี่ก็คงจะไม่ชินเท่าไรใช่หรือไม่” สุ่ยหยากล่าวถาม
“ไม่เลวเลย เหมือนมาพักผ่อนหย่อนใจ ดูผู้บำเพ็ญหญิงในวังนภาธาราสดใสมีชีวิตชีวา โดยเฉพาะเวิ่นเทียนถือเป็นอาหารตาของข้า จะต้องขอบคุณวังนภาธาราจริงๆ” หลิวหลีพูดใส่อารมณ์น้อยๆ
“คาดว่าฮูหยินอยู่ที่นี่ก็คงจะไม่ได้บำเพ็ญฝึกฝน จะไม่ตามหลังเวิ่นเทียนมากไปหรือ” สุ่ยโหรวกล่าว
“เฮ้อ อีกเพียงนิดเดียวก็จะเป็นเซียนนภานพเก้าแล้ว ข้าเพิ่งจะอายุพันกว่าปี ก็ควรจะพักบ้าง ให้ผู้บำเพ็ญที่บำเพ็ญเพียรมาเป็นหมื่นเป็นแสนปีได้พักหายใจบ้าง อ่อ เจ้าตำหนักทั้งสามท่าน ข้าไม่ได้หมายถึงพวกท่าน อย่าคิดมาก” หลิวหลีพูดไปได้ครึ่งหนึ่ง ก็รีบพูดอธิบาย แต่กลับดูเหมือนจงใจเหน็บแนมสามพี่น้องบ้านสกุลสุ่ยที่บำเพ็ญมาเป็นหมื่นปี แต่พลังบำเพ็ญเพียรก็ยังอยู่ในขั้นเซียนสุขาวดี
“ไม่หรอก” สุ่ยโหรวยิ้มแล้วพูดตอบ แต่ในใจกลับด่าว่าหลิวหลี นี่ไม่ได้เรียกว่าโอ้อวดเรียกว่าอะไร ยังเหน็บแนมว่าพวกนางเป็นโคแก่กินหญ้าอ่อน แล้วพวกนางก็โต้แย้งอะไรกลับไปไม่ได้ พวกนางบำเพ็ญมาหลายหมื่นปี แต่พลังบำเพ็ญเพียรยังคงอยู่แค่ขั้นเซียนสุขาวดีนั้นเป็นเรื่องจริง ทำให้พวกนางโต้แย้งอะไรไม่ได้
“ทั้งสามท่าน ข้าอาจจะต้องขอตัวก่อน เพราะอย่างไรเสียข้าเป็นเจ้าตำหนักของตำหนักเวิ่นเทียนในวังนภาเพลิง มาถึงที่นี่ ก็ควรจะไปทำความเคารพจักรพรรดินี ขอตัวก่อนเจ้าค่ะ” หลิวหลีกล่าวขอโทษ ไม่อยากทนแสดงให้พวกนางดูอีกแล้ว ส่งแขก
“หากเป็นเช่นนี้ พวกเราสามพี่น้องก็ขอตัวก่อน เจ้าตำหนักเวิ่นเทียน รบกวนแล้ว” สามพี่น้องจะไม่รู้ว่าหลิวหลีต้องการจะส่งแขกได้อย่างไร พวกนางโมโหจนหน้าดำแดง แต่ก็จำเป็นต้องกดอารมณ์เอาไว้
“นังหนู ทำไมถึงเลิกเล่นเร็วขนาดนี้” หนานกงเวิ่นเทียนมองหลิวหลีที่เลิกแสดง หลังจากที่พวกสุ่ยโหรวสามพี่น้องจากไป
“เล่นอะไรอีกล่ะ ก็มีแค่นั้นแหละ ใครจะไปเล่นกับพวกนาง บำเพ็ญมาตั้งหลายหมื่นปีแล้ว พลังบำเพ็ญเพียรยังอยู่ในขั้นเซียนสุขาวดี กล้าดีอย่างไรมาแย่งผู้ชายกับข้า หน้าตาสู้ข้าไม่ได้ พลังบำเพ็ญเพียรสู้ข้าไม่ได้ มีเพียงอย่างเดียวที่ชนะข้าคือ อายุ เฮ้อ ไม่มีอะไรที่ชนะข้าได้เลย” หลิวหลีพูดเป็นฉากๆ หนานกงเวิ่นเทียนอดที่จะหัวเราะไม่ได้ นังหนูคนนี้ทำให้คนโมโหตายได้เลยจริงๆ
“ท่านพี่ นึกไม่ถึงว่าหลิวหลีจะสมคำล่ำลือจริงๆ เป็นสาวงาม พวกเราจะไม่ยอมก็คงจะไม่ได้” สุ่ยหลิงเศร้าใจน้อยๆ
“ที่น่าโมโหที่สุดเลยก็คือ เหน็บแนมว่าพวกเราบำเพ็ญมาแล้วหลายหมื่นปีพลังบำเพ็ญเพียรก็อยู่แค่ในขั้นเซียนสุขาวดี” สุ่ยหยารู้สึกโมโหน้อยๆ
“พอได้แล้ว ที่นางพูดมาเป็นเรื่องจริง เจ้าตำหนักหลิวหลีแห่งวังนภาเพลิง เพิ่งจะอายุพันกว่าปี ก็เป็นเซียนสุวรรณนภาแล้ว” เมื่อสุ่ยโหรวเห็นน้องสาวสองคนพูดจาเหน็บแนม
“ใครจะไปรู้ นางอาจจะได้รับประโยชน์จากการบำเพ็ญคู่ก็ได้” สุ่ยหยาบ่นอุบอิบ
“สุ่ยหยา ข้าบอกว่าพอได้แล้ว ถึงเป็นการบำเพ็ญคู่แล้วอย่างไร เวิ่นเทียนยินดีที่จะบำเพ็ญกับนางเท่านั้น ถึงเจ้าพูดมากไปกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ ข้าพบว่าข้าควรจะคิดเรื่องการบำเพ็ญฝึกฝนมากกว่า” สุ่ยโหรวพูดกับสุ่ยหยาด้วยท่าทีจริงจัง เมื่อคิดได้ว่าการบำเพ็ญฝึกฝนบรรลุขั้นเป็นสิ่งที่นางควรจะทำมากที่สุด หากต้องทำเพื่อผู้ชายคนเดียวที่ไม่มีใจให้แก่นางนั้น นางคิดว่าไม่คุ้มค่า นางขอยอมแพ้
“ท่านพี่ ยอมแพ้แล้วหรือ” สุ่ยหยานึกไม่ถึงว่าพี่ใหญ่ที่ชอบเอาชนะมาตลอดของนาง จะยอมแพ้เช่นนี้
“ไม่ยอมแพ้แล้วอย่างไร เจ้าคิดว่าทำไมหลิวหลีจะต้องมาที่นี่ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเวิ่นเทียนรำคาญพวกเรา ต้องการจะทำให้พวกเราถอดใจ ข้าเพิ่งเห็นว่า พวกเขาสองคนเหมาะสมกันมากจริงๆ” สุ่ยโหรวถอนหายใจ สองคนนั้นอยู่ด้วยกัน แค่เพียงสายตาก็สามารถสื่อถึงกันได้ นางอิจฉาเป็นอย่างมาก ทั้งสองคนเหมือนเป็นมังกรกับหงส์ที่เคียงคู่กัน
“แต่ข้าไม่ยอม” สุ่ยหยาโวยวาย กว่าจะเจอผู้ชายถูกใจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่กลับเป็นคนมีเจ้าของ อีกทั้งยังมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง
“ไม่พอใจแล้วอย่างไร นึกถึงตอนนั้นที่พวกเราบอกกับเสด็จแม่ว่าจะปรนนิบัติสามีคนเดียวกัน ช่างน่าขันยิ่งนัก” สุ่ยโหรวนึกถึงความโง่เขลาของตัวเองในตอนนั้น เสด็จแม่ของพวกนางคงจะรู้ว่าพวกนางไม่มีโอกาส ตอนนั้นก็เลยไม่ได้ห้ามพวกนางทั้งสามคน
ส่วนฟากหนานกงเวิ่นเทียนก็พาหลิวหลีไปคารวะจักรพรรดินี ในที่สุดนางก็ได้เห็นหน้าหลิวหลีที่เคยได้ยินแต่ชื่อแต่ไม่เคยเจอตัว ช่างเป็นสาวงามที่สมคำร่ำลือจริงๆ จะเรียกได้ว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งในโลกเซียนเลยก็ว่าได้
“ถวายบังคม จักรพรรดินี ข้ามาโดยพละการ ขอทรงเมตตา” หลิวหลีทำความเคารพจักรพรรดินีด้วยความนอบน้อม
“เจ้าตำหนักหลิวหลีไม่ต้องเกรงใจ” จักรพรรดินีได้เห็นหลิวหลีครั้งแรกก็รู้สึกชื่นชอบอีกฝ่าย บนตัวของนางมีความงามของผู้หญิงที่ควรจะมี แต่ไม่ได้ดูเย้ายวน แถมยังดูเป็นคนสบายๆ เมื่อรวมกันไม่ขัดแย้งกันแต่กลับเข้ากันได้อย่างดี ทำให้คนพบเห็นรู้สึกสบายตา น่าเสียดาย ผู้หญิงคนนี้เป็นผู้บำเพ็ญธาตุอัคคี ไม่เช่นนั้นถึงนางจะไม่ได้บำเพ็ญธาตุวารีเป็นหลัก ก็จะต้องแย่งนางมาที่ดินแดนนภาธาราให้ได้
“ฝ่าบาท หลิวหลีอยากจะขออาศัยอยู่ที่นี่สักพัก แต่ว่าจะไม่อยู่เปล่า ข้าจะจ่ายค่าเช่าให้นะเพคะ” หลิวหลียิ้มแล้วพูดขึ้น
“เรื่องนั้นไม่ต้องหรอก ครั้งนี้หลิวหลีมาในฐานะฮูหยินของเวิ่นเทียน ก็ถือว่าเป็นคนของวังนภาธาราครึ่งหนึ่ง” จักรพรรดินีส่ายหัวแล้วพูดขึ้น นังหนูคนนี้ช่างทำให้คนหลงใหลได้จริงๆ
“หากเป็นเช่นนี้ ข้าก็ขอน้อมรับไว้แล้วกัน” หลิวหลีก็ไม่อิดออดแต่อย่างใด
“จักรพรรดินี ท่านขาดทุนแล้ว หลิวหลีเป็นถึงเซียนนักปรุงยา” หนานกงเวิ่นเทียนเอ่ยปากพูดขึ้น
“อ่อ ถ้าเป็นเช่นนี้ ข้าขาดทุนแล้วจริงๆ” จักรพรรดินีเข้าใจ แต่ก็ไม่ได้สนใจ
“องค์จักรพรรดินี หากมีเรื่องอะไรทรงเรียกหลิวหลีได้เลยนะเพคะ” หลิวหลีให้คำมั่นสัญญา
“ได้” จักรพรรดินีทรงไม่อิดออด แต่ไม่รู้ว่า อีกไม่นานจะต้องรู้สึกขอบคุณหลิวหลีเป็นอย่างมาก
“ถ้าเป็นเช่นนี้ จักรพรรดินี ข้าขอพาตัวหลิวหลีไปก่อน” หนานกงเวิ่นเทียนรู้สึกว่าในเมื่อเจอเจ้าบ้านแล้ว พวกเขาก็ควรจะไปได้แล้ว
“ไปเถอะ”
“นังหนู ข้ารู้สึกว่าจักรพรรดินีขาดทุนแล้ว” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว
“ขาดทุนหรือ? ได้กำไรมากกว่า คำสัญญาของข้ามีค่ามากนะ” หลิวหลีเบะปาก
“น่าเสียดาย จักรพรรดินียังไม่รู้คุณค่าของมัน” หนานกงเวิ่นเทียนส่ายหัวแล้วพูดขึ้น
“ไม่เป็นไร ไม่รู้คุณค่าของมันดีที่สุด ไม่เช่นนั้น ข้าก็คงไม่มีเวลาอยู่กับสามีของข้า หากว่าพวกผู้หญิงพวกนั้นมีความคิดแผลงๆอีกจะทำอย่างไร” หลิวหลียิ้มอย่างชั่วร้าย แล้วพูดขึ้น
“ซนจริงๆเลย” หนานกงเวิ่นเทียนแตะจมูกของหลิวหลีเบาๆ พวกสุ่ยโหรวมาเห็นเข้าพอดี พวกนางจึงได้เห็นว่าไม่มีทางที่คนที่สามจะสามารถเข้าไปแทรกระหว่างพวกเขาสองคน
“ควรจะยอมแพ้ได้แล้ว ยอมแพ้แล้วจริงๆ” สุ่ยโหรวกล่าว
“พวกเจ้าคิดได้ แม่ก็ดีใจ” เสียงของจักรพรรดินีลอยเข้ามา
“เสด็จแม่”
“เอาเถอะ ไม่ต้องมากพิธี มีเพียงแต่รู้ด้วยตัวเองเท่านั้น จึงจะเรียกว่ารู้จริง”
“ลูกเข้าใจ ลำบากเสด็จแม่ให้กังวลใจมาหลายปี” สุ่ยโหรวกล่าว ตอนนี้นางเข้าใจการกระทำของเสด็จแม่ในตอนนั้นแล้ว
……………………….