เรื่องที่หลิวหลีกับสามีของนางบรรลุเป็นเซียนนภานพเก้าทั้งคู่ กลายเป็นข่าวใหญ่ที่สุดในวังนภาเพลิง
“เดิมข้านึกว่าอยู่ในขั้นเซียนสุวรรณนภาแล้วจะใกล้เคียงกับนางมากขึ้น ใครรู้ว่าถูกนำไปไกลกว่าเดิม” หลังจากที่เหลยจ้านรู้ ก็ฝืนยิ้มออกมา เขาไล่ตามรอยเท้าของหลิวหลีมาโดยตลอด ใครจะรู้ว่าจะลำบากขนาดนี้ แทบจะตามรอยนางไม่ทันด้วยซ้ำไป ดังนั้นคนที่จะเป็นคู่ครองของนางได้นั้น จะต้องเป็นคนที่มีความสามารถเทียบเท่ากับนาง เขายอมแพ้แล้ว
“เป็นถึงเซียนนภานพเก้าแล้ว ข้าเห็นคนผู้นี้เป็นเป้าหมาย นี่ข้าตั้งเป้าไว้สูงเกินไปหรือว่าข้าพยายามไม่มากพอกันแน่” หรูหรงผิดหวังน้อยๆ นางนึกว่าจะได้เป็นเจ้าตำหนักเหมือนกัน ใครจะรู้ว่าจะแตกต่างชัดเจนขนาดนี้
“ก่อนนี้ข้าพอใจในความสามารถของตนเองมากเกินไป มองแคบเกินไปจ้องแค่พื้นที่เล็กๆในวังนภาเพลิง ตอนนี้ข้าจะต้องพยายามจึงจะถูก” เมื่อหงซวี่รู้ข่าว สองสามีภรรยามีพลังบำเพ็ญเพียรเท่ากัน แปลว่าอะไร นั่นหมายความว่าคู่ครองของนางก็โดดเด่นเช่นเดียวกัน
“เซียนนภานพเก้า ความกดดันในช่วงพันปีนี้ช่างหนักหนาจริงๆ ข้าเองควรต้องพยายามจึงจะถูก” ไป๋อี้รู้สึกว่าเป็นเจ้าตำหนักเหมือนกัน จะปล่อยให้เกิดความแตกต่างกันมากไม่ได้ ไม่เช่นนั้นทหารสวรรค์ที่อยู่ภายใต้การปกครองของพวกเขาอาจไม่มั่นใจได้
เจ้าตำหนักอื่นๆที่เหลือก็เช่นเดียวกัน พวกเขาต่างรู้สึกกดดันเพราะหลิวหลี
ณ วังนภาธารา จักรพรรดินีองก็ได้ข่าวเรื่องที่เวิ่นเทียนกลายเป็นเซียนนภานพเก้า เซียนนักปรุงยาที่ช่วยเหลือลูกสาวของนางคนนั้นก็เช่นกัน ยอดฝีมือมีคู่ครองที่โดดเด่นเทียบเท่ากันจริงๆ บุตรสาวของนางจะต้องพยายามถึงจะถูกต้อง เมื่อ 4,000 ปีก่อน ในที่สุดลูกสาวคนเล็กของนางก็กินยาเซียนศักดิ์สิทธิ์จนได้รสชาติที่แตกต่างจนสามารถกลับมาบำเพ็ญเพียร และก็ได้พบว่าถึงแม้ 1,000 ปีที่ผ่านมาจะไม่ได้ฝึกบำเพ็ญ แต่ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรนั้นรวดเร็วกว่าเดิมอย่างยิ่ง จักรพรรดินีถึงกับตกใจ จึงตรวจร่างกายของนาง แล้วพบว่าหลิวหลีไม่เพียงแต่ขจัดสิ่งแปลกปลอมในร่างกายนางแต่ยังช่วยขจัดสิ่งอุดตันภายในเส้นลมปราณของนางเมื่อบวกกับประสิทธิภาพของยา ทำให้เส้นลมปราณขยายตัวไม่น้อย ของขวัญขอบคุณที่ตนเองเตรียมในตอนนั้น ดูเหมือนจะน้อยเกินไป นี่ถือเป็นบุญคุณครั้งใหญ่ เมื่อพี่สาวทั้งสองคนของสุ่ยหลิงรู้เข้า สุ่ยหยาก็พูดออกมาว่าถ้าตอนนั้นนางเป็นคนที่ป่วยก็คงจะดี ถึงแม้สุ่ยโหรวจะไม่ได้พูดออกมาแต่ก็รู้สึกอิจฉาน้องสาวของตัวเองมากไม่น้อย อยู่ๆสุ่ยหลิงก็รู้สึกว่าการกินยาขมของตนเองไม่เสียเปล่า อย่างน้อยนางก็พอใจกับผลที่ได้รับ แต่เมื่อเห็นผลลัพธ์ของมันนางก็จะสามารถชดเชยพลังบำเพ็ญเพียนที่ล่าช้าไปของตนได้อย่างรวดเร็ว หรืออาจจะเร็วกว่าเดิมด้วยซ้ำไป
เพียงแต่ว่าจักรพรรดินีก็ยังคงรู้สึกปวดหัวน้อยๆ นางกับจักรพรรดิคิดเหมือนกัน ว่าอีกไม่นานนังหนูก็คงจะบรรลุเป็นราชาเซียนแน่นอน
หลิวหลีไม่รู้เรื่องพวกนี้ด้วยซ้ำ แต่ถึงนางรู้ก็ไม่สนใจ นางยกของรางวัลทั้งหมดที่จักรพรรดินี้ประทานให้นางแก่เวิ่นเทียน เพราะอย่างไรเสียของที่อีกฝ่ายให้มานั้นเหมาะกับผู้บำเพ็ญเพียรธาตุวารีและเหมันต์ ถึงจะทรงบอกว่าประทานให้นางแต่จริงๆแล้วก็ต้องตกไปอยู่ในมือของเวิ่นเทียน จักรพรรดินีทรงยืมมือนางเพื่อให้ของเหล่านี้ไปถึงมือของสามีนาง แต่เห็นแก่ที่ประทานรางวัลให้สามีนาง อีกทั้งความผิดที่นังหนูสุ่ยหลิงก่อนั้นก็ต้องรับกรรมไปถึงพันปี หากว่านังหนูคนนั้นพยายามต่อไป ก็จะได้อะไรกลับมาไม่น้อยแน่
“ท่านพี่ พี่ก็เห็นแล้ว รอบข้างข้าไม่มีใคร” วันหนึ่งหลิวหลีเปิดใจคุยกับหนานกงเวิ่นเทียน
“เห็นแล้ว” ล้วนแต่เป็นผู้บำเพ็ญหญิงที่พยายามจะเปลี่ยนใจฮูหยินของเขาให้ชอบพอพวกนาง ยิ่งทำให้เขาปวดหัวมากกว่าเดิม ยามผู้หญิงไม่มีเหตุผลขึ้นนั้นมาน่ากลัวกว่าพวกผู้ชายเสียอีก เขาเองก็ไม่กล้าลงไม้ลงมือกับผู้หญิง เรื่องนี้ส่งผลให้อุณหภูมิภายในตำหนักเวิ่นเทียนลดลงอย่างน่ากลัว ทหารสวรรค์เห็นทั้ง 2 คนก็ยังต้องเดินหลบ คนทั้งวังนภาเพลิงต่างรู้ดีว่าสามีของเจ้าตำหนักหลิวหลีเป็นคนขี้หึงมากขนาดไหน
“พวกเราออกไปเที่ยวข้างนอกกันเถอะ” หลิวหลีบอกความตั้งใจของนาง วันนี้ขุนนางเซียนอวิ๋นว่าง จึงมาบอกพวกเขาอ้อมๆว่า พวกเขาควรจะไปเข้าฌานแบบเจ้าตำหนักท่านอื่นบ้าง แต่เพราะหลิวหลียังรู้สึกอิ่มเอม แต่ถึงจะดูดซึมจนกรองแล้ว แต่ก็ไม่ควรผลีผลาม เพื่อจะบรรลุในช่วงเวลาสั้นๆ ในเมื่อเข้าฌาณไม่ได้ก็ออกไปเที่ยวเตร่ดีกว่าให้ทหารสวรรค์ของนางได้พักหายใจหายคอกันบ้าง
“ได้” ทำไมเขาถึงนึกไม่ถึงเรื่องการออกไปเที่ยว ถ้าเป็นเช่นนั้นพวกผู้บำเพ็ญหญิงที่น่ารำคาญนก็จะทำอะไรไม่ได้ ตอแยนังหนูไม่ได้ พวกเขาก็จะอยู่ด้วยกันเพียง 2 คนช่างสมบูรณ์แบบเหลือเกิน
ในเมื่อตกลงกันแล้ว ทั้งสองจึงไปกล่าวลาจักรพรรดิอย่างรวดเร็ว และอีกฝ่ายก็อนุญาตเร็วพอกัน ทำไมจะไม่รู้สถานการณ์ในวังนภาเพลิงตอนนี้ค่อนข้างเคร่งเครียด ให้ปีศาจสองตัวนี้ออกไปข้างนอกก็ดีเหมือนกัน เพียงแต่ตอนกลับมา ก็อย่าทำให้คนอื่นรู้สึกกดดันมากกว่าเดิมก็พอ
เมื่อได้รู้ว่าเจ้าตำหนักของพวกเขาจะออกไปข้างนอก ในตอนแรกผู้บำเพ็ญในตำหนักเวิ่นเทียนรู้สึกโล่งใจ จากนั้นก็เริ่มรู้สึกอาวรณ์ ทั้งๆที่ผู้บำเพ็ญธาตุอัคคีที่เป็นมิตร แต่ช่วงนี้สะกดอารมณ์เอาไว้อย่างมาก แต่หลังจากนี้ไป คนของวังนภาเพลิงก็ยิ่งไม่กล้าข้องเกี่ยวผู้บำเพ็ญในวังนภาธารามากขึ้นไปอีก ต่างเป็นมนุษย์น้ำแข็งกันทั้งนั้น และถึงจะมีหน้าตางดงาม แต่ทำไมถึงได้เย็นชากันขนาดนั้น
คราวนี้คนทั้งสองอำพรางพลังบำเพ็ญเพียรให้อยู่ในขั้นเซียนอธนการและเปลี่ยนแปลงใบหน้า เพราะอย่างไรเสียคนทั้งดินแดนนภาเพลิงก็รู้ว่าหลิวหลีชอบออกมาเที่ยวเล่น ถึงแม้นางจะเพิ่งเคยออกมาแค่ครั้งเดียว
“นังหนู เจ้าเป็นคนดัง” หนานกงเวิ่นเทียนแซว ถึงจะเคยคิดว่าเรื่องผ่านมาก็นานขนาดนี้แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะยังมีคนจำการเดินทางครั้งนั้นของหลิวหลีได้อยู่อีก
“ชมเกินไปแล้ว” ที่โลกเซียนไม่มีเรื่องอื่นแล้วหรือ จำเรื่องในอดีตเหล่านั้นของนางได้ดีขนาดนี้ไปทำไม
“ได้ยินมาว่า พลังบำเพ็ญเพียรของเจ้าตำหนักหลิวหลีอยู่ในขั้นเซียนนภานพเก้าแล้ว”
“สหาย ข่าวของเจ้าเชื่อถือได้หรือไม่ นางอายุยังไม่ถึงหมื่นปีเลยไม่ใช่หรือ”
“เชื่อถือได้แน่นอน ลูกพี่ลูกน้องที่เป็นญาติห่างๆของน้องสะใภ้ลูกท่านลุงเขยของพี่สาวท่านป้าข้าของลูกพี่ลูกน้องข้าทำงานอยู่ในวังนภาเพลิง จะเป็นเรื่องเท็จได้อย่างไร”
“อืม ช่างเป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนมากจริงๆ” นี่ก็คงจะเป็นญาติห่างๆอย่างที่เขาว่ากัน คำพูดของคนผู้นั้นทำให้หลิวหลีถึงกับพ่นสุราออกมา
“ไม่เท่านั้นนะ ได้ยินมาว่าพลังบำเพ็ญเพียรของสามีแม่นางหลิวหลีก็อยู่ในขั้นเซียนนภานพเก้าเหมือนกัน ช่างเป็นคู่สามีภรรยาที่น่าอิจฉาจริงๆ”
“ได้ยินมาว่าพวกเขาทั้งสองคนรักกันมาก เจ้าตำหนักหลิวหลีไปทำหน้าที่ฮูหยินอยู่ที่วังนภาธาราอยู่ช่วงหนึ่ง และยังได้ช่วยชีวิตเจ้าตำหนักคนหนึ่งในวังนภาธารา ครั้งนี้สามีของเจ้าตำหนักหลิวหลีก็มาให้ทหารสวรรค์ของตำหนักเวิ่นเทียนได้เห็นหน้าเห็นตาสักหน่อยเช่นกัน”
“ทั้งสองดูรักกันมากจริงๆ นึกถึงสามีภรรยาที่แยกจากการหลังบรรลุเป็นเซียน ทั้งสองคนนี้มีความมุ่งมั่นไม่น้อย”
“ใช่ ได้ยินมาว่าช่วงนี้หลายคนแต่งงาน ก็อยากเชิญทั้ง 2 ท่านนี้ไปเป็นพยานรัก เพื่อจะบอกว่าพวกเขาก็จะเป็นเช่นนี้ แต่ถูกจักรพรรดิทั้งสองปฏิเสธไป”
ทั้งสองคนถึงกับตกใจ พวกเขามีบทบาทเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แถมองค์จักรพรรดิยังปฏิเสธไปแล้วด้วย ไม่ว่าจะอยู่ที่โลกไหนเกิดข้อสงสัยเรื่องใดๆ หอสุราก็ยังคงเป็นสถานที่หาข่าวสารได้ดีที่สุดจริง ๆ รู้สึกว่าไม่มีอะไรที่เรียกเป็นความลับได้เลย
“ตอนนี้เจ้าตำหนักทั้งสองท่านเข้าฌานแล้วงั้นหรือ”
“ไม่นะ ได้ยินมาว่า เจ้าตำหนักหลิวหลีคิดว่าพลังบำเพ็ญเพียรเข้าสู่ขั้นเซียนนภานพเก้าแล้ว ควรจะผ่อนคลายลง เพราะอย่างไรเสียเจ้าตำหนักหลิวหลีก็ยังเป็นเซียนนักปรุงยาด้วย”
“พูดถึงเซียนนักปรุงยา ตอนนั้นเจ้าตำหนักสุ่ยหลิงในวังนภาธาราที่ทุกคนต่างคิดว่าไม่รอดแน่แล้ว แต่เจ้าตำหนักหลิวหลีกลับสามารถช่วยนางได้ จักรพรรดินีรู้สึกขอบคุณเจ้าตำหนักหลิวหลีเป็นอย่างมาก”
“จริงด้วย ตั้งแต่เจ้าตำหนักหลิวหลีบรรลุเป็นเซียนเป็นความภาคภูมิใจมาโดยตลอด ไม่เพียงแต่มีพลังบำเพ็ญเพียรที่โดดเด่นแต่ยังมีความสามารถที่สามารถทำเงินได้เป็นอย่างดี”
“น่าเสียดายที่ตำหนักเวิ่นเทียนไม่รับทหารสวรรค์แล้ว ไม่เช่นนั้นไม่ว่าอย่างไร ข้าก็จะต้องเข้าไปให้ได้”
“พวกเขาพูดถูกแล้ว ท่านพี่พวกเรามาลองใช้ชีวิตแบบคนธรรมดากันดูดีไหม เปิดร้านขายยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ ไม่รับลูกแก้วเซียน แต่รับเป็นเพลิงเซียนหรือไม่ก็เบาะแสของเพลิงเซียน หรือไม่ก็แลกเปลี่ยนของที่เป็นประโยชน์กับพวกเราดีไหม แต่แน่นอนว่าต้องให้พวกเขาไปหาพืชเซียนมาเอง” อยู่ๆหลิวหลีก็พูดเสนอขึ้น
“ไม่เลวเลย ฝีมือการทำลายศักดิ์สิทธิ์ของข้าก็ไม่ได้แย่ จะปล่อยให้น้องหญิงต้องเหนื่อยคนเดียวไม่ได้” หนานกงเวิ่นเทียนบอกว่าจะให้ฮูหยินเหนื่อยไม่ได้ เขาก็จะต้องออกแรงด้วยเช่นกัน
“ได้” หลิวหลีเองก็รู้สึกใช้ได้ทีเดียว
“พวกเราไปเช่าร้านเล็กๆก่อน ข้างหลังเอาไว้พักอาศัย ข้างหน้าเอาไว้ขายของ” หลิวหลีบอกแผนการขั้นต้น
“ได้ จะตั้งชื่อร้านว่าอะไร?” สถานที่ตั้งของร้านยังไม่ได้เลือก ก็คิดปัญหาเรื่องชื่อก่อนเสียแล้ว
“ร้านยาลายศักดิ์สิทธิ์ ยาเซียนศักดิ์สิทธิ์กับลายศักดิ์สิทธิ์เข้าใจได้ง่าย” หลิวหลีตั้งชื่อร้านขึ้นมาแบบง่ายๆ
“ร้านยาลายศักดิ์สิทธิ์ ได้ แต่พวกเราจะชื่ออะไรกันดี” จะใช้ชื่อจริงก็ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นอาจมีคนตกใจ หรือไม่ร้านก็อาจจะถูกเหยียบจนพัง
“สองสามีภรรยาบ้านสกุลเจี่ยดีไหม นายท่านเจี่ยหมิง กับฮูหยินเจี่ยเป็นอย่างไร” หลิวหลีเริ่มเสนอความเห็น
“เจี่ยหมิง ฮูหยินเจี่ย” ทำไมแต่ก่อนเขาไม่เคยรู้เลยว่านังหนูมีความสามารถขนาดนี้
“เป็นอย่างไรบ้าง?” หลิวหลีเอามือลูบจมูกเบาๆ รู้สึกว่ายังพอใช้ได้อยู่
“ทำตามที่เจ้าบอกก็แล้วกัน” หนานกงเวิ่นเทียนไม่มีข้อโต้แย้งใดๆอยู่แล้ว ไม่ว่านังหนูจะทำอะไรทำอะไรเขาก็สนับสนุน
“ถ้าเป็นเช่นนี้ พวกเราอย่าฟังเรื่องซุบซิบนินทาแล้ว ไปหาร้านเล็กๆกันเถอะ” เมื่อได้ความคิดขึ้นมา จึงไม่สนใจที่จะฟังต่อ เพราะอย่างไรพวกเขาที่เป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์ย่อมรู้ดีกว่าอยู่ดี
ทั้งสองคนหานายหน้าเจออย่างรวดเร็ว แล้วจึงเลือกสถานที่เพื่อเปิดร้าน ทำให้หลิวหลีคิดได้ว่าไม่ว่าจะโลกไหนก็ตามแต่อาชีพนายหน้านี้ก็เป็นอาชีพที่คนต้องการอย่างยิ่ง ถึงแม้จะมีค่าใช้จ่าย แต่ก็ประหยัดแรงได้มาก ไม่อยากยุ่งยากจะไม่มีค่าใช้จ่ายได้อย่างไร
ภายในร้านสะอาดสะอ้าน หลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนออกแบบเสร็จอย่างรวดเร็ว บนราวมียาเซียนศักดิ์สิทธิ์ที่หลิวหลีปรุงขึ้น กับลายศักดิ์สิทธิ์ที่หนานกงเวิ่นเทียนออกแบบ คนหนึ่งปรุงยา อีกคนก็ดูร้าน หรือไม่คนผู้หนึ่งทำลายศักดิ์สิทธิ์ ส่วนอีกคนดูร้านสลับกันไปเช่นนี้ เพียงไม่นาน คนรอบข้างต่างก็รู้ว่ามีสามีภรรยาคู่หนึ่งมาเปิดร้านเช่นนี้ ขายยาเซียนศักดิ์สิทธิ์กับลายศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับไม่มีใครไปซื้อ
…………………..