หลงเฟยหยางกับเอ๋าเฟิงมาถึงดินแดนนภาเพลิงอีกครั้ง เพียงแต่ว่าลูกหลานของพวกเขาเป็นฮูหยินที่วังนภาธาราแล้ว แปลว่าพวกเขาต้องมีจุดประสงค์อื่นจึงมา
“ที่ท่านทั้งสองหมายถึง คือร่างเดิมเป็นจิ้งจองสีทองใช่หรือไม่” จักรพรรดิกล่าว หลังจากที่หลิวหลีไปแล้ว จิ้งจอกตัวนี้ก็เป็นที่รักไม่น้อย เพราะคำพูดของหลิวหลี จึงผู้บำเพ็ญหญิงในวังนภาเพลิงต่างพากันโวยวาย จนท้ายที่สุดแล้วตอนนี้เจ้าจิ้งจอกน่าจะอยู่กับลูกสาวของเขา หงซวี่
“ใช่” หลงเฟยหยางตกใจเล็กน้อย ทำไมถึงกลับร่างเดิมได้ล่ะ
“ชายผู้นั้นเป็นคนที่หลิวหลีช่วยมาจากถ้ำเหมืองแร่ น่าเวทนาไม่น้อย” ส่วนคนผู้นั้นทำอะไร จนทำให้หลิวหลีโมโหจนทำให้เขากลับสู่ร่างเดิม เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก็เดาว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับสามีของนังหนู
“ถ้ำเหมืองแร่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่” เอ๋าเฟิงรู้สึกว่าต้องมีเรื่องอะไรแน่
จนจักรพรรดิเล่าเรื่องราวทั้งหมด ทั้งสองคนก็ทำสีหน้าเคร่งเครียด
“มีปีศาจเงาหลงเหลืออยู่หรือ ตอนนั้นพวกเราลงทุนลงแรงไปตั้งมาก กว่าจะจัดการเผาปีศาจเงาได้ นึกว่าที่หนีไป 2-3 ตัวจะทำอะไรไม่ได้ ใครจะไปนึกว่าพวกเขาคิดจะทำการใหญ่ ยังคิดจะกลับมา เรื่องครั้งนี้น่าจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ กล้าจับแม้กระทั่งคนของดินแดนอสูรเทพของข้า เจ็บใจนัก” หลงเฟยหยางพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เผ่าปีศาจเงาในตอนนั้นเป็นดังฝันร้าย กว่าจะถอนรากถอนโคนได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่กลับมีผู้รอดชีวิตกลับมาสร้างปัญหา ไฟแห่งความทะเยอทะยานนี้เผาไม่มอดจริงๆ เพียงลมพัดก็กลับมาลุกโชนอีก
“ก็ใช่น่ะสิ นังหนูเดิมทีถูกข้ากักบริเวณ ใครจะไปรู้ว่าอยู่ๆจะออกไปเป็นฮูหยินของเจ้าตำหนักอะไรนั่น แล้วจิ้งจอกตัวนี้ก็ปรากฏตัวขึ้น ฟังจากคำพูดของนังหนู ก็พอจะรู้ได้ว่าเจ้าจิ้งจอกตัวนี้เป็นของรักของนาง ผู้บำเพ็ญหญิงเกือบจะลงไม้ลงมือกัน เพื่อแย่งชิงเจ้าจิ้งจอกตัวนั้น ถึงกับคิดจะแยกจิ้งจอกตัวนี้ออกเป็นส่วนๆเลยทีเดียว ตอนนี้จิ้งจอกเจอคนก็ยังหวาดกลัว” จักรพรรดิทรงนึกถึงสภาพน่าเวทนาของจิ้งจอก นึกไม่ถึงว่านังหนูจะใจร้ายขนาดนี้ ยามลงโทษคนอื่นนางก็โจมตีที่จุดอ่อนของอีกฝ่ายเน้นๆ
“แค่กๆ ท่านพอจะพาเจ้าจิ้งจอกตัวนั้นมาได้หรือไม่ อย่างไรเสียก็เป็นเด็กซนของดินแดนอสูรเทพของข้า” เอ๋าเฟิงกล่าว เขาสงสัยว่าเด็กคนนั้นทำอะไร ถึงทำให้นังหนูหลิวหลีโมโหได้ขนาดนั้น
จนกระทั่งนางกำนัลอุ้มเจ้าจิ้งจอกมา ทั้งสามจึงพบว่าจิ้งจอกตัวนี้โมโหอย่างมาก สีหน้าหม่นหมอง ทันทีที่เห็นเอ๋าเฟิงกับหลงเฟยหยางก็มีอารมณ์ แจ้นไปตรงหน้าพวกเขาและเริ่มฟ้อง
“ท่านปู่เฟยหยาง ท่านปู่เฟิง มีคนนิสัยไม่ดี ข้าในช่วงนี้ช่างน่าสงสารนัก โดนดึงขนจนแทบไม่เหลือแล้ว” หยวนชิงสะอึกสะอื้น นังหนูคนนั้นใจร้ายจริงๆ แค่ล้อเล่นนิดเดียว กลับทำกับเขาถึงขนาดนี้ ฮือ ฮือ ฮือ โลกข้างนอกช่างน่ากลัวจริงๆ ท่านปู่รีบพาข้ากลับบ้านเถอะ เขาไม่อยากรู้แล้วว่าโลกข้างนอกเป็นอย่างไร นอกจากจะมีพวกค้าอสูรแล้วก็ยังมีคนใจร้าย เขาก็แค่ล้อเล่น แต่กลับทำกับเขาเช่นนี้
“พอได้แล้ว ยังขายหน้าไม่พอหรือ จะให้ส่งเจ้ากลับไปไหม” เอ๋าเฟิงสะบัดหนึ่งครั้ง ก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นแทนเจ้าจิ้งจอก
“ยังไม่ทำความเคารพจักรพรรดินภาเพลิงอีก” หลงเฟยหยางกล่าว ดินแดนอสูรเทพของพวกเขาทำไมถึงมีผู้โง่เขลาเช่นนี้ ไม่แม้แต่จะดูสถานการณ์
“หยวนชิงถวายบังคมจักรพรรดินภาเพลิง” หยวนชิงกล่าวพร้อมทำสีหน้าเรียบเฉย ราวลืมเรื่องโง่เขลาที่ตนเองทำเมื่อครู่
“ถ้าเช่นนั้น พวกข้าขอตัวก่อน” เอ๋าเฟิงกล่าว รีบพาเจ้าโง่นี่กลับไป ช่างขายหน้าดินแดนอสูรเทพจริงๆ รีบพาความอัปยศนี้ออกไป
“เหอะๆ รีบไปขนาดนี้เชียวหรือ ข้าไม่หัวเราะเยาะหรอก” จักรพรรดิทรงเห็นเงาของทั้ง 3 คนหายไปแล้วจึงตรัสพลางหัวเราะ
ณ ดินแดนอสูรเทพ บ้านสกุลหลง
“เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาทั้งหมด ไม่เช่นนั้นอย่าคิดว่าข้าจะช่วยขอร้องให้เจ้า” หลงเฟยหยางกับเอ๋าเฟิงดื่มชา และมองหยวนชิงที่ใบหน้าอับจนหนทาง ดีจริงๆ คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะถูกผู้บำเพ็ญที่เพิ่งจะบรรลุเป็นเซียน อายุพันกว่าปี ทำให้กลับร่างเดิม แต่ทำไมนังหนูคนนั้นถึงได้เก่งขนาดนี้กันนะ ถึงขนาดสามารถทำให้อสูรเทพกลับคืนร่างเดิมได้
“ดังนั้นแปลว่าจ้าถูกคนหลอกขายไปที่เขาเหมืองแร่ แล้วเพราะหน้าตาเลยเกือบถูกคนล่วงเกิน ต่อมาถูกแขวนไว้อยู่ที่เขาเหมืองแร่ไม่รู้กี่ปี จนสุดท้ายได้นังหนูหลิวหลีไปช่วยกลับมา” หลงเฟยหยางสรุปเรื่องราวโดยย่อ
“เช่นนั้นข้าขอพูดหน่อยเถอะ เจ้าถูกโจมตีจนกลับคืนร่างเดิมได้อย่างไร นี่ไม่ใช่เรื่องที่โดนห้อยตากแดกดหลายปีแล้วจะทำได้” เอ๋าเฟิงพูดพร้อมกับเป่าชาเซียนไปด้วย
“เรื่องนี้ไม่พูดได้หรือไม่” หยวนชิงเอามือปิดหน้า ขายหน้าจนไปถึงบรรพชนแล้ว
“เจ้าคิดว่าได้ไหมล่ะ” เอ๋าเฟิงมองเขาแล้วส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
“ดังนั้นเจ้ากำลังจะบอกว่า เจ้าถูกหลิวหลีตีจนกลับร่างเดิม” เอ๋าเฟิงแทบไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง
“เป็นไปได้อย่างไรกัน ถึงนังหนูจะเก่งเพียงใดแต่ก็ไม่อาจทำให้อสูรเทพกลับคืนสู่ร่างเดิมได้” หลงเฟยหยางก็รู้สึกว่าตัวเองหูฝาดไป เขามั่นใจแล้วว่าหลิวหลีเป็นคนสกุลหลงจริงๆ
“ฟังจากที่นางพูด ตอนนางอยู่โลกเบื้องล่างนางเคยเข้าไปในแดนลี้ลับของโลกอสูรเทพ และได้รับคำอวยพรจากอสูรเทพ จึงมีพลังอำนาจของอสูรเทพบรรพกาล” หยวนชิงนึกถึงคำพูดของหลิวหลี
“คิดไม่ถึงว่าจะเข้าไปได้ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามีคนเข้าไปในแดนลับแห่งนั้นได้ แถมยังได้รับคำอวยพรจากอสูรเทพ คงไม่ใช่แค่นี้ใช่ไหม อาเฟิง รีบไปเรียกเด็กสามคนนั้นมา พวกเขาต้องรู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” หลงเฟยหยางหน้าแดงก่ำ เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“ใช่” เอ๋าเฟิงตั้งสติได้ ผลคือไม่ใช่แค่เด็กสามคนเท่านั้นที่มา เฟิ่งซานก็เดินตามมาเช่นกัน
“ไม่ทราบว่าท่านเรียกพวกข้าสามคนมา มีเรื่องอันใดหรือ” เอ๋าเลี่ยถาม ก็ไหนบอกว่าหากยังไม่ถึงการประลองครั้งใหญ่ ไม่ให้พวกเขาออกมาไม่ใช่หรือ ทำไมอยู่ดีๆก็รีบร้อนเรียกหาพวกเขา
“เอ๋าเลี่ย จื่อฉี พวกเจ้าเคยเป็นคู่พันธสัญญาของนังหนู ข้าขอถามหน่อย ตอนนั้นนังหนูเคยเข้าไปในสุสานบรรพบุรุษใช่หรือไม่” หลงเฟยหยางถามตรงๆ เฟิ่งซานที่อยู่ข้างๆเดิมเขาแค่อยากรู้ แต่นึกไม่ถึงว่าจะได้ฟังเรื่องใหญ่เช่นนี้
“ใช่แล้ว” สามคนสบตากัน นังหนูก็แค่เข้าไปในสุสานบรรพบุรุษไม่ใช่หรือ ทำไมเหล่าบรรพชนถึงได้ดูตื่นเต้นกันขนาดนี้
“อสูรเทพคุ้มครอง พวกเจ้าทั้งสามตอบมาตามจริง นังหนูได้อะไรกลับมาบ้าง” เอ๋าเฟิงตื่นเต้นน้อยๆ แล้วก็ถามทั้งสามคน
“นางจะได้อะไรกลับมาก็เป็นความสามารถของนาง พวกท่านคิดจะทำอะไร” เอ๋าเลี่ยพูดอย่างความระมัดระวัง พูดตามตรง ถึงแม้พวกเขาจะเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน แต่คนที่สนิทจริงๆ ก็ยังคงเป็นนังหนูอยู่ดี
“เจ้าหนู เจ้าเข้าใจผิดแล้ว พวกเราไม่ได้คิดร้ายกับนังหนู เจ้าไม่รู้ว่าการเข้าไปในสุสานบรรพบุรุษ สำหรับเราหมายความว่าอะไร พูดตรงๆเลยนะ นังหนูจะบรรลุเป็นเทพในอีกหมื่นปีแน่นอน” หลงเฟยหยางเห็นเด็กทั้งสามคนระมัดระวังมากขึ้น จึงพูดอธิบาย
“พี่เอ๋าเลี่ย พวกเขาพูดเรื่องจริงนะ” จื่อฉีพูดพลางดึงชายเสื้อของเอ๋าเลี่ยน เอ๋าเลี่ยกับเฟิ่งอิงเสวี่ยจึงคลายความระแวงลง
“เจ้าหนู เจ้ารู้ว่าพวกข้าพูดจริงหรือเท็จหรือ” เฟิ่งซ่านมองยอดอสูรเทพที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์อย่างสนอกสนใจ
“ใช่ ข้าสามารถมองทุกสรรพสิ่งได้อย่างทะลุปรุโปร่ง” จื่อฉีพูดด้วยความภูมิใจ
“เนตรกิเลน” เอ๋าเฟิงมองจื่อฉีอย่างละเอียด นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้เห็นของสิ่งนี้
“เป็นเนตรกิเลนที่มองทะลุทุกสิ่งอย่างหรือ” เฟิ่งซานก็ตกใจเช่นกัน
“เจ้าหนู นี่ไม่ใช่ของที่ติดตัวเจ้ามาตั้งแต่เกิดใช่หรือไม่” เอ๋าเฟิงพูดอย่างมั่นใจ
“ใช่ขอรับ หลอมรวมกับเนตรกิเลนบรรพกาล” จื่อฉียอมรับอย่างเปิดเผย
“ฮ่าฮ่า คิดไม่ถึงว่าจะมีโอกาสที่โชคดีและอัศจรรย์เช่นนี้” เอ๋าเฟิงดีใจอย่างถึงที่สุด
“อะไรคือโอกาส คือความโชคดี ข้าเป็นคู่พันธสัญญาของท่านพี่ นางให้มา” จื่อฉีกลอกตาใส่เอ๋าเฟิง เขาโชคดีจริงๆนั่นแหละที่ตอนนั้นดึงดันจะผูกพันธสัญญากับพี่สาว เป็นการเลือกที่ถูกต้องที่สุดของเขา
“ท่านพี่ หลิวหลี” ทั้งสามคนเพิ่งจะเข้าใจ หลิวหลีเป็นคนให้นี่เอง หยวนชิงที่อยู่ข้างๆรู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่โลกเดียวกับพวกเขา ฟังอะไรไม่ค่อยรู้เรื่อง
“เอาเถอะ ในเมื่อจื่อฉีบอกว่าพวกท่านไม่ได้คิดร้ายอะไรกับนังหนู จะบอกพวกท่านแล้วกัน ตอนนั้นนังหนูได้รับการยอมรับจากอสูรเทพบรรพกาล และได้รับดวงใจมังกร ข้าเป็นคนดูดซึมเข้าไป ส่วนดวงใจหงส์นั้น อิงเสวี่ยได้ไป และนางมอบเนตรกิเลนให้จื่อฉี และนางยังมอบเลือดบริสุทธิ์จากอสูรเทพทั้งห้าตัว ตัวละ 3 หยดให้กับห้าสกุลใหญ่และเผ่าอสูรเทพทั้งห้าในโลกเบื้องล่างคนละ 1 หยด นังหนูดื่มไปหนึ่งหยด เจ้าหนูดื่มไปหนึ่งหยด มีจิ้งจอกเก้าหางตัวหนึ่งดื่มไปหนึ่งหยด จิงเฟยเด็กบ้านสกุลฮัวดื่มไปหนึ่งหยด หยดสุดท้ายมอบให้กับเสียวเสี่ยวจากสกุลหลง” เอ๋าเลี่ยกล่าว
“สกุลหลง?”
“เด็กบ้านสกุลหลินน่ะ แต่เพราะบ้านสกุลหลินไม่ได้ความ นังหนูคนนั้นจึงได้อยู่ในรายชื่อสกุลหลง เป็นร่างดวงจิตสวรรค์ คาดว่าคงจะใกล้บรรลุเป็นเซียนแล้ว” เอ๋าเลี่ยอธิบาย
“สกุลหลินขาดทุนไม่น้อยทีเดียว” อยู่ๆหลงเฟยหยางก็ตัวลอย เป็นทายาทสกุลหลงนี่เอง
“แล้วเรื่องหยวนเทียนเกิดขึ้นได้อย่างไร” ควรจะให้ลูกหลานของห้าสกุลใหญ่ไม่ใช่หรือ ทำไมถึงมีจิ้งจอกโผล่ออกมา
“แค่กๆ ตอนนั้นที่พวกสกุลจ้านรังแกนังหนู ต้องการบังคับให้นางทำพันธสัญญากับจื่อฉี จึงทำให้นังหนูโมโห คนสกุลจ้าน นอกจากพ่อของนาง กับท่านลุงใหญ่แล้วนังหนูไม่ข้องแวะกับคนสกุลจ้านคนอื่นเลยสักคน” เอ๋าเลี่ยอธิบาย
“จะให้นังหนูยอมไปสกุลจ้านในโลกเซียนได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” เฟิ่งซานทอดถอนใจ แค่เพราะเป็นคู่พันธสัญญาของสามีนาง นางก็ยอมมอบดวงใจหงส์ที่ล้ำค่าให้นังหนูสกุลเฟิ่ง ช่างลำเอียงจริงๆ แต่เขาชอบนาง
“ของชิ้นสุดท้าย พลังอำนาจล่ะ” เอ๋าเฟิงถามคำถามสำคัญ
“อสูรเทพชอบนังหนู จึงมอบของขวัญชิ้นพิเศษมา จะเรียกว่านังหนูเป็นอสูรเทพในร่างมนุษย์ก็ได้” เอ๋าเลี่ยอธิบายจบ
“เอ่อ อยู่ๆข้าก็รู้สึกสงสารเจ้าหนูสกุลหนานกงขึ้นมา” เมื่อหลงเฟยหยางฟังจบ ก็เกิดความคิดเช่นนี้
“ข้าก็เช่นกัน” เอ๋าเฟิงก็พูดเช่นนี้ ด้วยพละกำลังของนังหนู เจ้าหนุ่มเวิ่นเทียนแห่งสกุลหนานกงคงลำบากเข้าแล้วจริงๆ
“ข้าไปพูดกับอาเฉินหน่อยดีไหม” เฟิ่งซานรู้สึกสงสารลูกหลานสกุลหนานกงขึ้นมา
“หรือจะหาบ้านเล็กให้นังหนูดีไหม” หลงเฟยหยางเสนอ
“ท่านไม่เห็นตัวอย่างนี้หรือ อยากให้ดินแดนอสูรเทพกลายเป็นสวนสัตว์หรืออย่างไร” เอ๋าเลี่ยมองตาขวางใส่หยวนชิงที่นั่งนิ่งๆมานาน
“ก็จริง” หลงเฟยหยางมองหยวนชิงอย่างสงสารจับใจ นังหนูก็ใจแคบเกินไป เจ้าหนูสกุลหนานกงคนนั้นสั่งสมบุญบารมีมาตั้งแต่ชาติปางไหนหรือนี่
……………………….